หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 454-1 ความลับของฮองเฮา
ตอนที่ 454-1 ความลับของฮองเฮา
เฉียวเวยไม่คิดว่าจีหมิงซิวกับตนเองจะมีคนคุ้ยเคยคนไหนอยู่ที่เยี่ยหลัว ท่านอ๋องที่ส่งคนมาดักรอพวกเขาตรงด่านชายแดน นอกจากบิดาของมู่ชิวหยางแล้วคงไม่มีทางเป็นคนอื่นได้อีก
“ท่านอ๋องของเจ้ารู้ร่องรอยของพวกเราดีจริงนะ” เฉียวเวยหัวเราะ พูดออกมาคล้ายไม่ใส่ใจ
ชายวัยกลางคนยิ้มตอบแต่ไม่พูดอันใด
ตระกูลจีเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น จวนมู่อ๋องจะสืบข่าวมาได้บ้างก็เป็นเรื่องสมควร ไม่แน่พวกเขาอาจจะไม่ได้รู้แค่ว่าพวกเขาเดินทางมาถึงที่ใดแล้ว แต่ยังรู้ดีด้วยว่าพวกเขาจะต้องเดินทางมาเยี่ยหลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมาดักรอที่เมืองหลงเฟิ่งตั้งแต่แรก
ตอนแรกที่พวกเขาจับตัวมู่ชิวหยางไว้ เป้าหมายก็เพื่อที่จะเข้าหาจวนมู่อ๋อง วันนี้ผู้อื่นเอาตัวเองมาประเคนส่งถึงประตู ย่อมไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธ
จีหมิงซิวผู้นั่งอยู่ด้านในรถม้าเอ่ยคำว่า “รบกวนนำทางด้วย” อย่างเฉยชา ชายวัยกลางคนพรูลมหายใจพลางมองสำรวจรถม้าของคณะเดินทางอย่างสงสัย ขณะเดียวกันก็ผายมือเชิญอย่างมีมารยาท “เชิญขอรับ”
เฉียวเวยทราบว่าเขามองสำรวจสิ่งใด แต่น่ากลัวว่าดวงตาของเขาคงจะมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ชายวัยกลางคนน่าจะได้รับคำเตือนจากท่านอ๋องมาแล้วว่าห้ามบุ่มบ่ามทำอะไร เขาจึงไม่เอ่ยคำพูดที่ไม่สมควรพูดแม้แต่คำเดียว
คณะเดินทางตามเขาไปถึงจวนน้อยหลังหนึ่งในเมืองอย่างราบรื่น รูปแบบสิ่งก่อสร้างของจวนแตกต่างกับของต้าเหลียงอย่างมาก แต่กลับมีส่วนที่คล้ายคลึงกับชนเผ่าลึกลับอยู่เล็กน้อย มีกลิ่นอายของความเป็นต่างแดนอยู่นิดๆ
เด็กน้อยทั้งสองคนฟุบหลับอยู่ในอ้อมแขนของบิดามารดา พวกเขายังไม่รู้ว่าตนเองออกมาจากทะเลทรายแล้ว จิ่งอวิ๋นเหนื่อยแทบแย่ เขาไม่เคยเดินทางไกลเท่านี้มาก่อน ส่วนวั่งซูพลังเต็มเปี่ยม แต่ว่านางทนกับอาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อนไม่ไหว พอรถม้าโคลงเคลงเข้าหน่อยก็กอดพี่ชายขึ้นไปพบโจวกง[1]เรียบร้อย
ชายวัยกลางคนเห็นจีหมิงซิวกับเฉียวเวยอุ้มเด็กน้อยสองคนไว้ในอ้อมแขน แต่สีหน้าไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจเท่าใดนัก ทว่าในใจคิดเช่นไรก็สุดจะรู้ เขาเตรียมห้องห้องหนึ่งให้ทั้งสองคนอย่างใส่ใจมาก เครื่องเรือนภายในห้องมองออกว่าใช้ความเอาใจใส่เพราะพวกมันคล้ายคลึงกับรูปแบบที่พักอาศัยของต้าเหลียงอย่างยิ่ง หลังจากเดินทางระหกระเหินมาแสนไกลจู่ๆ ได้เข้ามาอยู่ในห้องเช่นนี้ ไม่อาจไม่บอกว่าพวกเขามีความรู้สึกเหมือนได้กลับมาถึงบ้าน
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยวางลูกน้อยลง แล้วให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชีเฝ้าเอาไว้ ส่วนทั้งสองคนมุ่งหน้าไปพบมู่อ๋องที่ห้องโถงดื่มชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ ตามมาด้วย
ชายวัยกลางคนงงงวย เห็นชัดว่าจับคนผู้นี้ไปเทียบกับรายชื่อที่ได้รับมาก่อนแล้วไม่เจอ
นี่จะโทษเขาก็ไม่ได้ ตอนออกเดินทางพวกจีหมิงซิวไม่ได้พาน้องชายคนนี้มาด้วย เขาไหนเลยจะรู้ว่าคนผู้นี้โผล่มาจากที่ใด
“น้องชายของข้าเอง” จีหมิงซิวบอก
ชายวัยกลางคนรีบคลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็ท่านโหราจารย์ เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืดอกอย่างหยิ่งทะนง!
