หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 464-1 หลักฐานความผิด
ตอนที่ 464-1 หลักฐานความผิด
สารถีอดอึ้งไปไม่ได้ ซื่อจื่อของเขายังไม่ได้แต่ภรรยาเลย ท่านอ๋องจะมีสะใภ้ได้อย่างไร
อีกอย่าง การที่ลูกชายเรียกตนว่าพ่อเป็นเรื่องใหญ่มากนักหรือ? ซื่อจื่อตอนอยู่ในจวนเรียกอยู่ทุกวัน ท่านอ๋องฟังจนเบื่อแล้วหรอก
สารถีสงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ก็ยังไปทำตามอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังนำคำพูดของจีหมิงซิวไปบอกกล่าวอย่างไม่มีตกหล่นอีกด้วย
เดิมทีเขายังคิดว่าท่านอ๋องก็คงจะถามด้วยความงุนงงเช่นกัน ไฉนเลยจะรู้ว่าท่านอ๋องไม่พูดอะไรสักคำ ก็คว้าเอากระบี่บนชั้นรีบวิ่งออกไปอย่างเร่งร้อนราวกับมีใครจะคลอดเลยทีเดียว
กลับมาเอ่ยถึงเฉียวเวย หลังจากหนีเข้าไปที่ถนนแล้ว อันที่จริงไม่ได้อันตรายอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ หากสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งแล้วนางอาจจะไม่ใช่คู่ปรับของชางจิว แต่พอเข้ามาปะปนอยู่ในตลาด ชางจิวเข้าถึงตัวนางไม่ได้แม้แต่ปลายก้อยแล้ว
เฉียวเวยหอบหิ้วเอาเหรียญทองที่ชนะพนันมาได้เข้าไปที่ร้านขายผ้า
นางรู้ว่าชางจิวกำลังหาตัวนาง แต่เขาต้องไล่หาไปทุกบ้าน คงหามาถึงที่นี้ไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นางเลือกเสื้อชุดหนึ่งมาด้วยความระมัดระวังเต็มที่ จากนั้นก็ที่ร้านเครื่องแป้ง ซื้อแป้งมาผัดหน้า
เฉียวเวยไปร้านขายของเบ็ดเตล็ดแล้วซื้อไม้เท้าหน้าตาเก่าๆ กับไข่ไก่หนึ่งตะกร้า แล้วเอาตะกร้ามรคล้องไว้ที่แขน เดินถือไม้เท้าออกถนนใหญ่ไป
ถ้ากล้ารับประกันว่าเวลานี้ต่อให้บิดาแท้ๆ ของนางมายืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางจำนางได้
องครักษ์ของชางจิงกับนักรบมรณะกำลังถือภาพเหมือนของนางไล่ค้นหาไปในบ้านแต่ละหลัง ภาพเหมือนนี้ย่อมไม่ได้วาดขึ้นตอนนี้ แต่เป็นภาพที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดูท่าอีกฝ่ายคงจะวางแผนมาอย่างดี คำนวณความเป็นไปได้ทุกอย่างมาแล้ว
แต่ต่อให้คำนวณมาดีอย่างไร จะสู้นางปลอมตัวได้หรือ
เฉียวเวยเดินผึ่งผายผ่านหน้าองครักษ์หลายคนไป
องครักษ์เหล่านั้นไม่แม้แต่จะแลนางกันเลยจริงๆ
แต่ในตอนที่นางเดินผ่านไปได้เจ็ดแปดก้าวหนึ่ง องครักษ์นายหนึ่งก็เดินตามมา ใช้ภาษาเยี่ยหลัวเอ่ยกับนางว่า “นี่ ท่านยาย ขอถามหน่อย เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่”
เฉียวเวยฟังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ จึงเอามือจับหู ทำท่าว่าข้าฟังไม่ถนัดว่าเจ้าพูดอะไร ช่วยพูดเสียงดังหน่อย
องครักษ์ผู้นั้นก็พูดเสียงดังขึ้นจริงๆ
เฉียวเวย “อ๋า?”
องครักษ์ “*@¥¥¥%!”
เฉียวเวย “อ๋า?”
องครักษ์ “…”
องครักษ์เลยเดินหนีไปด้วยความหัวเสีย!
