หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 456-1 พบฮองเฮาอีกครั้ง
ตอนที่ 456-1 พบฮองเฮาอีกครั้ง
หากเฉียวเวยจำไม่ผิด ฟู่เสวี่ยเยียนเหมือนจะเป็นลูกสาวคนสุดท้ายของตระกูลกู่ เหตุไฉนจึงมีน้องสาวอีกคนหนึ่งโผล่ออกมาได้
หากจะบอกว่านางไม่ใช่น้องสาวของฟู่เสวี่ยเยียน ดวงหน้านั่นก็คล้ายกันมากเหลือเกิน…
เฉียวเวยครุ่นคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะถามเรื่องในบ้านของผู้อื่นต่อหน้า จึงแย้มยิ้มส่งต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งให้นาง นับว่าขอบคุณที่นางช่วยแก้สถานการณ์ให้ตนเอง
ฟู่เสวี่ยเยียนเป็นธิดาบุญธรรมของมู่อ๋อง มู่อ๋องเลี้ยงดูนางเพื่อให้เป็นฮองเฮาในอนาคต น่าเสียดายธิดาบุญธรรมคนนี้กลับไม่ทำตามแผนการของเขา ดันกลายไปเป็นสายลับของฮองเฮา มู่อ๋องคงรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นน้องสาวคนนี้เล่าจะรู้หรือไม่
นางเป็นสายลับของฮองเฮาด้วยหรือเปล่า
“ปิงเอ๋อร์” เฉียวเวยยิ้ม “ข้ามาถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุไฉนจึงไม่เห็นพี่สาวของเจ้าเลยเล่า”
ปิงเอ๋อร์ชะงักครู่หนึ่งก็ตอบว่า “พี่สาวเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ ได้ยินว่าเป็นพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮา”
เอาฟู่เสวี่ยเยียนไปไว้กับตัวเร็วขนาดนี้ นี่ไม่กลัวว่าฐานะสายลับของฟู่เสวี่ยเยียนจะถูกเปิดเผยเลยใช่หรือไม่
เฉียวเวยไม่เข้าใจว่าฮองเฮาคิดอะไรอยู่ เมื่อนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ก็หันไปมองปิงเอ๋อร์อีก “เกิดเรื่องกับพี่สาวของเจ้าที่ต้าเหลียงไม่น้อย เจ้าได้ยินข่าวอันใดบ้างหรือไม่”
ปิงเอ๋อร์หน้าถอดสี “พี่สาวเกิดเรื่องที่ต้าเหลียงหรือเจ้าคะ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เด็กคนนี้ ไม่รู้อะไรเลยสินะ…
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว จากนั้นก็คลี่ยิ้มบอกว่า “ไม่มีอันใดหรอก ให้พี่สาวของเจ้าเล่าให้เจ้าฟังเองเถิด”
ปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สาวจะแต่งงานกับองค์ชายสามอยู่แล้ว เดิมทีข้าคิดว่านางถูกฮองเฮาเรียกเข้าวังไปเพราะเรื่องนี้ แต่ว่า…ท่านบอกว่าพี่สาวเกิดเรื่องในต้าเหลียง…นางทำสิ่งใดให้ฮองเฮาพิโรธหรือไม่เจ้าคะ”
นี่ไม่รู้เรื่องระหว่างเจ้าซื่อบื้อกับฟู่เสวี่ยเยียนจริงๆ หรือ
เฉียวเวยยิ้ม “อย่ากังวลเลย เจ้าบอกเองว่าพี่สาวของเจ้าเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของฮองเฮา นางจะโกรธลูกสะใภ้ของตนเองได้อย่างไร หลังนางกลับมาจากต้าเหลียง เจ้าก็ยังไม่ได้พบหน้านางเลยสินะ”
“เจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์พยักหน้า
เฉียวเวยบอกอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนแรกพี่สาวของเจ้าไปทำสิ่งใดที่ต้าเหลียง”
ปิงเอ๋อร์ส่ายหน้า “ซื่อจื่อพานางไป ไปทำสิ่งใดข้าเองก็ไม่ทราบ เวิงจู่โกรธมากเพราะเรื่องนี้”
เจ้าเด็กน้อยคนนั้นแม้แต่พี่ชายน้องสาวก็ยังหึง! เฉียวเวยยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด แล้วบอกว่า “เวิงจู่โมโหร้ายถึงเพียงนี้ คงทำให้พี่สาวเจ้าลำบากไม่น้อยสินะ”
ปิงเอ๋อร์ตอบว่า “เรื่องนั้นไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ซื่อจื่อปกป้องพี่สาวเป็นอย่างดี เวิงจู่จึงรังแกนางไม่ได้”
เจ้าคนวิตถารคนนั้นไม่ใช่คิดจะทำให้ฟู่เสวี่ยเยียนแท้งหรอกหรือ แล้วยังตบหน้าฟู่เสวี่ยเยียนอีกด้วย เหตใดปกติจึงปกป้องฟู่เสวี่ยเยียนเล่า
เฉียวเวยไม่ได้คิดในแง่ความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิง ในเมื่อตนเองตัดสัมพันธ์กับฟู่เสวี่ยเยียนไปนานแล้ว นางจะใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่ ถูกผู้ใดรังแกหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของตนแล้วนี่ ร้อนรนเป็นห่วงเป็นใยนางเช่นนี้เหมือนตนเองใส่ใจนางมากมายอย่างนั้นแหละ!
