หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 475-2 ฮองเฮาเสียหายหนัก (2)
ตอนที่ 475-2 ฮองเฮาเสียหายหนัก (2)
เขายังคงไม่ขยับ แค่เพียงยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตู สีหน้า…สีหน้าดูกล้ำกลืนเล็กน้อย
ท่าทางเช่นนี้เฉียวเวยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่นางไปร้านเหล็กเพื่อตรวจตรา “บ้านดิน” ของหลัวหย่งเนียนนั่น หลัวหย่งเนียนก็จะทำหน้าเหมือนอยากหารูแทรกหนีไปเช่นนี้เสมอ
เฉียวเวยระบายยิ้มบาง “เอาเถิด ห้องที่รกกว่านี้ข้าก็เคยเห็นมาแล้ว ตอนน้องชายข้าไปทำงานที่เมืองหลวง เขาไม่รู้จักเก็บกวาดยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำให้แม่ทัพน้อยมู่ที่รักในหน้าตารู้สึกดีขึ้นสักนิด เฉียวเวยกลับไม่สนใจเขา ผลักเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปเงียบๆ ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่ทัพน้อยมู่กำหมัด ถอนหายใจด้วยความจนใจแล้วกลั้นใจเดินเข้าห้องไป
ภายในรกรุงรังกว่าที่เฉียวเวยคิดไว้เล็กน้อย คิดแล้วคงเพราะคุณชายที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดผู้นี้คงไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อน
เหตุใดถึงไม่พาบ่าวไพร่มาด้วยสักคนหนอ
ที่ไม่เข้าใจก็ส่วนไม่เข้าใจ นางยังเดินไปจุดตะเกียง แล้วอาศัยแสงไฟอ่อนๆ นั้นช่วยเขาเก็บกวาดทำความสะอาดห้อง
พอได้เห็นอีกฝ่ายวุ่นวายอยู่กับห้องของตน สายตาแม่ทัพน้อยมู่ก็มีแววซับซ้อนปรากฏให้เห็น
เขาหลุบตาลง กำกุญแจในมือแน่น
ห้องนี้ไม่ใหญ่นัก เฉียวเวยทำอะไรรวดเร็ว ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ ภายในห้องก็สะอาดเรียบร้อย เตียงก็ปูแล้ว ผ้าห่มก็กางแล้ว เสื้อผ้าสะอาดเอาแขวนเข้าตู้ เสื้อผ้าที่ต้องซักก็ลงไปอยู่ในถังไม้
“เจ้าจะซักเอง หรือจะให้ข้าส่งคนมาซักให้เจ้า” เฉียวเวยถาม
แม่ทัพน้อยมู่ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าซื้อใหม่”
เฉียวเวยกวาดมองภายในห้อง พูดตามตรงก็คือถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่เจริญ สภาพแวดล้อมของห้องนี้ก็ย่ำแย่ แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่…กลับไม่แย่ คิดดูแล้วตอนเขามาถึงเยี่ยหลัวใหม่ๆ คงไม่มีเงินเท่าไรนัก จึงหาห้องเช่าดีๆ ไม่ได้ แต่ต้าไป๋ช่วยทำเงินก้อนโตให้เขา จึงพอจะอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่
เฉียวเวยทำใจไม่บอกว่า “เจ้าอย่าได้ฟุ่มเฟือยเช่นนี้”ออกไป นางลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย “ยังจะใส่เสื้อคลุมหน้าอยู่อีก คิดจะไม่ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีกเลยตลอดชีวิตหรือ”
แม่ทัพน้อยมู่ชะงักไป ก่อนจะยกมือขึ้นดึงหมวกคลุมศีรษะออก
ตอนได้เห็นผมสีขาวที่แทรกอยู่ตามผมสีดำกับรอยแผลเป็นดูน่ากลัวบนใบหน้าคมสันนั้น รูม่านตาของเฉียวเวยก็พลันหดตัว
แต่เฉียวเวยก็รักษาท่าทีกลับมาได้อย่างรวดเร็ว นางลุกขึ้นด้วยสีหน้าคงเดิมพร้อมเอ่ยว่า “ข้าจะไปต้มน้ำให้”
พูดจบนางก็เดินไปทางห้องครัว
ห้องครัวนี้เขาน่าจะไม่เคยใช้เลยตั้งแต่เข้ามาอยู่ หม้อไหขึ้นสนิมไปหมดแล้ว เฉียวเวยไปตักน้ำจากบ่อน้ำในลานด้านหลังมาถังหนึ่ง จัดการล้างหม้อเหล็กขึ้นสนิมจนสะอาด เทน้ำลงไปแล้วเอาขึ้นตั้งบนเตา
ตอนผ่าฟืน เขาเดินเข้ามา
