หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 463 ความจริงของฮองเฮา (3)
ตอนที่ 463 ความจริงของฮองเฮา (3)
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น จังหวะนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายมีเพียงความเยาะหยัน ริมฝีปากสีฉ่ำยกขึ้นเล็นน้อย ใบหน้าที่ไม่ผ่านการผัดแป้งปรากฏเป็นแววเย็นยะเยือกอันน่าค้นหา ดูต่างกับท่านน้าที่ได้พบในสองวันแรกราวกับคนละคน
“ท่านแสร้งทำจริงๆ น่ะหรือ”
ถึงแม้ในใจจะมีคำตอบนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ ณ ขณะนี้เมื่อได้พูดมันออกมากับปาก ก็ทำให้เฉียวเวยรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยอยู่ดี
ฮองเฮาคล้ายหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “แสร้งทำแล้วอย่างไร ไม่แสร้งทำแล้วอย่างไร เม่นน้อยอย่างเจ้าอย่างไรก็ตกมาอยู่ในมือข้าแล้วไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยจะขยับตัว แต่กลับพบว่าตนขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด
ก็จริง นางเป็นคนมีกำลังภายใน ด้วยพละกำลังของตนจะรับมือกับยอดฝีมือมีกำลังภายในสักสองสามคนไม่เป็นปัญหา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีนางนี้ที่ล้ำลึกยากจะหยั่งถึงแล้ว กลับเป็นการหาเรื่องโดนดูหมิ่นโดยแท้
ดูนางจะพอใจกับปฏิกิริยาของเฉียวเวยมาก มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาก็โค้งเป็นองศาที่น่ามอง
“ไม่ต่อต้านแล้วหรือ” นางถาม
“ข้าต่อต้านได้หรือ” เฉียวเวยถามกลับ
นางยิ้มกว้างกว่าเดิม “ไม่ได้”
เฉียวเวยกรอกตาบนอย่างหมดคำจะเอ่ย “เจ้ายังบอกว่าไม่ได้ แล้วข้าจะขัดขืนอะไรได้อีก ถึงอย่างไรก็ตายเหมือนกัน ข้าจะลำบากทำเช่นนั้นไปไย”
นางมีดวงตาที่งดงาม ในรอยยิ้มแฝงไปด้วยยาพิษ ทำให้คนรู้สึกคล้ายเห็นดอกฝิ่นที่ขึ้นอยู่เต็มเนินเขา “เจ้านับว่าเข้าใจอะไรได้ดี”
“มาเข้าใจเอาเวลานี้จะมีประโยชน์อะไร ลงมาอยู่ในยมโลกแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่รับรูอะไรแล้วมิใช่หรือ”
คำพูดนี้ของเฉียวเวยมีความนัยอีกอย่างหนึ่ง
อีกฝ่ายระบายยิ้ม สองมือที่จับมือเฉียวเวยอยู่แน่นขึ้น เฉียวเวยรู้สึกเจ็บที่ข้อมือขวา กริชหลุดจากมือกระแทกลงกับพื้น
อีกฝ่ายแทบจะโน้มตัวเข้ามาทับนางทั้งตัว กดทับเฉียวเวยไว้กับตั่งบนรถม้าในท่วงท่าที่ออกจะล่อแหลม “นังหนูเอ๋ย อย่าใช้ลูกไม้นี้กับข้าเลย ไม่ได้ผลหรอก”
เฉียวเวยถูกอ่านความคิดออกเสียแล้ว นางลอบด่าอีกฝ่ายในใจว่านังปีศาจ จากนั้นก็ส่งยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ครั้งนี้ข้าตกมาอยู่ในมือเจ้า เชื่อว่าคงหนีรอดไปไม่ได้ง่ายๆ เช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องตาย สู้ให้ข้าตายไปพร้อมความกระจ่างไม่ดีหรือ เหตุใดเจ้าถึงจ้องจะเล่นงานข้า คนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเจ้าไม่ใช่องค์หญิงเจาหมิงหรือ อวิ๋นจูเอาธนูจันทร์โลหิตส่งต่อให้นาง ไม่ได้ส่งต่อให้เจ้า ในใจเจ้าเกิดความเคียดแค้น จึงคิดจะสังหารเจาหมิง แต่เพราะเจาหมิงแต่งงานเข้าตระกูลจี เจ้าเลยพาลอาฆาตแค้นไปถึงตระกูลจีด้วย หมิงซิวเป็นบุตรชายของเจาหมิง เจ้าจึงอาฆาตแค้นเขาไปด้วยงั้นสิ!
