หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 423 หรงเฟยพ่ายแพ้
ตอนที่ 423 หรงเฟยพ่ายแพ้
หากรัชทายาทในเวลานั้นไม่ได้ตาพร่ามัว เช่นนั้นราชันอสูรก็เคยเป็นชายงามดั่งไม้หยกต้องลมจริงๆ เพียงแต่เหตุใดตอนหลังถึงกลายมาหน้าเขียวเขี้ยวใหญ่เช่นนี้ก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
เฉียวเวยจัดการพื้นที่ตรงนั้นให้เรียบร้อย บอกลารัชทายาทเสร็จก็กลับหอหลิงจือไป
เมื่อเห็นนางกลับมาอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง ใจที่หวั่นเกรงมาเป็นครึ่งวันของเฉียวเจิงก็นับว่าได้คลายลงเสียที จึงไปเข้าครัวด้วยใจที่เบิกบาน
เฉียวเวยเล่าเรื่องราชันอสูรกับโลงศพให้เฮ่อหลันชิงฟัง แล้วบอกเล่าความสงสัยของตนออกไปด้วย “เป็นรัชทายาทที่มองผิดไปหรือใครคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนั้นได้จริงๆ”
เฮ่อหลันชิงบอกว่า “รัชทายาทไม่ได้มองผิดหรอก เป็นเพราะตัวเขาเองนั่นแหละที่กินยาพิษลงไป”
ราชันอสูรนั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ มีหลายคนที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจข้ามผ่านไปเป็นราชันอสูรได้ แต่กระนั้นในโลกหล้านี้ก็มียาพิษประเภทหนึ่งที่สามารถทำให้นักรบมรณะเก่งกาจขึ้นในทันทีได้ ยาพิษประเภทนี้ส่งผลเสียต่อร่างกายมหาศาล ไม่เพียงทำให้คนรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันเหลือคณา แต่ยังทำให้ใครคนนั้นหน้าตาเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยก็มี
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ยาพิษประเภทนี้พอใช้หลายครั้งเข้าก็จะเลิกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมันทำให้ติด แต่เพราะหากไม่ใช้มัน ร่างกายจะถดถอยลงอย่างเร็วและอ่อนแอจนกระทั่งตายไปในที่สุด
เฉียวเวยทอดถอนใจ “สิ่งที่ต้องแลกมานี้ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ เพื่อให้ได้กลายเป็นราชันอสูรแล้ว คุ้มกันหรือ เขาบ้าไปแล้วหรือไร”
เฮ่อหลันชิงบอกลูกสาวสุดที่รักของตนว่าความน่ากลัวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ยาพิษประเภทนี้เป็นยาพิษร้ายแรงที่มีฤทธิ์เย็นจัด พิษในกายราชันอสูรซึมลึกเข้าไปทั่วทุกอณู สตรีที่ข้องเกี่ยวกับเขาถึงจะไม่ถูกพิษไปด้วย แต่กระนั้นก็ยากจะตั้งรับไอเย็นในตัวของเขา ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่หรงเฟยจะตั้งครรภ์ อาจถึงขั้นกล่าวได้ว่าไม่อาจตั้งครรภ์เลยก็ยังได้
ต่อให้โชคดีตั้งครรภ์ขึ้นมา เด็กในท้องก็ไม่มีทางอยู่รอดจนถึงวันถือกำเนิดแน่นอน
“ที่แท้ซากกระดูกในโลงศพนั้นก็มีที่มาเช่นนี้เอง…” มิน่าเล่าหรงเฟยถึงได้ร้องไห้เสียขนาดนั้น โอกาสตั้งครรภ์ที่อาจมีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวในชีวิต รักษาครรภ์มาได้จนถึงช่วงท้าย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้อยู่ดี
