หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 476 ความร้ายกาจของอัครเสนาบดี
ตอนที่ 476 ความร้ายกาจของอัครเสนาบดี
เขาจะทำเช่นนั้นอีกครั้งหรือไม่เฉียวเวยไม่รู้ นางรู้เพียงว่าตอนนี้นางอยากหนี
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าที่น่ามอง มีน้ำเสียงทุ้มต่ำที่น่าฟังราวกับเสียงเชลโล่ ยามไม่เอื้อนเอ่ยยังพาให้ใจคนสั่นระรัว แต่พอเอื้อนเอ่ยก็ยังเป็นคำพูดที่พาให้คนหน้าแดงก่ำเช่นนี้อีก…
เจ้าสำนักเฉียวแทบจะอ่อนยวบไปถึงกระดูกอยู่แล้ว
จีหมิงซิวสายตาพลันล้ำลึก “ดูท่าคงไม่รู้สินะ”
“ข้า…” ในหัวเฉียวเวยงุนงงไปหมด ฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร การลงทัณฑ์ที่แสนอุกอาจของเขาเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง
“อยากหรือไม่เจ้าสำนักเฉียว” เขาถามอย่างยั่วยวนดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ถึงขั้นนี้แล้วหากยังไม่อยากอีก นางจะยังเป็นคนหรือไม่
จีหมิงซิวถามขู่ว่า “บอกข้ามาว่าผิดที่ตรงใด”
เฉียวเวยหน้าหูแดงก่ำ ใจเต้นระรัว “ไม่ควรไปพบแม่ทัพน้อยมู่…”
“มีอะไรอีก” จีหมิงซิวถามเย้า
เฉียวเวยเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ควร…ไปพบแม่ทัพน้อยมู่…ตามลำพัง…”
“มีอะไรอีก” เขายังคงไม่ปล่อยผ่าน
“ยัง ยังมีอะไรอีก?” เฉียวเวยหน้าตางุนงง
จีหมิงซิวจับนางกดกับกำแพงเบาๆ สองมือตรึงมืออีกฝ่ายไว้ “ยังมีเรื่องที่เจ้าไม่ควรยอมรับ เจ้าควรจะให้ข้าซักไซ้ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าเจ้าจะร้องครวญครางออกมา พอเจ้าร้อง ความขุ่นข้องของข้าก็จะหายไป”
เฉียวเวยอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี!
เหตุใดถึงมีคนป่าเถื่อนเช่นนี้อยู่อีกนะ
“จะยอมหรือไม่ เจ้าสำนักเฉียว” จีหมิงซิวถามอย่างเจ้าเล่ห์
หน้าเฉียวเวยแดงจนแทบจะมีเหลือดหยดออกมา นางพยักหน้าทั้งคอแข็งๆ
จีหมิงซิวแกล้งเอ่ยว่า “สายตาข้าไม่ดี ต้องได้ยินเจ้าตอบ”
ทีใบไม้ที่อยู่ไกลเป็นร้อยเมตรยังเห็น มาตอนนี้ดันสายตาไม่ดีเข้าเสียแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาตั้งใจแกล้ง แต่ใจกลับยิ่งเต้นแรงหนักขึ้น
“ยอม” นางตอบเสียงเบาหวิว
“ยอมอะไร” เขาอมยิ้มถาม
เฉียวเวยถูกเขายั่วจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว นางกลั้นใจตอบออกไปว่า “ยอมให้เจ้าป่าเถื่อน!”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีหัวเราะเบาๆ
ที่ตรงนี้มีคนมาก เขาไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงของนาง จึงกลับไปยังฟางชุ่ยหยวนอย่างรวดเร็วที่สุด
เฉียวเวยตื่นขึ้นมาตอนสายของอีกวัน ตอนตื่นเสียงยังแหบไปเลยด้วย
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนกินข้าว เด็กทั้งสองยังถามว่านางไม่สบายใช่หรือไม่ ถึงได้เสียงแหบแห้งเพียงนี้