เรื่องเหล่านี้ข้าเข้าใจดี แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ เหตุใดเจ้าถึงต้องคิดเอาชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
พอได้ฟังที่เฉียวเวยพูดจนจบ นางก็แค่นเสียงออกทางจมูกอย่างเยาะหยัน ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะที่เฉียวเวยเดาผิด หรือหัวเราะเยาะที่เฉียวเวยใสซื่อจนเกินไป “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเหตุใดข้าถึงจ้องจะเล่นงานเจ้า”
“ไม่รู้” เฉียวเวยตอบไปตามตรง
นางเอาสองมือของเฉียวเวยจับตรึงไว้เหนือศีรษะ ใช้มือข้างเดียวจับเอาไว้ มือของนางไม่ใหญ่ แต่นิ้วมือกลับเรียวยาวอย่างยิ่ง ปลายนิ้วยิ่งแฝงไว้ด้วยพละกำลัง
เฉียวเวยรู้ว่าตนคงสลัดไม่หลุด จึงไม่แม้แต่จะทดลอง
นางใช้มือข้างที่ว่างจับใบหน้าที่แดงระเรื่อของเฉียววเวยไว้
เฉียวเวยรู้สึกเพียงว่าสิ่งที่ขยับอยู่ตรงข้างแก้มตนไม่ใช่มือ แต่เป็นงูพิษที่เย็นยะเยือกตัวหนึ่ง
นางประคองใบหน้าเฉียวเวย แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาตรงลำคอ “ข้าลงทุนลงแรงไปกับตัวเจ้าตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าถึงปีนขึ้นเตียงจีหมิงซิวไปได้เล่า”
ลงทนุลงแรงไปกับตัวนางมากมาย…ความหมายของนางคือ…เรื่องของคุณหนูใหญ่เฉียวกับยิ่นอ๋องเมื่อครานั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือ
ที่คุณหนูใหญ่เฉียวรักใคร่หลงใหลในยิ่นอ๋องแทบเป็นแทบตาย เป็นนางที่อยู่เบื้องหลังหรอกหรือ
“คืนนั้นเป็นท่านที่จับข้าไปไว้บนเตียงยิ่นอ๋องงั้นหรือ!”
ไม่ใช่แม่เลี้ยงสาว แต่เป็นนาง!
ฮองเฮาระบายยิ้ม ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ แต่รอยยิ้มบางเบานั้นได้บอกคำตอบต่อเฉียวเวยแล้ว
เฉียวเวยแทบจะไม่อยากเชื่อ แต่พอได้ลองใคร่ครวญดีๆ แล้วก็เห็นว่าใช่จะเป็นไปไม่ได้
องค์หญิงเจาหมิงคาดเดาถึงฐานะของหมิงซิวกับท่านแม่นางได้ตั้งแต่แรก จึงวางแผนเรื่องการแต่งงานระหว่างนางกับหมิงซิว ฮองเฮาที่เป็นน้องสาวขององค์หญิงเจาหมิง ไม่เคยได้รู้ข้อมูลใดๆ จากปากเจาหมิง
เจาหมิงหวังใจให้หมิงซิวได้ชนเผ่าลึกลับมาครอบครอง แล้วเหตุใดฮองเฮาจะไม่คาดหวังให้บุตรชายของตนได้บ้างเล่า
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเรื่องที่นางถูกส่งตัวขึ้นเตียงยิ่นอ๋องนั่นอย่างไร
นางผู้เป็นมารดานับว่าทุ่มเทลงไปมากจริงๆ เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่ายิ่นอ๋องผู้โง่เขลาไม่เพียงรู้ไม่เท่าทัน ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานยังทอดทิ้งนางเพื่อรักษาตัวรอดเสียด้วย
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยต่างหาก ข้าชอบพอบุตรชายท่านเพียงนั้น! ข้าอยากแต่งงานกับเขาจนตัวสั่น! จะเป็นอนุก็ยังยอม! แต่เป็นบุตรชายท่านเองที่ขลาดเขลา เกรงว่าฮ่องเต้จะกล่าวโทษ เลยผลักข้าออกมารับมีดแทน! หากจะโทษก็ต้องโทษตัวบุตรของท่านเอง มาโทษข้าได้อย่างไร”