เฉียวเวยเหล่ตามองเขา ตอนนั้นจะให้เจ้าเป็นโหราจารย์ เจ้าไม่ยอมเป็น ตอนนี้ในที่สุดก็ได้สัมผัสข้อดีของฐานะนี้แล้วสินะ
เพียงแต่ว่าเขาอาจจะเป็นโหราจารย์ที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์…
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องโถงดื่มชา ชายวัยกลางคนก็รายงานจากหน้าประตู “ท่านอ๋อง ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ท่านโหราจารย์กับจั๋วหม่าน้อยมาถึงแล้วขอรับ”
เขาเพิ่มชื่อโหราจารย์เข้าไปด้วย เห็นชัดว่ากำลังแจ้งท่านอ๋องในห้องโถงดื่มชาว่าพวกเขามีแขกสูงศักดิ์เพิ่มมาหนึ่งคน
ภายในห้องมีเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจดังขึ้น “เชิญ”
ชายวัยกลางคนแหวกม่านประตู “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ท่านโหราจารย์ จั๋วหม่าน้อย เชิญ”
ทั้งสามคนก้าวเข้าไปในห้อง
เวลานี้พลบค่ำแล้ว แสงอัสดงสีเหลืองส้มเอียงสาดเข้ามาจากทางหน้าต่าง ส่องกระทบร่างบุรุษรูปร่างกำยำที่อยู่กลางห้องโถงดื่มชา เขาสวมชุดของคนชนเผ่าทางเหนือที่เป็นเสื้อคอกลมสีครามเข้ม ตรงเอวคาดเข็มขัดหนัง เท้าอยู่ในรองเท้าหนังวัวหุ้มขึ้นมาถึงแข้ง เขาไม่มีมาดสุขุมสง่าเช่นอ๋องของราชวงศ์ต้าเหลียง แต่มีบรรยากาศของความยโสเหิมเกริมแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง บรรยากาศรอบตัวที่คุกคามเช่นนี้ย่อมทำให้คนที่พบเจอครั้งแรกรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทว่าความอึดอัดเช่นนี้ก็ช่วยลดความคาดหวังที่คนผู้หนึ่งมีต่อเขาได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
“มู่อ๋อง” จีหมิงซิวเอ่ยทักทาย
มู่อ๋องหันกายกลับมา สายตาทรงอำนาจจับจ้องบนใบหน้าของจีหมิงซิว ไม่นานก็เลื่อนไปจับบนใบหน้าของใต้เท้าเจ้าสำนักต่อ เขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่บุรุษสองคนนี้สวมหน้ากาก เพียงแต่บรรยากาศรอบตัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทั้งสองคนทำให้เขาชำเลืองมองเพิ่มเล็กน้อย ต่อมาเมื่อสายตาของเขามองมาที่ใบหน้าของเฉียวเวย เขาก็ชะงักไปวูบหนึ่งอย่างที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
หลังจากนั้นเขาก็เชิญทุกคนนั่งลง ส่วนตนเองนั่งลงตรงตำแหน่งประธาน เสร็จแล้วจึงใช้ภาษาฮั่นที่คล่องแคล่วบอกว่า “ทุกท่านเดินทางมาไกลคงจะเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ข้าไม่ต้องการจะรบกวนการพักผ่อนของพวกเจ้า จะขอพูดกับพวกเจ้าสั้นๆ ข้าทราบว่าพวกเจ้าเดินทางมาเยี่ยหลัวเพื่อทำสิ่งใด เรื่องอื่นข้าคงช่วยเหลือไม่ได้ แต่ตำราฝ่ามือเก้าสุริยัน ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าได้มาไว้ในมืออย่างแน่นอน”
