หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 470-2 พร้อมหน้า อบอุ่น (1)
ตอนที่ 470-2 พร้อมหน้า อบอุ่น (1)
นางตัวเล็กจนน่าอัศจรรย์ มือทั้งสองข้างยังกำหัวแม่มือนางไม่รอบด้วยซ้ำ จีหมิงซิวคอยมองนางยกเด็กขึ้นๆ ลงๆ ด้วยใจที่นึกกลัว
พละกำลังของเฉียวเวยจีหมิงซิวเคยสัมผัสมาแล้ว เด็กตัวเล็กแค่นี้ไปอยู่ในมือนางจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ
ใจของใต้เท้าเจ้าสำนักเต้นเร็วขึ้นไปอีก
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า วิชาการพยาบาลของท่านหมอเฉียวถือว่าสอบผ่านอยู่
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เด็กน้อยก็คล้ายถูกปลอกเปลือกชั้นนอกออก เผยผิวพรรณที่อ่อนนุ่มเป็นประกายออกมา ชั่วขณะนั้นนางได้กลายเป็นหญิงงามตัวน้อยแล้วจริงๆ
เฉียวเวยหอมพุงสาวน้อย แล้วให้สาวน้อยใส่ชุดของจูเอ๋อร์
ช่วยไม่ได้ นางตัวเล็กเกินไปจริงๆ สาวใช้ที่ออกไปร้านตัดชุดยังไม่กลับมา ส่วนชุดเด็กพวกนั้นที่มีในจวนก็หลวมโคร่งใส่ไม่พอดี เลยต้องเอาชุดจูเอ๋อร์มาให้ใส่แก้ขัดไปก่อน นี่ยังใหญ่ไปอยู่เลยด้วยซ้ำ
เฉียวเวยอุ้มสาวน้อยที่อาบน้ำจนตัวหอมฟุ้งแล้วขึ้นมานั่งบนตั่ง
“นาง…จะเลี้ยงให้โตได้หรือไม่”
จีหมิงซิวลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยสิ่งที่กังวลอยู่ในใจออกไป
เด็กคนนี้คลอดก่อนกำหนดตั้งนานเพียงนี้ ไม่เพียงตัวเล็ก แต่ลมหายใจก็ยังรวยริน กระทั่งตอนอาบน้ำที่ถูกจับตัวพลิกไปมาก็ไม่เห็นนางจะขยับตัวสักนิด ซึ่งไม่ได้ดูว่านางจะชอบใจสักเท่าไร แต่แค่ไม่มีแรงที่จะร้องเสียมากกว่า
เฉียวเวยลอบถอนหายใจ “อยากให้ข้าพูดความจริงหรือไม่”
เฉียวเวยปิดหูน้อยๆ ของนางไว้ขณะบอกเสียงต่ำว่า “ฟู่เสวี่ยเยียนถูกฮองเฮาทำร้ายถึงได้คลอดก่อนกำหนด ลักษณะแต่ละอย่างล้วนไม่ดีทั้งสิ้น…คล้ายเด็กแรกเกิดที่น้ำหนักสองสามจิน หากเป็นที่ที่ข้ามา คงต้องเข้าตู้อบอย่างไม่ต้องสงสัย เข้าก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องปิดหูนางด้วย”
“หากเกิดนางได้ยินเข้าอย่างไร เดี๋ยวนางจะหมดหวังในการมีชีวิตต่อเสีย”
จีหมิงซิวถูกสกัดความงุงนงงไปทันที ใจคันยุบยิบ ลูบศีรษะเฉียวเวยทีหนึ่ง ไม่ได้บอกว่า “นางยังเด็ก ยังฟังไม่เข้าใจ” อะไรเทือกๆ นั้น แต่บอกว่า “ตู้อบที่เจ้าพูดถึงคืออะไรหรือ แล้วยังที่ที่เจ้ามาอีก…คือที่ไหนกัน”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ แต่ยังคงเอ่ยหน้าตาเฉยว่า “ก็ที่ปราสาทเฮ่อหลันอย่างไร ข้าก็ได้ยินเอ่อ…ท่านตาข้าบอกมาอีกทีเหมือนกัน ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก”
จีหมิงซิวเพ่งมองนางทีหนึ่ง ไม่ได้ซักไซ้ต่อ “ตู้อบต้องทำอย่างไร”
“ทำไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“ข้าทำไม่เป็น” นางทำไม่เป็นจริงๆ ของล้ำสมัยขนาดนั้น ใช่ของที่ยุคโบราณกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยังไม่มีจะทำได้หรือ
จีหมิงซิวมองเด็กน้อยในห่อผ้าด้วยความเป็นห่วง นางกลัวหนาวมากจริงๆ ใส่เสื้อตั้งหลายชั้น ห่อตัวอีกหลายชั้น มือน้อยๆ ก็ยังเย็นเฉียบ
ในตอนนั้นเสี่ยวไป๋ที่อาบน้ำตากขนให้ขนแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็วิ่งเร็วจี๋เข้ามา
เสี่ยวไป๋กระโจนขึ้นเตียง
เฉียวเวยเอาตัวมันยัดเข้าไปในห่อผ้า แล้วหันไปส่งยิ้มให้จีหมิงซิว “แบบนี้ก็อุ่นมากอยู่นะ”
จีหมิงซิวพยักหน้า พอคิดอะไรได้ก็ถ้าขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูตอนเกิดก็ตัวเล็กเช่นนี้หรือไม่”
เฉียวเวยอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดเชื่อมมาถึงตนได้ นางไม่ได้รับการถ่ายทอดความทรงจำมาจากเจ้าของร่างเดิม ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนเกิดมาลักษณะเป็นอย่างไร แต่…
“พวกเขาเป็นท้องแฝดชายหญิง ยากนักที่จะอยู่จนครบกำหนดคลอด น่าจะ…ตัวไม่ใหญ่กระมัง”
จีหมิงซิวไมได้พูดอะไรอีก แค่เพียงจับมือนางไว้แน่น
อยู่ๆ เฉียวเวยก็นึกถึงหมู่บ้านประหลาดแห่งนั้น รวมถึงปราสาทที่หายวับไปในชั่วพริบตาจนไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือนางเห็นภาพหลอนไปเอง “ใช่สิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
จีหมิงซิวประคองมือของนางเอาไว้ พอเห็นสีหน้าที่อ่อนล้าก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านอนก่อนเถิด ไว้ตื่นแล้วค่อยว่ากัน”
เสียงแหบของเขาช่างน่าหลงใหล แค่เอ่ยเอาใจเบาๆ เฉียวเวยก็แทบจะรู้สึกง่วงงุนทันที ไม่เท่าไรก็ผล็อยหลับไป
อีกด้านหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักกับฟู่เสวี่ยเยียนแยกย้ายกันไปอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวพักผ่อน
ฟู่เสวี่ยเยียนจะกลับไปอยู่ที่เรือนตัวเอง แต่มีหรือใต้เท้าเจ้าสำนักจะยอม เขาจับตัวนางยัดเข้าในผ้าห่ม จัดการเหน็บมุมให้อย่างแน่นหนา ส่วนตัวเขากลับหอบที่นอนแล้วลงไปนอนบนพื้นกระดานแข็งๆ
อันที่จริงในชุ่ยฟางหยวนมีห้องเหลืออยู่อีก แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่อยากไป อยากอยู่ที่นี่มากกว่า ต่อให้ต้องนอนบนพื้นเขาก็ยินดี
ทั้งสองนอนหันหลังให้กัน
ฟู่เสวี่ยเยียนง่วงมากแล้ว แต่ก็ไม่สู้จะนอนหลับสักเท่าไร นางมองกำแพงอยู่เงียบๆ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้า…หลับหรือยัง”
“หลับแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบกลับทันที
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาเป็นประกาย “บนพื้นเย็นหรือไม่”
แน่ล่ะ…
ไม่เย็น
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่เลือดในกายพุ่งพล่าน แค่คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันก็พาให้ร้อนผ่าวไปทั้งตัวแล้ว
เหตุใดถึงอวบอิ่ม น่ามอง หอมหวน หวานล้ำได้ขนาดนั้น…
หวาน
ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกถึงกลิ่นที่พาให้ใจขัดเขิน ตัวเลยพลันเปลี่ยนเป็นภูเขาไฟลูกเล็กๆ ทันที
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบล่ะ เย็นหรือไม่เย็นกันแน่”
ประโยคนี้สื่อความนัยน์ชัดเจนอย่างที่สุดแล้ว
แต่ก็จนใจที่คนมีรอยหยักในสมองเส้นเดียวอย่างใต้เท้าเจ้าสำนักฟังไม่เข้าใจ คิดเพียงว่าฟู่เสวี่ยเยียนเป็นห่วงจริงๆ ว่าเขาจะหนาวหรือไม่ จึงตอบออกไปตามตรงว่า “ไม่หนาว! ร่างกายข้าแข็งแรงมาก!”
มีแต่บุรุษขี้สำออยเท่านั้นแหละที่จะกลัวหนาว ส่วนเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่บุรุษ ไม่มีทางมีนิสัยนี้แน่นอน!
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้สึกเพียงโทสะแล่นขึ้นมาจุกตรงลำคอ จะออกก็ไม่ออก จะข่มลงไปก็ไม่ได้
หลังจากหายใจเข้าหายใจออกอยู่หลายครั้ง นางก็แสร้งทำเป็นถามด้วยความสงสัยอีกครั้งว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าออกจะเย็นอยู่นะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกผ้าห่มขึ้น
ฟู่เสวี่ยเยียนใจเต้นตึกตัก นัยน์ตามีแววตื่นเต้น หากสังเกตให้ดี ยังเจือแววรอคอยที่เกือบจะมองไม่เห็นอยู่ด้วย
วินาทีต่อมา ผ้าห่มหนาๆ หนักๆ ก็หล่นลงบนตัวนาง
“ให้เจ้าห่ม ข้าไม่หนาว!”
ฟู่เสวี่ยเยียน “…”
************************