เฉียวเวยบ่นกระปอดกระแปดอย่างจริงบ้างเท็จบ้าง เรื่องที่ตนไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนที่เหลือนางแต่งเติมขึ้นเองทั้งหมด
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าแผนการคนหรือจะสู้แผนการฟ้า สู้อุตส่าห์วางแผนเรื่องนางกับยิ่นอ๋องแทบตาย แต่สุดท้ายเรื่องราวที่เป็นไปกลับเลวร้ายถึงขีดสุด
ด้วยเหตุนี้มนุษย์เราหนอ อย่าได้ทำตัวเลวร้ายเกินไปจะดีกว่า มิใช่หรือ
“เป็นเพราะข้าทำแผนที่วาดฝันไว้ของท่านล้มเหลว ท่านจึงคิดแค้นข้ามาจนถึงบัดนี้ จนต้องสังหารข้าให้ได้งั้นหรือ ท่านบอกมาทีเหตุใดใจของท่านถึงได้เลวร้ายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ตอนนี้ท่านฆ่าข้า ท่านจะได้ชนเผ่าลึกลับมาครอบครองหรือ” เฉียวเวยถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ฮองเฮาระบายยิ้ม “ไม่รีบร้อน ค่อยๆ ฆ่าไปทีละคนสิ”
โรคจิต จิตวิปลาส!
นางค่อยดึงมือที่กุบอยู่ตรงคอเฉียวเวยกลับไป
ลำคอของเฉียวเวยอ่อนนุ่มแค่ไหนกัน นางออกแรงบีบเพียงนิดก็หักได้แล้ว ถ้าหักแล้วก็ไม่อาจต่อกลับมาได้อีก
ชั่วพริบตานั้น เฉียวเวยเงยหน้าขวับ แล้วจูบหนักๆ เข้าที่ริมฝีปากแดงฉ่ำของอีกฝ่าย!
นางพลันตะลึงค้าง
เฉียวเวยก็อึ้งไปเช่นกัน แต่เฉียวเวยอึ้งอยู่เพียงชั่วงสั้นๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงสติกลับมาได้ เฉียวเวยใช้เคล็ดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของตน… คุณหนูเฉียวศีรษะเหล็ก โขกใส่หน้าผากอีกฝ่ายอย่างรุนแรง!
นางถูกกระแทกหงายไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ศีรษะของเฉียวเวยก็มึนงงไปเช่นกัน สองตาเห็นดาว ในหูมีเสียงดังวิ้งๆ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดก็ทำให้เฉียวเวยมีแรงเลิกผ้าม่านขึ้น
สารถีชักดาบยาวออกมาทันที แล้วเล็งคมดาบตรงมาที่เฉียวเวย
เฉียวเวยยกเท้าถีบอีกฝ่ายกระเด็นลอยไปอย่างไม่เกรงใจ!
“คิดว่าข้าจะรังแกกันได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ เอาชนะนายเจ้าไม่ได้ แล้วยังจะจัดการเจ้าไม่ได้อีกหรือ”
พอกล่าววาจาดุดันจบ เฉียวเวยก็กระโดดลงรถม้า เร้นกายเข้าไปในถนนที่อยู่ด้านข้าง
ตอนฮองเฮากุมหน้าผากที่ถูกกระแทกจนบวมปูดมาเลิกผ้าม่านขึ้นนั้น บนถนนก็ไม่มีเงาของเฉียวเวยให้เห็นแล้ว
มือเรียวของนางกุมสายบังเหียนแล้วออกแรงดึง รถม้าก็หยุดลง
นางควักนกหวีดทองแดงจากอกเสื้อออกมาเป่าเบาๆ
ไม่เท่าไร ชางจิวก็ใช้วิชาตัวเบาลอยตัวมาหานาง เขาลงยืนที่พื้น ไขว้สองมือเพื่อทำความเคารพ “นายท่าน”
ฮองเฮาเอ่ยเสียงเย็น “นังหนูนั่นหนีไปแล้ว ไปตามหานางให้เจอ ต่อให้ต้องขุดลึกลงไปสามฉื่อก็ต้องค้นตัวนางมาให้ได้! อย่าให้นางกลับถึงจวนอ๋องเด็ดขาด!”