“ข้าทำเอง” เขาบอก
เฉียวเวยเหลือบมองแขนขวาดูขยับไม่ได้ของเขา “แน่ใจหรือว่าทำได้”
เขาไม่พูดอะไร
เฉียวเวยเอาฟืนที่ผ่าแล้วเข้าไปจุดไฟในห้องครัว จากนั้นนางก็นั่งอยู่หน้าเตาแล้วเริ่มเติมฟืนลงไป
เฉียวเวยรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าประตู นางไม่หันไป เพียงทำเป็นเหมือนถามโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “หน้ากับแขนของเจ้าเป็นอะไร”
ต้าไป๋วิ่งเข้ามาฟุบลงที่ข้างเท้าเขา
เขาเอ่ยอย่างหน้าตายว่า “เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
เฉียวเวยเติมฟืนลงไปในเตา “พวกเราเป็นสหายกัน เรื่องของเจ้าข้าย่อมต้องสนใจ เจ้าจะไม่บอกก็ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าก็จะให้คนไปตามสืบ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเกิดเรื่องใหญ่กับแม่ทัพน้อยมู่จากจวนเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่แห่งหนานฉู่เช่นนี้ คนทั้งหนานฉู่จะไม่รู้อะไรเลย ข้าจะสืบดูคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่
ในขณะที่เฉียวเวยคิดว่าอีกฝ่ายจะนิ่งเงียบไปตลอดนั้น เขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “จวนเทพสงคราม ไม่อยู่แล้ว”
ครานี้เปลี่ยนเป็นเฉียวเวยที่เงียบไปบ้าง
แสงไฟที่ร้อนแรงส่องกระทบใบหน้าเฉียวเวย ใบหน้านางจึงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อใด”
เขากลับไม่อยากเล่าต่อ
เฉียวเวยไม่บังคับเขา คนที่หยิ่งผยองเช่นนี้ต้องสูญเสียครอบครัวในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าเรื่องจะเกิดตั้งแต่เมื่อใด แต่บาดแผลนี้จะต้องยังไม่สมานกันดีแน่นอน นางอย่าไปสะกิดแผลเป็นเขาเลยจะดีกว่า
เฉียวเวยยังอยากถามเขาว่ามาทำอะไรที่เยี่ยหลัว แต่นางกลับถามอะไรไม่ออกเลย
น้ำยังต้องรออีกสักพักถึงจะเดือด เฉียวเวยวางฟืนลงแล้วเรียกอีกฝ่ายเข้ามา “เรื่องของเจ้าข้าจะไม่ถามมากก็ได้ แต่อย่างน้อยเจ้าต้องให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”
เฉียวเวยพูดจบก็ยื่นมือไปจะแตะเขา
เขากลับเบี่ยงตัวหลบมือของเฉียวเวย “ข้าบอกไปแล้ว เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องยุ่ง”
เฉียวเวยบอกว่า “แค่ช่วยดูแผลให้ก็ไม่ได้หรือ วิชาการแพทย์ของข้าใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย…”
“เจ้าไปเสียเถิด” เขาเอ่ยตัดบท
เฉียวเวยอึ้งมองอีกฝ่าย
เขาเบือนหน้าหนี ไม่หันไปมองนางอีก
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายนิ่งๆ อยู่เช่นนั้น ราวกับอยากจะมองให้ใบหน้าอัปลักษณ์ของเขามีดอกไม้ผลิบานขึ้นมาเสียให้ได้
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ท่าทางของเขายังคงดูไม่สนใจโลกเช่นเดิม เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความจนใจ “ช่างเถิดๆ เจ้าให้ข้าไป ข้าไปก็แล้วกัน เจ้าอย่าอารมณ์ไม่ดีเลย ที่ข้ามา…ก็เพราะอยากถามว่าเจ้าอยากได้อะไรหรือไม่ ไม่ได้อยากมาสร้างความขุ่นข้องให้เจ้าเพิ่ม ตอนนี้พวกเราพักอยู่ที่จวนมู่อ๋องชั่วคราว หากเจ้าคิดตกแล้วก็มาหาพวกข้าได้”
นางนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองต้าไป๋ “ต้าไป๋ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าน่าจะต้องการมันมากกว่าข้า”
เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ เฉียวเวยคิดคำพูดโน้มน้าวเตรียมไว้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับพยักหน้า
ก็ดีเหมือนกัน มือขวาเขาขยับไม่ได้ วรยุทธ์ก็คงจะใช้การไม่ได้เช่นกัน ถ้ามีต้าไป๋อยู่อย่างไรก็เบาใจได้มากกว่า
เฉียวเวยรอจนน้ำเดือดก็เอากาน้ำชามาเติมจนเต็ม ตอนเดินผ่านเขา นางคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดเดินแล้วบอกว่า “ใช่สิ ตาของต้าไป๋…”
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เขาแทบจะรับรู้ได้ถึงลมหายใจของนาง
ลำคอเขาแข็งเกร็ง สายตามีแววสับสน เขารีบบอกว่า “กินยาผิดน่ะ ไม่มีอะไร”
เฉียวเวยรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้น แต่กลับไม่ได้คิดอะไรให้ลึกซึ้ง ถึงอย่างไรถ้าตนมาอยู่ในสภาพนี้ ตนก็คงไม่อยากให้คนอื่นมาเข้าใกล้เช่นกัน
เฉียวเวยพยักหน้า ยกกาน้ำชาเข้าห้องไปพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะกับเขาว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”
ตกดึกสงัด ร่างของเฉียวเวยเดินหายไปตรงหัวถนนแล้วเขาถึงได้อุ้มต้าไป๋ขึ้นมาแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป
…
สาเหตุที่เฉียวเวยทิ้งต้าไป๋ไว้ให้แม่ทัพน้อยมู่ ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่แต่นางโชคดีที่ได้เขา หลายครั้งที่นางหนีรอดจากความตายมาได้ นางยังติดค้างน้ำใจอีกฝ่ายอยู่เลย จะไม่สนใจเขาจริงๆ ได้อย่างไร
นางรู้ว่าเขายังต้องการเวลา นางจะไม่รีบร้อนบีบคั้นเขา แต่หากเขาชักช้าคิดไม่ตกเสียที นางก็คงทำได้เพียงเข้าไปหาเขา
เวลานี้เมื่อรู้ว่าต้าไป๋อยู่กับเขา ต่อให้เขาย้ายหนีไปทั่วเมือง เขาก็หนีไม่พ้น “เงื้อมือ” นางอยู่ดี
เฉียวเวยกลับไปที่จวนมู่อ๋อง พอก้าวขาเข้าประตู ก็มีมือแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นมือจับแขนนางไว้ นางคิดจะสะบัดออกแต่อีกฝ่ายแรงเยอะมากจริงๆ จึงดึงตัวนางไปจับกดเข้ากับกำแพงที่ทั้งแข็งและเย็นได้
กลิ่นอายที่คุ้นเคยเข้ามาปกคลุมนางเอาไว้ นางระบายยิ้มเล็กน้อย “ทำอะไรน่ะ ดึกดื่นเช่นนี้ คิดจะทำให้ข้าตกใจตายหรือ”
จีหมิงซิวจับอีกฝ่ายกดกับกำแพง มือสองข้างยันอยู่ข้างกายนาง กักกั้นตัวนางไว้ไม่ให้หนีไปไหน เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตานาง ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ใช้ริมฝีปากที่ลุแก่อำนาจปิดประกบลงไป
เฉียวเวยไม่ได้ถูกกระทำอย่างอุกอาจเช่นนี้มานานแล้ว นี่ใช่การจูบเมื่อไรกัน นี่หมายจะเอาชีวิตนางชัดๆ นางถูกจูบจนเนื้อตัวอ่อนเปลี้ย สมองขาดอากาศจนหายใจไม่ทัน
นางยกมือขึ้นตีอีกฝ่าย
จีหมิงซิวผละออกจากริมฝีปากนาง เอาหน้าผากแตะกันพลางหอบหายใจเล็กน้อย
เฉียวเวยหอบหนักกว่าอีกฝ่าย ใจเต้นระรัวแทบอยากจะกระดอนออกมา ตัวนางอ่อนปวกเปียก ขาแข้งก็ไม่มีแรง
นางอยู่กับเขามานานเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่รู้ว่าเขายังมีจูบที่ร้ายกาจเช่นนี้ซ่อนอยู่อีกนะ
รอบด้านยังมีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะๆ ตื่นเต้นเกินไปแล้ว!
จีหมิงซิวเชิดคางที่คมสันของตนขึ้น มองเข้าไปในดวงตาที่มีประกายหยดน้ำ มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด เจ้าสำนักเฉียว หากยังไม่รู้ข้าจะลงโทษเจ้าอีกครั้งจนกว่าเจ้าจะร้องครวญครางออกมา”
***************