ใต้เท้าอัครเสนาบดีนั่งอยู่ข้างกายเฉียวเวยนั้นเอง เขาเหลือบมองเฉียวเวยด้วยความขบขัน นัยน์ตาอมยิ้มนั้นอ่อนโยนและดูอาทรณ์ แต่กลับฉายแววหยอกเย้าและกรุ้มกริ่ม
เฉียวเวยสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ข่มความพลุ่งพล่านในใจเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงนุ่มอย่างอดทนว่า “ใช่จ๊ะ เมื่อคืนแม่ถีบผ้าห่ม เลยไม่ค่อยสบาย”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีพูดต่อทันที “ดังนั้นช่วงนี้พวกเจ้าต้องนอนกันเองก่อนนะ เดี๋ยวแม่เจ้าจะแพร่เชื้อหวัดใส่พวกเจ้าเสีย”
เฉียวเวย “…”
ไร้ยางอายกว่านี้ได้อีกหรือไม่
ความหึงหวงของใต้เท้าอัครเสนาบดียังไม่หายไปง่ายๆ โชคดีที่เขาไม่ได้มาอยู่ว่างๆ ที่เยี่ยหลัว อย่างไรเขาก็ต้องมีธุระไปจัดการ เพิ่งผ่านมื้อเที่ยงไปไม่เท่าไร ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็พากันเข้ามาราวกับลมหอบ
เฉียวเวยจำได้ว่าทั้งสองไปตามหาซิ่วฉินที่ทิวเขา แต่ดูจากที่ทั้งสอง “กลับมามือเปล่า” แล้ว ดูท่าคงจะตามหาซิ่วฉินไม่เจอ
ทั้งสี่ไปกันที่ห้องหนังสือ เฉียวเวยต้มชามากาหนึ่ง แล้วรินชาเย็นให้กับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่แม้แต่จะมอง ยกถ้วยชาขึ้นมากรอกลงปากอักๆ ทันที โชคดีที่เป็นชาเย็น หากเป็นชาร้อน คอเขาคงได้ควันขึ้นเป็นแน่
พอคิดถึงเรื่องคอ เฉียวเวยก็หน้าหูแดงขึ้นมาอีก
จากนั้นทั้งหมดก็นั่งลงคุยธุระกัน
ที่แท้ทั้งสองไปที่เขาซางหมางไม่ใช่เพื่อไปตามหาซิ่วฉินเท่านั้น แต่ยังไปค้นหาร่องรอยที่ค่ายใต้ดินทิ้งเอาไว้ด้วย คืนนั้นโยกย้ายกันอย่างรีบร้อน โดยหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ไห่สือซานเชี่ยวชาญด้านค้นหาร่องรอยที่สุดแล้ว จึงไล่ตามร่องรอยการขนย้ายค่ายใต้ดินเข้าไปในป่าลึก
แต่กระนั้นที่ทำให้ไห่สือซานประหลาดใจยิ่งนักก็คือ เขาไล่ตามไปได้ครึ่งทาง ร่องรอยเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป
เฉียวเวยหันไปมองไห่สือซาน
ไห่สือซานถอนหายใจ “ข้าไล่ดูแล้วว่าแถวนั้นจะมีทางเดินใต้ดินหรือทางเข้าอะไรหรือไม่ แต่ข้ากับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหากันจนทั่วแล้ว ไม่พบอะไรเลย คนเหล่านั้นคล้ายหายตัวไปเฉยๆ”
เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดนัก คนเป็นๆ ทั้งนั้นจะหายตัวไปเฉยๆ ได้อย่างไร ทั้งยังไม่ได้หายไปใต้ดิน หรือว่าจะลอยขึ้นฟ้าไป
เฉียวเวยช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ นางไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ตั้งใจฟังไปเงียบๆ
จีหมิงซิวส่งเสียงอือเบาๆ “ข้ารู้แล้ว ยังพบอะไรอีกหรือไม่”
“พบสิ!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าขวัญผวา “พวกเราไปตามหาซิ่วฉินกันใช่ไหมเล่า ตกดึกไปเจอสะพานเส้นหนึ่งเข้า ข้าไม่รู้ว่าเป็นสะพาน เลยก้าวพลาดเกือบพลัดตกลงไป! โชคดีที่ข้ามีวิชาตัวเบา!”