หากกลับไปถึงจวนก็คงจะจับตัวมาไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว หลักการนี้ชางจิวเข้าใจดี จึงรีบเรียกรวมพล ค้นหาไปทั่วทุกหัวถนน ปิดถนนทุกเส้น เข้าไปคนบ้านเรือนทุกหลัง
…
กลับมาเอ่ยถึงจีหมิงซิวกับใต้เท้าเจ้าสำนัก ทั้งสองกลับมาแล้วไม่พบเฉียวเวย พอถามถึงได้รู้ว่าเฉียวเวยออกไปข้างนอกอีกแล้ว
จีหมิงซิวรอแล้วรอเล่าอยู่ที่จวนก็ไม่เห็นเฉียวเวยกลับมาเสียที จึงตัดสินใจออกไปตามหาข้างนอก เขากับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งเดินพ้นประตู สารถีของเฉียวเวยก็กลับมาพอดี
สารถีคนนี้เป็นคนใหม่ จีหมิงซิวไม่รู้จักเขา แต่สารถีรู้จักจีหมิงซิวจึงทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วใช้ภาษาจงหยวนเอ่ยอย่างคล่องแคล่วว่า “ข้าน้อยทำความเคารพใต้เท้าอัครเสนาบดี นี่เป็นของของจั๋วหม่าน้อย ให้ข้าน้อยเอาไปไว้ให้ที่ชุ่ยฟางหยวนเลยหรือไม่”
ของที่เขาบอกว่าเป็นของเฉียวเวยคือถุงกระสอบใส่เหรียญทองกับภาพเหมือนภาพหนึ่ง
วันนี้ตอนเข้าวัง ราชาเยี่ยหลัวให้เหรียญทองหีบใหญ่กับพวกเขาสองพี่น้องอย่างไม่อาย จีหมิงซิวไม่สนใจเงินทองที่อยู่ตรงหน้า แต่รับภาพวาดไปเปิดดูแล้วถามว่า “เหตุใดจั๋วหม่าน้อยจึงไม่กลับมาพร้อมเจ้า”
สารถีตอบว่า “รถม้าเกิดเสีย จั๋วหม่าน้อยจึงนั่งรถม้าของฮองเฮากลับมาขอรับ”
สายตาจีหมิงซิวพลันมืดครึ้ม “ออกมานานเท่าไรแล้ว”
“สัก…สองชั่วยามได้แล้วกระมัง จั๋วหม่าน้อยยังไม่กลับมาอีกหรือ” ไม่น่าเป็นเช่นนั้นนี่ ถนนหนานเถิงอยู่ไม่ไกลเลย! พวกนางออกกันมาก่อนตั้งนาน น่าจะมาถึงก่อนนานแล้วถึงจะถูก!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอ้าปากค้าง หันไปมองจีหมิงซิว “…แย่…”
“เสียแล้ว” ยังไม่ทันพูดออกไป จีหมิงซิวก็สะบัดสายตาเย็นยะเยือกไปมองเขา “หุบปากอัปมงคลของเจ้าเสีย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยหุบปากฉับ
จีหมิงซิวเดินเร็วๆ ออกจากจวนอ๋อง พอเดินไปถึงประตูอยู่ๆ ก็คิดอะไรได้ จึงหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาด้วยความงุนงง “เอ๊ะ! เจ้านี่ยังไงกัน ไม่ไปตามหาแล้วหรือ”
จีหมิงซิวหันไปมองสารถี นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “ไปเรียนท่านอ๋องว่าลูกสะใภ้ของเขาหายตัวไป หากเขาตามตัวลูกสะใภ้เขากลับมาได้ บุตรชายของเขาจะเรียกเขาว่าพ่อ”
***********************