แววตาของเฉียวเวยสั่นไหววูบหนึ่ง ทุกคนต่างเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจดีว่าสองตระกูลสั่งสมความแค้นลึกล้ำต่อกันมา จึงไม่จำเป็นต้องตีหน้าเสแสร้งอย่างในราชสำนักอีก
สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือข่าวสารของท่านอ๋องผู้นี้ว่องไวถึงเพียงนี้เชียว เขาทราบแม้แต่เรื่องที่ว่าพวกนางเดินทางมาเยี่ยหลัวเพื่อทำสิ่งใด นางไม่คิดว่าเขาแสร้งหลอก เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นและก็คงหลอกพวกนางไม่ได้ด้วย
ชายวัยกลางคนยกชาเข้ามา ไม่ใช่ชาต้มแบบของเยี่ยหลัว แต่เป็นหลงจิ่งชงน้ำแบบของจงหยวน
จีหมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นมา นิ้วมือเรียวยาวประหนึ่งหยกจับฝาถ้วยปัดน้ำชาที่ร้อนลวกเบาๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ท่านอ๋องใจกว้างเช่นนี้ พวกข้ามิสู้บอกกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง จวนมู่อ๋องเคยทำสิ่งใดกับมารดาของข้า ในใจท่านอ๋องทราบชัดดี อย่าคิดว่าตำราเล่มเดียวเท่านี้จะไถ่ตัวบุตรชายของท่านอ๋องกลับไปได้ ใต้หล้าไม่มีเรื่องง่ายดายเช่นนั้น”
มู่อ๋องเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าสังหารอาจารย์ยาของพวกข้า ลักพาตัวธิดาบุญธรรมของข้าไปแล้ว เท่านี้ยังไม่พอให้เจ้าคลายความแค้นอีกหรือ”
จีหมิงซิวเหลือบมองอย่างเย็นชา “ต่อให้ข้าสังหารคนในจวนมู่อ๋องของพวกท่านจนสิ้น มารดาของข้าก็ไม่กลับมา ท่านอ๋องคิดว่า…ข้าจะคล้ายความแค้นได้หรือ”
มู่อ๋องสะอึกทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลูบแหวนหยกบนนิ้วโป้งมือซ้าย แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องในตอนนั้น ข้าก็รับคำสั่งมาเช่นกัน เจาหมิงนาง…ทรยศเยี่ยหลัว ข้าจึงได้รับคำสั่งให้จัดการนาง ข้าเองก็อับจนหนทาง”
จีหมิงซิวโต้เสียงเย็นชา “จัดการมารดาข้าจำเป็นต้องใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันด้วยหรือ ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดว่าข้าเด็กกว่าท่านหนึ่งรุ่นแล้วจะหลอกข้าได้เหมือนข้าเป็นคนโง่กระมัง”
มู่อ๋องตอบว่า “เจ้าจะเชื่อก็ดี จะไม่เชื่อก็ช่าง ข้าทำตามที่ได้รับคำสั่งมาจริงๆ”
เฉียวเวยแค่นหัวเราะ “ตอนนั้นท่านอ๋องภักดีต่อเยี่ยหลัวถึงเพียงนั้น เหตุใดยามนี้จึงไม่ทำตามคำสั่งแล้วเล่า รีบจับตัวพวกเราส่งไปให้ทางการสิ”
มู่อ๋องจ้องเฉียวเวยเขม็ง