หลังจากพูดคุยกับท่านแม่อยู่พักหนึ่ง เฉียวเวยก็ไปเยี่ยมยิ่นอ๋อง
เฉียวเจิงใช้สมุนไพรที่นำมาจากชนเผ่าลึกลับกับยิ่นอ๋อง ฤทธิ์ของมันดีกว่าสมุนไพรในห้องที่ไม่น้อยกว่าสิบเท่า วันนี้ยิ่นอ๋องสามารถลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้แล้ว
เฉียวเวยก็ไม่อ้อมค้อม บอกเล่าเรื่องหรงเฟยกับราชันอสูรออกไปตรงๆ
“เฉียวซื่อ เจ้าจะเอาให้ได้เลยใช่หรือไม่”
การให้เขายอมรับว่าหรงเฟยมีชายที่รักใคร่กันมาตั้งแต่ก่อนเข้าวังก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาแล้ว เวลานี้หากให้เขาเชื่อว่าหรงเฟยไม่เพียงแอบมีคนรักก่อนเข้าวัง แต่หลังจากเข้าวังแล้วยังตั้งครรภ์กับอีกฝ่ายอีก จะเป็นไปได้อย่างไร
เฉียวเวยรู้เพียงว่าเขาต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เฉียวเวยก็ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อนางในการบอกเล่าเพียงครั้งเดียว เรื่องบางเรื่องอย่างไรก็ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะยอมเชื่อ
เฉียวเวยเอากระดาษปากกามาวาดภาพร่างของตำหนักกานลั่วกับจุดฝังที่อยู่หลังภูเขาพร้อมชี้บอกว่า “ข้างใต้ห้องแห่งนี้เป็นที่ซ่อนศพของราชันอสูร ด้านหลังภูเขาลูกเล็กนี้เป็นที่ฝังซากกระดูกทารกผู้นั้นเอาไว้ วันนี้ข้าเพิ่งไปขุดมา ดินยังใหม่มาก แค่มองปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าตรงไหน หากเจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด เชิญลองไปดูเองได้เลย! หากเห็นแล้วเจ้ายังคิดว่าหรงเฟยเป็นผู้บริสุทธิ์อีก ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรเหล่านี้ก็แล้วกัน และวันหน้าก็จะไม่พูดถึงอีก!”
…
หลังจากยุ่งวุ่นวานมาทั้งวัน หรงเฟยพาเอาร่างที่เหนื่อยล้ากลับไปที่ห้อง
ฝูหลิงเข้ามารายงานว่า “เรียนพระสนม ไม่พบบุคคลน่าสงสัยเลยเพคะ นางกำนัลที่ปลอมตัวเป็นข้านั้นน่าจะหนีไปแล้ว”
หรงเฟยโบกมือด้วยความรำคาญ “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด”
ฝูหลิงถอยออกไป
หรงเฟยปลดเสื้อคลุมกันลม ดึงเครื่องประดับทองอันหนักอึ้งบนศีรษะออก เหม่อมองตนเองในกระจกที่แต่งหน้าอย่างประณีตบรรจง แล้วจู่ๆ นางก็เห็นประกายสีเงินที่ตรงขมับ นางยกมือขึ้นดึงผมขาวเส้นนั้นออกแล้วระบายยิ้มอย่างเหงาหงอย “เจ้าดูสิ พอเจ้าไม่อยู่ข้าก็มีผมขาวเสียแล้ว…”
หลังจากเปลี่ยนไปใส่ชุดสบายๆ แล้ว หรงเฟยก็ลุกเดินออกจากห้องไปยังโพรงน้ำแข็งที่ตนสั่งการไว้ว่าห้ามให้ผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด
ภายในโพรงน้ำแข็ง นางจุดโคมแล้วเอาไข่มุกราตรีออกมาจากช่องลับตามปกติ ก่อนจะนำไปวางลงบนแท่นโคมไฟ
จากนั้นนางก็เดินไปทางโลงศพ แต่กลับเห็นว่าว่าตรงหน้าโลงศพมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ หน้านางพลันถอดสี!
