หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 433-2 ล่องูออกจากถ้ำ (3)
ตอนที่ 433-2 ล่องูออกจากถ้ำ (3)
สายตาของจีหมิงซิวมีแววครุ่นคิดวาบผ่าน “เมื่อครู่ตอนอยู่ลานด้านหลัง ฟู่เสวี่ยเยียนผลักนางมาหาข้า ข้ารับตัวนางไว้ได้พอดี ในตอนนั้นบนตัวนางไม่มีกลิ่นสุรา”
ตอนอยู่ในงานเลี้ยงนางดื่มหนักเสียจนเมามาย พอกลับถึงห้องก็ขึ้นเตียงหลับไปทันที หากนางถูกจับจริง บนตัวนางน่าจะยังมีกลิ่นสุราคละคลุ้งอยู่
กลับมาพูดถึงก่อนหน้านั้น หากนางฝืนบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ควรขึ้นเตียงนอน แต่นางกลับอยู่ในชุดชั้นกลางสำหรับสวมเสื้อนอกทับยามออกจากบ้าน
เรื่องนี้อธิบายได้เพียงว่า นางไม่เพียงล้างหน้าล้างตา แต่ยังแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเรียบร้อยอีกด้วย
จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้แน่นอนว่าเพื่อเข้าห้องไปขโมยธนู
หลังจากนางขโมยเข้าห้องไปขโมยธนูมาแล้วก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อคลุม ผ้าปิดหน้ากับถุงมือแล้วให้ฟู่เสวี่ยเยียนใส่แทน ด้วยความรีบร้อนนางจึงไม่ทันได้เปลี่ยนกลับไปอยู่ในชุดนอน เวลานั้นพวกเขามัวแต่คิดจะจัดการกับฟู่เสวี่ยเยียน จึงไม่มีใครทันสังเกตถึงรายละเอียดเหล่านี้
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…เหตุใดถึงเป็นนาง…นางทำเช่นนี้เพื่ออะไร…” สายตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือกจนน่ากลัว สองมือกำแน่นเป็นหมัด เพราะออกแรงมากเกินไป สองแขนของนางถึงกับสั่นน้อยๆ
จีหมิงซิวจับมือนางไว้แน่น สายตาเย็นยะเยือกล้ำลึกราวกับขุมนรก เขาไม่ได้พูดอะไรมากความ บอกเพียงว่า “ข้าจะตามหาพวกเขาให้เจอ”
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!
…
บนถนนที่มืดสนิท ใต้เท้าเจ้าสำนักมองไปรอบตัวด้วยความสั่นสะท้าน ระหว่างที่กวาดตามองนั้น ปากก็พึมพำไปด้วยว่า “ใครใช้ให้พวกเจ้ากักบริเวณข้าเล่า! ข้าเลยหนีให้ดูนี่ไง!”
ตรงปากตรอกมีลมเย็นๆ พัดเข้ามา ในใจใต้เท้าเจ้าสำนักนึกขนลุก กลั้นใจเดินไปข้างหน้า หลังจากเดินไปได้หลายก้าวก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งอยู่ตรงกำแพง สีหน้าคนผู้นั้นซีดขาว เขายังคิดว่าเป็นผีสางเสียอีก จึงตกใจจนชักเท้าวิ่งหนี!