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา “ท่านอ๋องไม่ใช่ครอบครัวมิตรสหายคนใดของข้า ข้าไม่จำเป็นต้องเห็นใจความจำใจของท่านอ๋อง ข้ารู้แต่ว่าคนจวนอ๋องของพวกท่านทำร้ายมารดาของข้า ทำให้พวกเราสามพี่น้องตายไปหนึ่งคน บาดเจ็บอีกสองคน แล้วพวกท่านยังลักพาตัวไปหนึ่งคนทำให้มารดาของข้าต้องตรอมใจจนตาย”
มู่อ๋องสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด ท่าทางเหมือนยากจะเอ่ยคำพูด
เฉียวเวยคิดในใจ ต่อให้ทั้งหมดเป็นการทำตามคำสั่ง ต่อให้เจ้าบริสุทธิ์อีกเท่าใด จะบริสุทธิ์ไปกว่าองค์หญิงกับบุตรทั้งสามของนางหรือ อีกอย่างนางไม่เชื่อหรอกว่ามู่อ๋องคนนี้ไม่มีเจตนาส่วนตัวแฝงอยู่เลยสักนิดจริงๆ
มู่อ๋องข่มเพลิงโทสะลงไป แล้วตอบด้วยน้ำเสียงดังเช่นปกติ “อัครมหาเสนาบดีต้องการเช่นไรจึงจะยอมปล่อยบุตรชายของข้า”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจอมเจ้าเล่ห์เอ่ยขึ้นมาว่า “จะปล่อยตัวไปง่ายๆ ก็คงไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องบีบคั้นท่านอ๋องสักหน่อย ให้ท่านอ๋องช่วยข้าทำเรื่องบางอย่างถึงจะเลิกแล้วต่อกัน”
มู่อ๋องโมโหจนแทบวางวาย คนผู้นี้…คนผู้นี้เหตุไฉนจึงไร้ยางอายได้เช่นนี้!
จีหมิงซิวทำเหมือนมองไม่เห็นใบหน้าที่ดำจนเป็นถ่านของมู่อ๋อง เขากล่าวอย่างอ้อยอิ่ง “ตอนแรกที่ซื่อจื่อเดินทางไปติดต่อกับฉางเฟิงสื่อเพื่อขโมยกระบี่โหราจารย์ของตระกูลจี เขาก็สมควรจะคาดการณ์จุดจบเช่นวันนี้เอาไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าซื่อจื่อจะกระทำด้วยตนเองคนเดียวหรือว่ามีเจตนาของท่านอ๋องอยู่ด้วย ยามนี้ก็ถึงเวลาที่จวนมู่อ๋องจะต้องชดใช้ ท่านอ๋องคิดว่าอย่างไรเล่า”
มู่อ๋องข่มกลั้นเพลิงโทสะตอบว่า “ข้าจะว่าอย่างไรได้อีก ข้าพูดอันใดได้ด้วยหรือ ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านี้ ข้าจะไม่สนใจความเป็นความตายของเขาได้หรือไร แต่ต่อให้ข้าจะพูดเช่นนี้ แล้วอัครมหาเสนาบดีจะเชื่อหรือไร”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ท่านอ๋องรักลูกอย่างแท้จริง ข้าน้อยนับถือ”
ยังจะยิ้มอีก มู่อ๋องดื่มชาคำโตแล้วกระแทกวางถ้วยชา “พวกเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด แต่ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ข้าจะไม่ขายเยี่ยหลัวอย่างเด็ดขาดและจะไม่เป็นศัตรูกับพี่ใหญ่ของข้าอย่างแน่นอน!”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ท่านอ๋องเพียงต้องช่วยพวกข้าจัดการคนผู้หนึ่งก็พอ ส่วนเรื่องอื่นพวกข้าย่อมคิดหาหนทางเอง”
มู่อ๋องมองจีหมิงซิว “พวกเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใดกันแน่”
[1]โจวกง น้องชายของโจวอู่อ๋องจักรพรรติพระองค์แรกแห่งราชวงศ์โจวตะวันตก