“จั๋วหม่าน้อยเป็นสหายของพี่สาวข้าหรือเจ้าคะ” ปิงเอ๋อร์ถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ข้าจับตัวซื่อจื่อบ้านเจ้ามา เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นสหายกับน้องสาวของเขาได้หรือ”
รอยยิ้มของปิงเอ๋อร์แข็งค้างบนใบหน้า นางก้มหน้าตอบอย่างรู้จักสถานการณ์ “ข้าปากมากเองเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเห็นตนเองรังแกแม่นางน้อยบ้านอื่นจนจวนเจียนจะร้องไห้ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดๆ นางกระแอมแล้วบอกว่า “เรื่องในวันนี้ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าไปทำงานเถิด มีเวลาว่างค่อยแวะมานั่งเล่น”
ปิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “จั๋วหม่าน้อยไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัว ใช้งานผู้อื่นอาจจะไม่ได้ดั่งใจนัก ข้าจะไปบอกพ่อบ้านปี้ให้ข้ามาอยู่ปรนนิบัติจั๋วหม่าน้อยทางฝั่งนี้”
ปรนนิบัติหรือ
คุณหนูเยี่ยหลัวผู้นี้เข้าใจใช่หรือไม่ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร
ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น พ่อบ้านปี้ก็แวะมาที่เรือนฟางชุ่ยหยวน นำอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเยี่ยเหลียงจำนวนหนึ่งมาส่งให้ เฉียวเวยจึงถือโอกาสถามเรื่องของปิงเอ๋อร์
รอยยิ้มของพ่อบ้านปี้เจื่อนลง “นางเป็นคุณหนูตระกูลกู่เสียที่ไหนเล่าขอรับ ก็แค่ลูกของบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น”
เฉียวเวยบื้อใบ้
พ่อบ้านปี้จึงเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังอย่างละเอียด ที่แท้แม่นางปิงเอ๋อร์คนนี้ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลกู่ แต่เป็นน้องสาวต่างบิดาของฟู่เสวี่ยเยียน ตระกูลกู่ของฟู่เสวี่ยเยียนพบหายนะสิ้นตระกูลตั้งแต่นางยังเล็ก เวลานั้นมารดาของฟู่เสวี่ยเยียนหนีออกไปได้ หลังจากนางหนีเอาชีวิตรอดมาได้ก็มีบ่าวต่ำต้อยคนหนึ่งให้นางมาพักอาศัยด้วย ไม่ทราบว่านางยินยอมเองหรือถูกบีบบังคับ สุดท้ายนางก็ให้กำเนิดบุตรสาวออกมาคนหนึ่งในบ้านของบ่าวผู้นี้ เด็กคนนั้นก็คือปิงเอ๋อร์
มารดาของฟู่เสวี่ยเยียนหายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราว ฟู่เสวี่ยเยียนคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว จนกระทั่งปีที่ปิงเอ๋อร์อายุหกขวบ บ่าวคนนั้นเสียชีวิต มารดาของฟู่เสวี่ยเยียนเองก็ล้มป่วยหนัก คงจะอยู่บนโลกมนุษย์ได้อีกไม่นาน ด้วยความอับจนหนทาง มารดาของฟู่เสวี่ยเยียนจึงพาปิงเอ๋อร์มาที่จวนมู่อ๋อง ขอร้องให้ฟู่เสวี่ยเยียนที่อายุสิบปีเต็มรับน้องสาวของตนเองไปอยู่ด้วย
มู่อ๋องเป็นผู้แสดงความเมตตารับปิงเอ๋อร์เอาไว้ แต่ไม่ได้เลี้ยงดูในฐานะคุณหนู หากนางอยากจะอยู่ในจวนอ๋องก็มีข้าวให้นางกิน แต่หากไม่ยินดีจะอยู่ก็เก็บสัมภาระ อยากจะไสหัวไปไหนก็ไสหัวไปที่นั่น