“เสด็จแม่”
ยิ่นอ๋องเอ่ยเรียกช้าๆ
สีหน้าหรงเฟยพลันผ่อนคลาย แต่ก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง นางมองยิ่นอ๋องแล้วมองโลงศพที่อยู่ด้านหลังเขา จังหวะนั้นนางถึงกับลิ้นพันกัน พูดอะไรไม่ออก
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องตกใจไปว่าเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ ที่ข้ามาไม่ได้ต้องการมาซักถามหาความผิดจากท่าน ข้าเพียงหวังว่าเสด็จแม่จะไม่ปิดบังข้าในเรื่องใดอีก”
หรงเฟยตั้งสติแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าฟังแม่อธิบายก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…”
“ที่ข้าคิดเป็นเช่นไรหรือ” ยิ่นอ๋องมองหน้าอีกฝ่ายขณะถาม
หรงเฟยถูกสายตาคมกล้าเช่นนั้นมองจนรู้สึกใจเต้นระส่ำ มุมปากสั่นระริกขณะเอ่ยเสียงเบาว่า “ราชันอสูรเขา…”
เขาทำไม นางคิดคำพูดไม่ออกเลยจิรงๆ
ยิ่นอ๋องบอกแทนนางว่า “ราชันอสูรเป็นนักฆ่าของเยี่ยหลัว เป็นคนที่วันนั้นไล่ต้อนสังหารข้ากับเฉียวซื่อ เสด็จแม่โปรดบอกข้าที ศพของเขาเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
หรงเฟยจะบอกว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับศพนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะหากนางไม่รู้เรื่องนี้แต่แรก นางจะมาที่นี่ได้อย่างไร ถึงอย่างไรจะบอกว่านางลงมาในโพรงน้ำแข็งเพื่อเอาของก็คงไม่ได้ บ่าวไพร่มากมายรอบตัวนางเหล่านั้นล้มตายกันไปหมดแล้วหรือ ถึงต้องให้คนเป็นเจ้านายลงมาทำงานใช้แรงงาน
หนำซ้ำนางยังคุ้นเคยกับสถานที่เก็บไข่มุกราตรีของที่นี่ขนาดนี้ หากบอกว่าไม่ได้เคยมาที่นี่บ่อยครั้งแล้ว ผู้ใดจะเชื่อ
ยิ่นอ๋องเพ่งมองอีกฝ่ายนิ่ง “อันที่จริงต่อให้ท่านเป็นคนของเยี่ยหลัวแล้วอย่างไร ท่านเป็นท่านแม่ข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าคงไม่เลิกนับท่านเป็นแม่ด้วยเพราะเรื่องนี้กระมัง”
หรงเฟยหันขวับไปมองเขา “ยิ่นเอ๋อร์…”
ยิ่นอ๋องถามด้วยความผิดหวัง “ท่านก็ยังไม่ยอมบอกความจริงใช่หรือไม่”
หรงเฟยหลับตาแน่น มือที่กำผ้าเช็ดหน้าก็สั่นน้อยๆ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ นางถึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ถูกต้อง แม่เป็นคนเยี่ยหลัวจริงๆ เรื่องคุณหนูใหญ่ตระกูลหรงกับอาจารย์ที่แม่เคยเล่าให้ฟังนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว คุณหนูใหญ่ตระกูลหรงกับอาจารย์ของนางผูกใจรักกันชั่วชีวิตจริงๆ และนางก็ถูกบังคับให้เข้าวังแทนญาติห่างๆ ของนาง สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ นางไม่ได้ทำตามที่บิดาของนางบอก นางหนีตามอาจารย์ผู้นั้นไป แม่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้น ตระกูลหรงต้องการสตรีนางหนึ่ง ส่วนแม่ต้องการเข้าวัง แม่ขึ้นเข้าวังมาในฐานะตัวแทนคุณหนูใหญ่ตระกูลหรงได้อย่างราบรื่น”
เป็นสายฟ้าฟาดกลางวันฟ้าใสที่ฟาดลงมาอีกครั้ง มือองยิ่นอ๋องกำแน่นเป็นหมัด “แล้วราชันอสูรมีความเป็นมาอย่างไร”
“เขาเป็น…เขาเป็นสหายของแม่” หรงเฟยบอก
“สหายที่มีบุตรด้วยกันได้งั้นหรือ!” ยิ่นอ๋องเอาเครื่องประดับหยกครึ่งชิ้นกับผ้าแดงที่ได้มาจากในโลงปาลงที่เท้าหรงเฟยแรงๆ
หรงเฟยพลันหน้าถอดสี!