“ใช่สะพานหินอันนั้นหรือไม่” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดูตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยเล่าเรื่องหนีเอาชีวิตรอดให้อีกฝ่ายฟัง “…ข้าควรเตือนพวกเจ้าแต่เนิ่นๆ น่าเสียดายที่ข้าหลับไปก่อน”
พอได้ยินที่เฉียวเวยบอก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เพียงรู้สึกขนลุก แต่ยังรู้สึกขนลุกแทนพวกเฉียวเวยด้วย หากพวกเขาก้าวพลาดไป ผลจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดา
“ใช่สิ หมู่บ้านนั้น…”
“ใช่สิ หมู่บ้านนั้น…”
เฉียวเวยกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นพร้อมกันและชะงักไปพร้อมกัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกว่า “เจ้าพูดก่อน”
เฉียวเวยถึงได้บอกว่า “วันนั้นพวกข้าไปที่อีกฝั่งของสะพาน ไปเจอหมู่บ้านประหลาดแห่งหนึ่งเข้า ในหมู่บ้านมีชาวบ้านที่ถูกพิษประหลาดอาศัยอยู่ ชาวบ้านพวกนั้นคล้ายสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ตกกลางคืนจะออกมาโจมตีคนธรรมดา แต่พอฟ้าสว่าง พวกเขาก็จะกลับเข้าหมู่บ้านไปใหม่”
“พวกเจ้าหนีมาได้อย่างไร” ประเด็นที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามดูจะไม่ตรงกับที่เฉียวเวยต้องการจะบอก
เฉียวเวยก็ตอบอย่างอดทนว่า “บังเอิญน่ะ ตอนนั้นฟู่เสวี่ยเยียนหิว ข้าเลยไปหาอะไรให้นางกินที่ห้องครัว…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยแทรก “ช้าก่อน พวกเจ้ายังเข้าไปอยู่บ้านพวกเขาด้วย!”
เฉียวเวยกระแอมทีหนึ่ง “พักอยู่…พักหนึ่ง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแทบอยากจะเป็นบ้า เขากับไห่สือซานแค่ไปเคาะประตูกลางดึก ก็เกือบถูกชาวบ้านประหลาดพวกนั้นเล่นงานเกือบตายแล้ว พวกนางยังมีเด็กมีคนท้อง แล้วยังเข้าไปอยู่ในบ้านพวกนั้นอีก! ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ยังกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยเสียด้วย!
ก็ไม่ถึงกับไร้บาดแผลเสียทีเดียว ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกชาวบ้านคนหนึ่งข่วนจนได้แผล แต่เพราะในตัวเขามีพิษฝ่ามือเก้าสุริยันกดพิษตัวใหม่ที่เข้าสู่ร่างกายไว้ ตอนหลังยังกินยาสลายพิษ ถึงได้ไม่เป็นอันตราย
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบว่า “หมู่บ้านนั้นต้องเกี่ยวข้องกับค่ายใต้ดินเป็นแน่ แต่ข้อหนึ่งหมู่บ้านนั้นอยู่ไกลเกินไป ย้ายออกไม่ทัน ข้อสอง มันตั้งอยู่ห่างไปไกล ซ้ำยังเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ไม่ย้ายออกก็ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกมันเลยไม่สนใจหมู่บ้านนี้นัก แต่ถ้าพวกมันพอจะมีเวลา คงได้ย้ายชาวบ้านกลุ่มนั้นออกไปแน่”
ไห่สือซานขมวดคิ้ว “ความหมายของนายน้อยคือ…ขอเพียงพวกเราจับตาดูหมู่บ้านนั้นไว้ พวกมันก็จะมาหาถึงที่เองอย่างนั้นหรือ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาตามหาพวกมัน ก็จะหว่านแหจับพวกมันทั้งหมดมาไว้ได้!”
จีหมิงซิวบอกว่า “หว่านแหจับพวกมันมาได้ทั้งหมดคงไม่ถึงขั้นนั้น แต่ราชันปีศาจในมือพวกมันที่ไม่รู้จะทะลุขีดจำกัดได้เมื่อไรพวกนั้น ก็พอให้เหนื่อยเอาเรื่องแล้ว ไว้หาให้เจอก่อนค่อยคิดหาทางอีกที”
ไห่สือซานรีบบอกว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
จีหมิงซิวนิ่งไป “ข้าจะไปกับเจ้าด้วยสักครั้ง”
“นี่…อันตรายเกินไปนะนายน้อย” ไห่สือซานดูลังเล
จีหมิงซิวเลยบอกว่า “ไม่ได้บอกว่าพิษฝ่ามือเก้าสุริยันสามารถกดพิษชนิดนั้นไว้ได้ชั่วคราวหรอกหรือ ข้าน่าจะเป็นคนที่ไม่กลัวถูกชาวบ้านพวกนั้นทำร้ายมากที่สุดในหมู่พวกเจ้านะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้วพึมพำว่า “ยังมีวิธีการเช่นนี้อีกหรือ…นายน้อย หรือไม่ท่านฟาดฝ่ามือใส่ข้าสักครั้งเถิด…”
ไห่สือซานกระทืบเท้า “คิดอะไรของเจ้าน่ะ! ไปได้แล้ว!”