เฉียวเวยกดมุมปากที่ยกขึ้นลง ตัวละครนี้วางได้เหมาะเหม็งนัก ฟังไม่รู้เรื่องก็ทำเป็นฟังไม่ได้ยินเสีย ผู้ใดจะสงสัยอะไรได้เล่า
หลังจากนั้นนางก็เจอองครักษ์อีกหลายคน ทั้งยังถูกถามซ้ำอีกรอบ สรุปก็คือไม่ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร นางก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเป็นพอ
ก่นอจะเดินออกจากถนนเส้นนั้น ชางจิวเดินมาทางนี้พอดี
เฉียวเวยยังคงใช้ไม้เท้ายัน เดินหิ้วไข่ไก่หนึ่งตะกร้าต่อไป นางเดินเฉียดผ่านชางจิวโดยที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น
ชางจิวเหลือบมองเฉียวเวยทีหนึ่งตามสัญชาตญาณ
ดีร้ายอย่างไรนางก็คลุกคลีอยู่กับอี้เชียนอินมานานเพียงนั้น แค่การแปลงโฉมเท่านั้นเฉียวเวยยังมั่นใจมากว่าไม่มีพิรุธอะไรแน่นอน
ชางจิวไม่เห็นอะไรผิดปกติจริงๆ หากเฉียวเวยเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ เขายังพอจะจับกำลังภายในได้บ้าง แต่กระนั้นเฉียวเวยก็ดันไม่มีกระทั่งกำลังภายในขั้นพื้นฐานที่สุด…
ชางจิวไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงดึงสายตากลับไป
แต่ชางจิวยังรู้สึกเอะใจ เลยอดหันกลับไปมองเฉียวเวยอีกครั้งไม่ได้
เฉียวเวยยังคงแสดงท่าทางไร้พิรุธเช่นเดิม
ชางจิวขมวดคิ้ว นิ่งใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ควักขวดกระเบื้องเล็กๆ จากอกเสื้อมาอันหนึ่ง เขาเปิดที่ปิดปากขวดออก แมลงกู่สีแดงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งค่อยๆ บินออกมา
ชั่วขณะที่แมลงกู่ร่อนลงเกาะบนหัวไหล่เฉียวเวยนั้น สีหน้าชางจิวก็พลันครึ้มลง “หยุดก่อน!”
เฉียวเวยบี้แมลงกู่ตัวเล็กๆ บนหัวไหล่จนตาย ถึงขั้นใช้แมลงกู่เชียวหรือ น่ารังเกียจนัก!
เฉียวเวยชักเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที!
ชางจิวพลันหน้าบึ้ง ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยตัววิ่งบนกำแพง แล้วกระโดดขึ้นไปเหนือศีรษะเฉียวเวย
อีกนิดเดียวเขาก็จะขวางทางหนีของเฉียวเวยไว้ได้แล้ว แต่ในตอนนั้นกลับมีทหารรักษาพระองค์ขี่ม้าวิ่งห้อเข้ามาในถนนที่จ๊อกแจ๊กจอแจด้วยความดุดัน
จำนวนทหารรักษาพระองค์มีเกือบหนึ่งร้อยนายได้ คล้ายเป็นมังกรตัวยาวที่กลืนกินแสงดาวบนท้องนภา เขาพาเอาความดุดันอันน่าเกรงขามเข้ามากลืนกินถนนเส้นนี้เอาไว้ทั้งหมด
จวนมู่อ๋องมีทหารกว่าครึ่งของเยี่ยหลัวอยู่ในการควบคุม ที่เรียกกันว่าท่านอ๋องเทพแห่งสงครามนั้นไม่ได้เรียกกันเฉยๆ ทหารรักษาพระองค์ของเยี่ยหลัวก็อยู่ในการดูแลของท่านมู่อ๋องเช่นกัน พอองครักษ์ที่แสนดุดันนั้นเข้ามาในถนน ขุมพลังในยุทธภพอย่างพวกชางจิวก็ดูเป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยไป
หากลากเอานักรบมรณะมาร่วมต่อสู้ด้วย บางทีอาจจะพอสู้กันได้บ้าง แต่ปัญหาคือชางจิวจะกล้าเปิดเผยนักรบมรณะของตนหรือไม่
นอกจากนักรบมรณะของตำหนักราชครูแล้ว นักรบมรณะของสังกัดอื่นล้วนผิดกฎหมดทั้งสิ้น หากจับได้จะต้องจับเป็นของหลวง หากเอาเป็นของหลวงไม่ได้ก็ต้องทำลายทิ้งให้สิ้นซาก
ยามที่ทหารรักษาพระองค์กรูกันเข้ามายิ่งใหญ่นั้น ชางจิวก็รู้ว่าวันนี้คงหมดหวังเสียแล้ว
ชางจิวมมองเฉียวเวยด้วยความขัดใจ
เฉียวเวยดึงผมปลอมกับหน้ากากออกต่อหน้าต่อตาเขาแล้วโบกมือพร้อมระบายยิ้มให้ “ลาก่อนนะ ใต้เท้าชาง!”