ตัวปิงเอ๋อร์เป็นเด็กหนักเอาเบาสู้ รู้ความตั้งแต่เล็ก ทั้งทนความลำบาก ทนงานหนักแล้วยังฉลาดเฉลียวเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดสอนหนังสือให้นาง แต่ทุกครั้งที่ฟู่เสวี่ยเยียนกับมู่ชิวหยางร่ำเรียน นางก็จะยืนแอบฟังอยู่ข้างนอก ฟังไปฟังมาก็เขียนตัวอักษรได้อยู่หลายตัว อ่านบทกวีออกอยู่หลายบท
บางครั้งฟู่เสวี่ยเยียนก็สอนนางบ้าง
สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ดีต่อกันไม่เลว
เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีชาติกำเนิดที่ซับซ้อนเช่นนี้ พี่สาวเกิดมามีชะตาเป็นฮองเฮา แต่นางกลับเป็นได้เพียงบ่าวไพร่ ไม่เกิดใจริษยาอันใดขึ้นมาช่างหายากอย่างแท้จริง
เฉียวเวยคิดถึงฮองเฮากับเจาหมิงขึ้นมาอีกครั้ง สาเหตุที่ฮองเฮามุ่งมั่นจะเล่นงานเจาหมิง เล่นงานตระกูลจีเช่นนี้จะเป็นเพราะว่าริษยาที่เจาหมิงได้มีชีวิตดีกว่าตนเองตั้งแต่เล็กหรือไม่นะ
เวลาอาหารเย็นมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่กลับมา ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเตร็ดเตร่ในจวนอ๋องรอบหนึ่งไม่พบเงาของทั้งสองคน จึงกลับมายังเรือนฟางชุ่ยหยวนอย่างโมโหโทโส “ทำอะไรก็ทิ้งข้าตลอด ให้ข้ามารออยู่กับพวกผู้หญิงกับเด็กน้อย! ทำเกินไปแล้ว!”
ในใจเฉียวเวยคิดว่าเจ้าน่าวางใจน้อยกว่าเด็กน้อยสองคนเสียด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านประสบการณ์ลืมไม่ลงกับชาของเยี่ยหลัวมาแล้ว เฉียวเวยก็ไม่คาดหวังอะไรจากห้องครัวของเยี่ยหลัวนัก ทว่าสิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือรสชาติอาหารอร่อยผิดคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแพะต้มทั้งโครงจานนั้น อร่อยจนเฉียวเวยแทบจะกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วย
ทั้งหกคนกินจนอิ่มก็ประคองท้องไปเดินเล่นที่ลานด้านหน้า เดินไปๆ สือชีก็อุ้มวั่งซูเหินขึ้นฟ้า จิ่งอวิ๋นรู้หน้าที่เกาะขาของสือชีอย่างชำนาญ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ เกาะต้นขาของสือชีเหินฟิ้วๆ ไปด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่ แสดงออกว่าเขาไม่อิจฉาสักนิด!
เฉียวเวยเดินเล่นพักหนึ่งก็เห็นปิงเอ๋อร์หิ้วห่อผ้าห่อใหญ่สองห่อเดินผ่านมา เดิมทีปิงเอ๋อร์จะทำสิ่งใดย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเฉียวเวย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเฉียวเวยราวกับมีเทพผีตนใดดลใจให้เรียกนางไว้ “แม่นางปิงเอ๋อร์!”
เรียกเสร็จ เฉียวเวยก็นึกเสียใจ
เรียกทำไมเล่า สนิทกันนักหรือ ปากบอนเสียแล้ว
ปิงเอ๋อร์หยุดก้าวเท้า หันมายิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาหา “จั๋วหม่าน้อย”
นางกวาดสายตามองเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยู่ด้านหลังเฉียวเวยก็ตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะคำนับเอ่ยว่า “ปิงเอ๋อร์คารวะใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่นาง
เฉียวเวยยิ้มเจื่อนๆ “เขาไม่ใช่อัครมหาเสนาบดี แต่เป็นน้องชายของอัครมหาเสนาบดี”
“อ้อ ที่แท้ก็ท่านโหราจารย์ ปิงเอ๋อร์เสียมารยาทแล้ว” ปิงเอ๋อร์คำนับซ้ำอีกหน
********************************