หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 435-1 ล่องูออกจากถ้ำ (5)
ตอนที่ 435-1 ล่องูออกจากถ้ำ (5)
เดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติ ในช่วงปลายสารทฤดู ยามเช้ากับพลบค่ำไอหนาวเข้าจู่โจมผู้คน เฉียวเวยสวมเสื้อบุนวมตัวหนึ่งเดินออกมาจากกระโจม นางสูดอากาศสดชื่นของยามเช้าหนึ่งเฮือก ลมหายใจเย็นเฉียบรุกรานเข้าไปในปอด หนาวยะเยือกจนนางตัวสั่นเทา
ตลอดทางที่เดินทางขึ้นเหนือ ยิ่งเดินทางอุณหภูมิก็ยิ่งต่ำลง หากอยู่ที่เมืองหลวง เสื้อนวมตัวน้อยก็พอรับมือแล้ว แต่ตอนนี้ต้องใส่เสื้อบุนวมสองชั้นข้างในทับด้วยเสื้อคลุมชั้นนอกอีกหนึ่งชั้น
เวลานี้ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง รอบด้านยังมีหมอกปกคลุมขมุกขมัว เทือกเขากับผืนป่าที่อยู่ไกลออกไปปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวโพลน บริเวณไม่ไกลมีรถม้าแล่นผ่านอยู่เป็นระยะ แต่ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียง ไม่เห็นตัวรถ
เฉียวเวยยืดเหยียดร่างกาย ไม่นานก็เห็นจีหมิงซิวเดินมาจากเนินเขาเล็กๆ ทางตะวันออก บนหัวไหล่กับรองเท้าของเขาเต็มไปด้วยหิมะเย็นเฉียบ ดูเหมือนจะออกไปข้างนอกนานมากแล้ว
เฉียวเวยหยิบผ้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งออกมาจากในกระโจม เช็ดหิมะบนหัวไหล่ของเขาแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
จีหมิงซิวตอบว่า “ด้านหน้าน่าจะเป็นเมืองฉีสุ่ยแล้ว พวกเราพักในเมืองหนึ่งคืน แล้วค่อยไปรวมตัวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินทางไปคุมตัวมู่ชิวหยางมาจากคฤหาสน์กลางภูเขา เนื่องจากอยู่คนละทิศกับคฤหาสน์กลางภูเขา พวกเขาจึงขึ้นเหนือมาก่อน ให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเร่งเดินทางตามมาทีหลัง
เฉียวเวยก่อกองไฟย่างมันเทศกับฝักข้าวโพดหลายสิบฝัก อาหารเช้าของคนทั้งคณะถูกจัดการจนเรียบร้อย
เทียบกับช่วงเวลาอันสำราญใจที่ได้กินดื่มอิ่มหนำ นอนหลับในที่พักสุขสบาย แล้วยังมีคนออกเงินให้สมัยเดินทางไปชนเผ่าลึกลับ ตอนนี้ของพวกเขาใช้ชีวิตลำเค็ญประหนึ่งคนเร่ร่อนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขารีบเร่งเดินทาง ถึงที่ใดก็นอนที่นั่น โอกาสที่จะพบโรงเตี๊ยมมีน้อยครั้ง นอนกลางดินกินกลางทรายเสียเป็นส่วนมาก
เฉียวเวยโตมากับความลำบาก เรื่องเช่นนี้สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่พบเจอจนเป็นปกติ แต่จีหมิงซิวไม่เหมือนกัน เขาคือคุณชายน้อยที่คาบช้อนทองมาเกิด แม้แต่น้ำบ่อน้ำคลองยังไม่เคยดื่มสักคำ หนนี้กลับต้องมาใช้ชีวิตเหมือนพวกเขา กินเสบียงตากแห้งแข็งโป้ก กินมันเทศกับฝักข้าวโพดไหม้ดำ ดื่มน้ำที่ตักมาจากลำธารสายน้อย
แน่นอนว่าท้องจะรวนบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคยังดีที่ผ่านไปสิบกว่าวัน กระเพาะกับลำไส้ของเขาก็ได้รับการฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้พอประมาณแล้ว
คนทั้งคณะกินอาหารเช้าอย่างรวดเร็วเสร็จก็เก็บกระโจมกับสัมภาระจนเรียบร้อย จากนั้นขึ้นนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองฉีสุ่ย
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กับชายแดนทางเหนืออย่างยิ่ง มันเป็นจุดศูนย์กลางจุดหนึ่งของการเดินทางในฝั่งเหนือ พ่อค้าที่เดินทางไปมาระหว่างทางเหนือกับทางใต้จำนวนไม่น้อยต้องเดินทางผ่านที่แห่งนี้ เยี่ยหลัวตั้งอยู่บนทะเลทรายที่ห่างไกลยิ่งกว่าเผ่าซยงหนีว์ หากต้องการจะไปที่เยี่ยหลัวก็จำเป็นต้องเดินทางผ่านเผ่าซยงหนีว์ก่อน แต่จะเดินทางผ่านทางเส้นใดเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญ
เฉียวเวยพูดไม่ได้ว่าตนเองคุ้นเคยกับภูมิประเทศของราชวงศ์ต้าเหลียง หลังจากจีหมิงซิวให้ความรู้กับนางรอบหนึ่ง ในที่สุดนางก็พอเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าต้าเหลียงกับซยงหนีว์มีอาณาเขตติดต่อกันอย่างไร
กล่าวโดยสรุปก็คือ ทั้งสองแคว้นต่างเป็นแว่นแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เมืองที่มีชายแดนติดกับเผ่าซยงหนีว์มีอยู่ทั้งหมดสามเมือง ได้แก่เมืองผู เมืองเหลียวและเมืองหยวนอัน ตอนที่คณะทูตจากเยี่ยหลัวกับซยงหนีว์เดินทางมา พวกเขาเดินทางผ่านเมืองหยวนอัน เพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นทางตรงที่ใกล้ที่สุด หากคนผู้นั้นรีบร้อนพาพวกจิ่งอวิ๋นกลับเยี่ยหลัว ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะเลือกเมืองแห่งนี้
“แม่ทัพตัวหลัวกับหลี่อวี้ประจำการอยู่ที่เมืองหยวนอันใช่หรือไม่” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวพยักหน้า แต่เดิมมีเพียงแม่ทัพตัวหลัวที่ประจำการอยู่ แต่หลี่อวี้ขันอาสาตามพ่อตามายังแดนเหนืออย่างกล้าหาญเพื่อมาประจำการตำแหน่งรองแม่ทัพชั่วคราวด้วย เพราะเขาหวังจะประจบเอาใจว่าที่พ่อตา “ข้าส่งพิราบสื่อสารไปแจ้งแม่ทัพตัวหลัวแล้ว ให้เขาจับตาดูการเคลื่อนไหวในเมือง หากมีกลุ่มคนที่น่าสงสัยให้จับตัวไว้ทันที”
“อีกสองเมืองที่เหลือเล่า” เฉียวเวยถาม นางกังวลว่าหากอีกฝ่ายทราบความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพตัวหลัวกับจีหมิงซิว พวกเขาจะไม่เลือกกระโดดลงมาในกองไฟ
จีหมิงซิวทำท่าครุ่นคิด “อีกสองเมืองที่เหลือ เจ้าเมืองเหลียวมีความสัมพันธ์กับราชสำนักค่อนข้างดี ส่วนเมืองผูแห่งนี้พูดยาก”
เฉียวเวยงุนงง “มีความสัมพันธ์กับราชสำนักค่อนข้างดีหมายความว่าอย่างไร พวกเขาเป็นเมืองของต้าเหลียงทั้งหมดไม่ใช่หรือ หรือว่า…ไม่อยู่ในการปกครองของราชสำนักเช่นนั้นหรือ”
จีหมิงซิวอธิบายว่า “พวกเขาเป็นชนเผ่าเล็กๆ ทางชายแดนเหนือ แม้จะสวามิภักดิ์กับราชสำนัก แต่ก็มีสิทธิในการปกครองตนเอง เหมือนกับแคว้นประเทศราษฎร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง”
เฉียวเวยคล้ายจะเข้าใจแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเมืองผูที่พูดถึงเมื่อครู่สถานการณ์เป็นเช่นไร ฟังจากคำพูดแล้วเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกับราชสำนักอย่างนั้นหรือ”
แววตาของจีหมิงซิวเข้มขึ้น “ถูกต้องแล้ว เจ้าเมืองผูไม่พอใจราชสำนักมากจริงๆ”
ไม่เพียงไม่พอใจ แต่ยังไม่พอใจมากๆ ด้วย ทำให้อัครมหาเสนาบดีแห่งรัชสมัยหนึ่งให้คำวิจารณ์เช่นนี้ออกมาได้ เมืองผูเกรงว่าคงจะไม่ได้ไม่พอใจระดับธรรมดาๆ แล้ว
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “เพราะเหตุใดเล่า”
จีหมิงซิวชะงักครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เพราะธิดาบุญธรรมของเจ้าเมืองผู”
“อะไรนะ” เฉียวเวยคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
เรื่องนี้หากจะเล่าก็ค่อนข้างยาวเล็กน้อย เมืองผูสวามิภักดิ์กับราชสำนักมาตั้งแต่สมัยต้นของราชวงศ์ เจ้าเมืองคนเก่าเคยพาลูกชายทั้งสองคนเข้าไปรับพระราชทานตำแหน่งที่เมืองหลวง ยามนั้นฮ่องเต้ยังไม่ทันได้เป็นรัชทายาทเลยด้วยซ้ำ พูดกันตามตรงก็คือบิดาของเขาเพิ่งจะได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ส่วนเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยน่าสงสารที่น้ำมูกยืดทั้งวันในตำหนักบูรพา
โหมดอ่านต่อเนื่อง