ชางจิวกำหมัดแน่นจนได้ยินเสียง ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ต้องถอนกำลังออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้!
ตอนชางจิวพาลูกน้องถอนกำลังออกไปนั้น รอยยิ้มบนหน้าของเฉียวเวยก็มลายหายไปทันที ถึงแม้จะบอกว่าเข้ามาช่วยไว้ได้ทันการณ์ แต่เมื่อครู่ก็สุ่มเสี่ยงมากจริงๆ!
หากทหารรักษาพระองค์มาช้ากว่านี้ไปเพียงก้าวเดียว นางคงตกไปอยู่ในกรงเล็บของชางจิวแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้น่าก็ยังนึกกลัวขึ้นมาจริงๆ
หมิงซิวบอกไว้ได้ถูกต้อง คนกลุ่มนี้อันตรายเกินไป ตนเองไม่ควรปิดหูปิดตาออกมากับนางเลยจริงๆ
ไม่ว่าสตรีนางนั้นจะแสดงออกว่าจิตใจดีเพียงใด ก็เป็นความดีที่จอมปลอมเท่านั้น
ที่น่าขันก็คือ ตนเสียเปรียบอยู่ในมือนางมาตั้งสองครั้งแล้ว แต่กระนั้นก็ยังใจอ่อนให้กับนางอยู่หลายครั้ง ตอนนางจับมือตนไว้พร้อมใบหน้ายิ้มแย้มขณะเรียกตนว่าเสี่ยวเวยนั้น ทำให้นางรู้สึกใจอ่อนได้จริงๆ
สุดท้ายเฉียวเวยมีทหารรักษาพระองค์คุ้มกันกลับจวนอ๋องไป
เฉียวเวยเตรียมข้ออ้างไว้นับหมื่นว่า “เหตุใดข้าถึงออกไปเที่ยวเล่นกับฮองเฮา” แต่จังหวะที่จีหมิงซิวเดินเข้าประตูมนั้น นางก็ได้รู้ว่าตนพูดอะไรไม่ออกเลยแม้สักคำ
จีหมิงซิวเดินเข้ามาตรงหน้านางด้วยท่าทางสงบนิ่ง สีหน้าราบเรียบ แต่ยิ่งสงบนิ่งเท่าไร เฉียวเวยก็ยิ่งรู้สึกผิด
เฉียวเวยก้มหน้าลง กล้ายเด็กที่ไปทำความผิดมา
แกล้งทำ นี่ก็ต้องการแกล้งทำแน่ๆ!
จีหมิงซิวหยุดยืนห่างจากนางไปหนึ่งก้าว หลังจากจับจ้องนางอยู่พักหนึ่งก็คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่เพียงยื่นแขนออกมาดึงนางไปกอด
นางตัวชนกับหน้าอกของเขา ลมหายใจของบุรุษที่เป็นของนางแต่เพียงผู้เดียวปกคลุมลงมาที่ใบหน้านาง และคล้ายได้โอบอุ้มนางไว้ในบัดดล
นางได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่สับสนอลหม่านของเขา
“ได้ยินหรือยัง เฉียวเวย” เขาเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ถึงขั้นเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่นางแล้ว
เฉียวเวยพยักหน้า นางย่อมต้องได้ยิน
นางอยากบอกว่านางกลับมาแล้ว แต่เรื่องนี้เขาก็รู้แล้วนี่ เหตุใดเขาถึงยังใจเต้นไม่เป็นส่ำเช่นนี้
คนที่ไม่เคยประสบกับความทรมานระหว่างความเป็นกับความตายมาก่อนไม่มีทงเข้าใจว่าการที่คนคนหนึ่งอยู่ดีๆ มาหายไปจากตรงหน้าเสียเฉยๆ นั้น เป็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเพียงใด
จีหมิงซิวกัดฟัน “เฉียวเวยเจ้าลองกล้าทำเช่นนี้อีกครั้งดูสิ…”
“ข้าไม่กล้าแล้ว” เฉียวเวยกอดตอบเขา เอาหน้าแนบกับแผงอกแกร่ง “ข้าไม่กลัวท่านโกรธ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านเสียใจ”
ไฟโทสะที่สุมอยู่ของจีหมิงซิวพลันมหลายหายไปกว่าครึ่ง!
ผู้ใดกันที่บอกว่ามีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชอบฟังคำหวาน
บุรุษยามดุดันขึ้นมา พบเห็นได้บ่อยกว่าสตรีมากนัก
************************