หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 422-2 ความลับของหรงเฟย
ตอนที่ 422-2 ความลับของหรงเฟย
เฉียวเวยเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยความงุนงงว่า “ความลับของหรงเฟยที่เจ้าจะบอกกับข้าคงไม่ใช่แค่เรื่องเสือร้ายเมื่อตอนนั้นเรื่องเดียวกระมัง”
รัชทายาทปรายตามองนาง “ย่อมไม่ใช่ ข้าแค่เพียงปูพื้นให้เจ้าพอรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร จะได้ไม่ตกใจกับเรื่องหลังจากนี้”
เฉียวเวยลูบคาง “อื้อ หลังจากข้าถูกหรงเฟยยิงธนูใส่ดอกหนึ่ง ทั้งยังถูกปล่อยนักรบมรณะมาไล่สังหารถึงสองครั้งแล้ว ท่านควรปูพื้นให้ข้าสักนิดจริงๆ ให้ข้าได้เข้าใจว่านางเป็นคนเช่นไร”
มุมปากรัชทายาทจึงกระตุกให้หลายที
เรื่องราวหลังจากนั้นจึงเข้าประเด็นขึ้นมากทีเดียว
เมื่อปีที่รัชทายาทอายุได้สามขวบปี ฮ่องเฮาสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้เข้าใจผิดคิดว่าหรงเฟยเป็นคนวางยาฮองเฮา จึงขับไล่หรงเฟยไปอยู่ที่วังเย็น
เรื่องนี้สร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในวังหลังพอสมควร ทุกคนรู้ดีว่าฮองเฮาเป็นที่โปรดปราน แต่หรงเฟยก็ใช่ว่าจะย่ำแย่ ฮ่องเต้ถึงขั้นขับสนมที่โปรดปรานมานานหลายปีไปเข้าวังเย็นเพราะคนที่ตายแล้วเชียวหรือ
หรงเฟยสูญสิ้นความโปรดปราน เลยพาลทำให้ยิ่นอ๋องกลายเป็นดินโคลนให้คนเหยียบย่ำไปด้วย ชีวิตของพวกเขาสองแม่ลูกจึงย่ำแย่พอสมควร
รัชทายาทไปดูพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว ที่ว่าดูนั้นคือดูจริงๆ เขาปีนอยู่บนต้นไม้ไกลๆ ได้แต่มองพวกเขาด้วยตาดำขลับใสแจ๋ว เขาได้ยินคนบอกว่าเสด็จแม่ถูกพระสนมหรงในวังเย็นกับเสด็จพี่เจ็ดฆ่าตาย เขาก็เลยอยากมาเห็นสองคนนี้ แค่มาเห็นจริงๆ
เขาตัวเล็ก อาศัยช่วงดึกดื่นที่คนในวังหลับกันหมดแล้ว ลอบปีนออกมาจากรูสุนัขรอด
ลูกวัวไม่กลัวเสือที่หมายถึงก็คือตัวเขา
หากเป็นเด็กคนอื่น จะกล้าออมาเดินเพ่นพ่านกลางค่ำกลางคืนคนเดียวได้อย่างไร ดังนั้นที่บอกว่ายีนส์ของเชื้อพระวงศ์เป็นยีนส์ดีนั้น จึงไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
ในค่ำคื่นหนึ่งที่จันทร์ดับและลมพัดแรง รัชทายาทไปจับตาดูสองแม่ลูกที่วังเย็นตามปกติ เขาเห็นบุรุษนายหนึ่งเข้าไปในตำหนักนอน บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ยิ่งนัก สูงใหญ่กว่าเสด็จพ่อของเขาเสียอีก
เขาในตอนนั้นยังไม่รู้ประสา ไม่รู้ว่าวังหลังไม่อนุญาตให้บุรุษปกติทั่วไปนอกจากเสด็จพ่อเข้าออก เขาเพ่งมองอีกฝ่ายเดินเข้าไปในตำหนักนอน ไม่เท่าไรอีกฝ่ายก็ออกมา คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็คือหรงเฟย
ท่าทางหรงเฟยดูเศร้าโศกเหลือแสน อิงแอบอยู่กับอกคนผู้นั้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางถูกคนผู้นั้นพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ในมือหรงเฟยยังอุ้ม…เด็กในห่อผ้าอยู่ด้วย
บุรุษผู้นั้นพาหรงเฟยไปด้านหลังภูเขาร้างแห่งหนึ่ง
ด้านหลังภูเขามีหลุมที่ขุดรอเอาไว้แล้ว กับของบางอย่างที่เวลานั้นยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่ามันคือโลงศพอันเล็ก