วิ่งไปได้ไม่เท่าไรก็รู้สึกเอะใจ จึงรวบรวมความกล้าค่อยๆ เดินกลับไป
ฟู่เสวี่ยเยียนเอามือเท้ากำแพง มืออีกข้างจับท้อง การต่อสู้อันดุเดือดไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บ แต่กลับกระเทือนถึงบุตรในท้องนาง นางจึงรู้สึกทรมานเล็กน้อย
แต่แล้วจู่ๆ เงาดำก็ปกทับลงมาเหนือศีรษะ นางหันไปมอง
“เป็นเจ้า?!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตกใจพอดู “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนดึงมือที่กุมท้องออก เอาหมวกคลุมหน้า ยืดตัวขึ้นตรงแล้วมองอีกฝ่ายเรียบๆ คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย” ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหน้านางพร้อมกับชุดที่นางสวม “เหตุใดเจ้าถึงแต่งกายเช่นนี้ เจ้าจะไปไหนหรือ ดึกดื่นเช่นนี้เจ้าคิดจะไปทำอะไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาซับซ้อน “ข้าจะไปแล้ว”
“ไปที่ใดกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนทำท่าจะพูดแต่ก็นิ่งไปอีกครั้ง
ตึก ตึก ตึก…
ตรงมุมถนนที่ห่างไกลออกไป คล้ายมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
สองหูฟู่เสวี่ยเยียนพลันขยับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักจับหัวไหล่นางไว้ “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด”
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนมองผ่านหัวไหล่ของใต้เท้าเจ้าสำนักไปยังตรอกหนึ่งที่อยู่ห่างไปหนึ่งจั้ง ตรงตรอกนั้นมีเงาใครคนหนึ่งสะท้อนอยู่บนพื้น นางชะงักไป ดึงสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เจ้าหันหลังไป”
“อ้อ” ถึงไม่รู้ว่านางจะทำอะไร แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ยังหันกลับไปอย่างเชื่อฟัง
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเงานั่นด้วยสายตาอึ้งงัน
“เจ้าจะทำอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดพลางจะหันกลับมา
“อย่าหันมา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบหันหน้ากลับไปมองตรงทันที
ฟู่เสวี่ยเยียนกำมือแน่น “เจ้าฟังให้ดีนะ ข้าจะกลับบ้านแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักอึ้งไป “เจ้าจะ…”
“ข้าบอกว่าอย่าหันมา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองตรงไปข้างหน้าอย่างน่าสงสาร
ฟู่เสวี่ยเยียนเสียงสั่น “อย่าได้มาหาข้า อย่าได้มาหาข้าอีกเลยตลอดไป ข้าจะ…ส่งกลับมา”
“ส่งอะไรกลับมา” คำนั้นนางพูดเสียงเบาเกินไป ใต้เท้าเจ้าสำนักฟังไม่ถนัด
ตึก ตึก ตึก…
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาในระยะหนึ่งร้อยเมตรแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนขอบตาแดงก่ำ ใช้สันมือสับท้ายทอยเขาสลบไป เขาตัวอ่อนลง นางอุ้มเขาเอาไว้
อาต๋าเอ่อร์เดินออกมาจากในตรอก
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้เงยหน้ามองแต่กลับรู้ว่าเป็นเขา นางส่งตัวใต้เท้าเจ้าสำนักให้อาต๋าเอ่อร์ สุดท้ายหันไปเหลือบมองเขาแล้วบอกว่า “ไปเถิด”
อาต๋าเอ่อร์เห็นประกายน้ำในสายตาของนาง เขาเหลือบมองใบหน้าที่เยือกเย็นของนางอีกครั้งแล้วนึกไม่มั่นใจว่าตนตาฝาดไปหรือไม่ “แม่นางฟู่…”
ฟู่เสวี่ยเยียนโบกมือเรียบๆ
อาต๋าเอ่อร์พลันเงียบเสียง เขายังคิดอยากพูดอะไรอีก แต่เสียงฝีเท้านั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สัญชาตญาณของคนฝึกวรยุทธ์บอกเขาว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก
อาต๋าเอ่อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็อุ้มตัวใต้เท้าเจ้าสำนักหมุนตัวหายไปในความมืด
นักรบมรณะดาบยาวแปดนายยกเสลี่ยงสีเงินขาวเข้ามาหาฟู่เสวี่ยเยียนราวกับภูตผีปีศาจ
ฟู่เสวี่ยเยียนคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วใช้สองมือทำความเคารพ
เสลี่ยงอยู่ตรงหน้านาง ลมหอบหนึ่งที่คล้ายมาจากโลกมืด พัดมาตามถนนพร้อมกับไอเย็นยะเยือก
ผ้าม่านถูกแหวกเปิด มือเรียวข้างหนึ่งที่สะอาดราวกับหยกยื่นออกมาจากในเสลี่ยง
ขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเอามือของตนวางลงบนมือข้างนั้น
มือข้างนั้นจับมือนางไว้
นักรบมรณะนางหนึ่งเดินออกมาคุกเข่าฟุบหน้าลงกับพื้น
ฟู่เสวี่ยเยียนยกขาขึ้น เหยียบหลังอันกว้างใหญ่ของเขาแล้วก้าวขึ้นเสลี่ยงไป
บนเสลี่ยงอันหรูหราไม่ได้มีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่คนเดียว แต่ยังมีเด็กน้อยนอนหลับสนิทอยู่อีกสองคน
สายตาฟู่เสวี่ยเยียนชะงักค้าง
สตรีนางนั้นเหลือบมองนางทีหนึ่ง ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย “ได้เวลากลับเยี่ยหลัวแล้ว”
—————————