นางทรุดลงคุกเข่ากับพื้น เอาผ้าแดงกับหยกชิ้นนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก
ยิ่นอ๋องมองดูปฏิกิริยาที่แทบจะเป็นไปโดยไม่ผ่านการนึกคิดของมารดาแล้ว สองตาก็ค่อยๆ แดงระเรื่อ “ข้าใช่บุตรแท้ๆ ของท่านหรือไม่กันแน่”
หรงเฟยตัวแข็งค้าง นางมองยิ่นอ๋อง อยากตอบอะไรบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ในใจยิ่นอ๋องได้คำตอบแล้ว น้ำตาที่อดกลั้นมานานในที่สุดก็กลิ้งหล่นลงมา เขาเอามือกุมศีรษะ หัวไหล่สั่นไหวขึ้นมาเบาๆ
หรงเฟยเดินเข่าเข้าไปหาหมายจะดึงมือเขาออกเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย นางเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ความรู้สึกที่แม่มีต่อเจ้าเป็นเรื่องจริงนะ…เจ้าเป็นลูกของข้าตลอดไป…ที่แม่ทำเช่นนี้…ไม่ใช่เพื่อตัวแม่เท่านั้น…แต่เพื่อเจ้าด้วย…แม่อยากมอบแผ่นดินนี้ให้เจ้า…แม่อยากให้เจ้าได้ขึ้นนั่งบัลลังก์…”
“ท่านไปซะ”
“ยิ่นเอ๋อร์…”
ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างอดกลั้นว่า “ท่านรีบใช้โอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ ไปจากวังหลวง ไปจากต้าเหลียงเสีย อย่าได้กลับมาอีก!”
“ยิ่นเอ๋อร์!”
ยิ่นอ๋องตะคอกด้วยขอบตาแดงกล่ำ “ท่านไปสิ—”
เมื่อเฉียวเวยรู้ อีกไม่นานจีหมิงซิวก็ต้องรู้ หากยังไม่ไปอีกก็คงหนีไปไม่ได้แล้วจริงๆ
หรงเฟยกอดมือเขาไว้ น้ำตาล้นทะลักออกจากขอบตา “ยิ่นเอ๋อร์…”
ยิ่นอ๋องดึงมืออีกฝ่ายออก ลุกขึ้นหันหลังหนี “ข้าบอกให้ท่านไปไง! ถ้ายังไม่ไปอีกข้าจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อ!”
หรงเฟยร้องไห้พลางยืนขึ้น เดินไปหน้าโลงศพเพื่ออุ้มตัวราชันอสูรที่อยู่ในโลงขึ้นมา
ยิ่นอ๋องผลักนางออก “นี่มันเวลาใดแล้วท่านยังจะสนใจเขาอีกหรือ! ชีวิตสำคัญหรือเขาสำคัญกันแน่!”
หรงเฟยมองยิ่นอ๋องนิ่งขณะเอ่ยว่า “เขาสำคัญ”
ยิ่นอ๋องเช็ดของเหลวอุ่นร้อนบนใบหน้าออกแล้วหิ้วตัวราชันอสูรขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร” หรงเฟยหน้าถอดสี
ยิ่นอ๋องตีหน้าขรึมไม่พูดไม่จา หาผ้าป่านผืนใหญ่มาห่อตัวเขาไว้แล้วเอาขึ้นหลัง
หรงเฟยพลันคลายความตึงเครียด ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วเดินออกจากโพรงน้ำแข็งไปพร้อมกับยิ่นอ๋อง แต่เมื่อเดินไปถึงประตูผู้ใดจะรู้ว่าพอผลักออกไปก็ถูกจีหมิงซิวขวางหน้าไว้อย่างจัง
ทั้งยิ่นอ๋องและหรงเฟยพลันเลิกตาขึ้นสูง
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้น เอามือไพล่หลังแล้วเบี่ยงตัวเปิดทาง
“ฝ่าบาท?” หรงเฟยตาค้าง