บุรุษผู้นั้นรับห่อผ้าที่หรงเฟยอุ้มอยู่มาวางลงในโลง จากนั้นจะเอาโลงศพใส่ลงในหลุมนั้นแล้วเอาดินฝังกลบไว้
หรงเฟยปิดหน้าร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน
รัชทายาทไม่รู้ว่านางร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร บุรุษผู้นั้นกอดนางไว้ พูดสิ่งที่รัชทายาทฟังไม่เข้าใจ แต่สำหรับรัชทายาทแล้วดูเหมือนเขากำลังปลอบใจนางอยู่
หลังจากพวกเขาไปแล้ว รัชทายาทก็แอบไปตรงจุดที่ทั้งสองฝังสิ่งนั้นเอาไว้ คิดอยากจะขุดขึ้นมาดูว่ามันคืออะไร แต่มือน้อยๆ ของเขาขุดจนได้แผลแล้วก็ยังขุดลงไปไม่ได้เสียที
ตอนที่เกิดเรื่องนี้ รัชทายาทเพิ่งอายุได้สามขวบ โดยหลักการแล้วไม่น่าจะจำอะไรได้ และเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แน่นอนว่ารัชทายาทยังไม่รู้จักเรื่องการจดวันที่ เป็นตอนหลังที่เติบใหญ่ขึ้นแล้วบังเอิญไปพบเห็นเข้าอีกครั้ง บุรุษผู้นั้นกับหรงเฟยมาเผากระดาษให้ใครคนหนึ่งพร้อมกัน รัชทายาทถึงได้ค่อยๆ จำได้
“ดังนั้นท่านยังมีนิสัยประหลาดชอบแอบดูชาวบ้านด้วยสินะ” เฉียวเวยกอดอกมองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง “บอกมาตามตรงนะ ตอนขึ้นเขาไปขอข้าวกิน เคยแอบดูข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างรึไม่!”
เฉียวเวยถามอย่างเฉยเมยว่า “เหลียนเฟยเป็นใครกัน” จะต้องเป็นยอดหญิงงามแห่งยุคสักคนในวังเป็นแน่!
“หมาที่ข้าเลี้ยงไว้” รัชทายาทบอก
ผลั่ก!
บนศีรษะรัชทายาทมีก้อนนูนใหญ่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน
…
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ถามถึงรูปลักษณ์ของเขา ตามคำบอกเล่าของรัชทายาท คนผู้นั้นกับหรงเฟยจะต้องเกี่ยวพันกันมากพอควรทีเดียว คนแรกที่เฉียวเวยนึกถึงก็คือราชันอสูร นางหากิ่งไม้มาอันหนึ่งแล้ววาดหน้ากากราชันอสูรให้อีกฝ่ายดู “ใช่แบบนี้หรือไม่”
“ใช่แล้ว” รัชทายาทลูบศีรษะที่ปวดหนึบ
เฉียวเวยพึมพำว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็ตัดเรื่องที่เขาเป็นบุตรหรงเฟยออกไปได้แล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ” รัชทายาทได้ยินไม่ชัด
เฉียวเวยอธิบายให้ฟังว่า “ไม่มีอะไร ข้าบังเอิญได้พบคนผู้นี้เข้า หน้าตาอัปลักษณ์หาใดเทียมจนเดาอายุไม่ออก ข้ายังเดาว่าเป็นบุตรที่หรงเฟยแอบคลอดไว้เสียอีก”
“อัปลักษณ์หาใดเทียม?” รัชทายาทขมวดคิ้ว “ไม่นะ รูปลักษณ์เขาคมเข้มมากทีเดียว มีครั้งหนึ่งเขาถอดหน้ากากออก ข้าเลยได้เห็น ตอนนั้นข้ายังตกใจในความงามของเขาเลย”
เฉียวเวยอึ้งไป “งามเพียงใด”
รัชทายาทคิดก่อนตอบว่า “เทียบกับท่านอาสี่ไม่ได้ แต่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายิ่นอ๋องแน่นอน”
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายิ่นอ๋องเชียวหรือ เช่นนั้นดูท่าคงจะรูปงามอยู่จริงๆ
“หรือว่าคนที่เจ้าเห็นผู้นั้นจะไม่ใช่ราชันอสูร” เฉียวเวยพึมพำด้วยความไม่แน่ใจ ใบหน้านั้นของราชันอสูรที่ทำคนตกใจตายได้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหล่อเหลาเลยสักนิด
รัชทายาทผายมือออกเป็นการบอกว่าเขาก็ไม่แน่ใจ
เฉียวเวยโบกมือ “ช่างเถิด ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วกัน ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าโลงศพนั้นฝังอยู่ที่ใด”
“ก็ที่เมื่อครู่จะพาเจ้าไปอย่างไรเล่า”
“เหตุใดถึงไม่รีบบอกเล่า”
“เจ้าเปิดโอกาสให้ข้าพูดหรือ”
ทั้งสองโต้เถียงกันไปตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงจุดที่ฝังโลงศพไว้
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากวังเย็น ยามปกติไม่ค่อยมีคนผ่านไป มีคนเล่าว่าช่วงหนึ่งฮ่องเต้คิดจะปรับเปลี่ยนที่นี้เป็นอุทยาน แต่นายช่างทั้งหลายที่มาวัดพื้นที่ต่างพบเห็นผีกันถ้วนหน้า กลับไปเป็นต้องนอนซมอยู่บนเตียง หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็รังเกียจไออัปมงคล จึงล้มเลิกความคิดที่จะปรับเปลี่ยนที่ตรงนี้ไป
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ผีสางตนนั้นเป็นสิ่งที่บุรุษลึกลับของหรงเฟยสร้างขึ้นมาหลอกเพื่อไล่นายช่างเหล่านั้นไป เพื่อจะได้ปกป้องโลงศพที่อยู่ใต้ดินนี้
รัชทายาทไปเอาจอบจากห้องโรงเก็บเครื่องมือมาสองอัน แล้วช่วยกันขุดเอาโลงศพใต้ดินนั้นขึ้นมา
เฉียวเวยกระโดดลงไป ดึงตะปูเหล็กที่อยู่บนโลงออกมาได้สบายๆ
รัชทายาทมองอุปกรณ์ในมือที่ไม่ทันได้ใช้งาน มุมปากถึงกับกระตุกโดยแรง
เฉียวเวยเปิดโลงศพออก กลิ่นซากศพอันคละคลุ้งลอยขึ้นมาเตะจมูก เฉียวเวยเอามือปิดจมูก ถึงจะบอกว่านางไม่เชื่อในเรื่องงมงาย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กลิ่นที่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
หลังจากกลิ่นซากศพเจือจางลงแล้ว เฉียวเวยดึงผ้าแดงสดที่คลุมอยู่บนศพออก เผยให้เห็นห่อผ้าเด็กที่สีซีดจางไปนานแล้ว กับในห่อผ้าที่มีโครงกระดูกของเด็กทารกนอนอยู่
ก่อนเด็กแรกเกิดจะถือกำเนิด กระหม่อมของเด็กจะใหญ่ประมาณสองข้อนิ้วเท่านั้น ดูจากกระหม่อมกับความยาวของโครงกระดูกนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ ก็เป็นทารกที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก
“นี่คงไม่ใช่บุตรของเสด็จพ่อเจ้ากระมัง” เฉียวเวยถาม
รัชทายาททำเสียงหึ “จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนางฝังโลงอันนี้นางถูกขับไปอยู่วังเย็นได้ปีหนึ่งแล้ว”
ดังนั้นก็เป็นบุตรของนางกับบุรุษลึกลับผู้นั้นสินะ ฮ่า คราวนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย หากให้ฝ่าบาทรู้ว่าบนศีรษะตนมีเขางอกขึ้นเต็มหัวแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะยังปกป้องหรงเฟยต่อไปหรือไม่
“เอ๊ะ? ที่คอเขามีบางอย่างอยู่” รัชทายาทดึงเชือกสีทองเส้นหนึ่งมาจากโครงกระดูก ตรงปลายเชือกมีหยกหักผูกอยู่ชิ้นหนึ่ง ดูจากรอยตัดที่ไม่เรียบเนียนนั้นแล้ว ดูเหมือนจะถูกใครจับหักเอาเสียดื้อๆ
เฉียวเวยพลันนึกถึงหยกครึ่งชิ้นที่อยู่บนตัวราชันอสูร…
เขาเป็นบุตรของราชันอสูร บุรุษในตอนนั้นก็คือราชันอสูร!