เฉียวเวยเตรียมยาถอนพิษขวดเล็กๆ ให้พวกเขาพกไปด้วย ยาเม็ดตัวนี้ใช้ควบคุมพิษฝ่ามือกับกำลังภายในของจีหมิงซิวกับใต้เท้าเจ้าสำนัก นับว่าสูงค่ายิ่งนัก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานพกไว้ป้องกันตัวกันคนละเม็ด แต่ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขา หากถูกทำร้าย พวกเขาสามารถกระโดดหนีลงหน้าผาไปได้
หลังจากพวกเขาไปกันแล้ว เฉียวเวยก็ไม่ได้อยู่เฉย
นางไปดูฟู่เสวี่ยเยียนกับลูกที่ห้องข้างๆ ก่อน ฟู่เสวี่ยเยียนก็บาดเจ็บภายในอยู่ แต่หากนางยังให้นมบุตร ก็ไม่อาจกินยาใดๆ ได้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงใช้อาหารรักษาอาการไป ผลของมันดีสู้ยาไม่ได้ นางจึงยังคงอ่อนล้าอยู่
ส่วนเด็กน้อยตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก ตัวเขาผอมแห้ง ได้แต่นอนอยู่ในห่อผ้าให้เสี่ยวไป๋ช่วยให้ความอบอุ่น
“นางกินได้เยอะหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนลูบใบหน้าบุตรสาวที่นอนหลับอยู่ “ดูเหมือนจะกินถี่ขึ้นหน่อย”
แต่ยังคงไม่มีแรง กินได้ไม่เท่าไรก็ผล็อยหลับไป
ฟู่เสวี่ยเยียนเป็นห่วงนางมากจริงๆ
เฉียวเวยเอ่ยปลอบว่า “กินได้ก็ดีแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”
ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า มองเด็กหญิงในห่อผ้าด้วยความรักใคร่ ในใจเกิดความรู้สึกซาบซึ้งที่ไม่อาจอธิบาย นี่คงเป็นความรู้สึกที่คนเป็นแม่เท่านั้นถึงจะรับรู้ได้
พอคิดอะไรได้นางก็เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “ใช่สิ ทางด้านฮองเฮานั่น…”
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “นางถูกข่วนหน้าเป็นรอย กำลังวุ่นจะรักษาแผลอยู่ทีเดียว ไม่มีเวลามาหาเรื่องเจ้าหรอก เจ้าไม่ต้องไปสนใจนาง”
“มีเรื่องหนึ่ง…” ฟู่เสวี่ยเยียนพูดเสร็จก็นิ่งไปด้วยความลังเล “ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป”
“เรื่องอะไร” เฉียวเวยถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ข้าก็ไปรู้เข้าโดยบังเอิญ ดูเหมือนเมื่อตอนนั้นนางจะเคยบาดเจ็บเพราะธนูจันทร์โลหิตมาก่อน จนวันนี้ก็ยังไม่หายดี”
เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง “ธนูจันทร์โลหิตขององค์หญิงเจาหมิงนั่นน่ะหรือ”
“ใช่” ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้า “เหตุใดนางถึงต้องจะช่วงชิงเอาธนูจันทร์โลหิตไปให้ได้ ไม่ใช่เพราะองค์หญิงเจาหมิงทำร้ายนางด้วยธนูนั่นหรอกหรือ เพียงแต่น่าเสียดายที่วรยุทธ์ขององค์หญิงสู้อวิ๋นจูไม่ได้ หากเป็นอวิ๋นจูที่ยิงธนูดอกนั้น นางคงตายไปแล้ว”
เฉียวเวยหรี่ตาลง นังตัวร้ายผู้นั้นต้องการจะแย่งธนูไปเพราะเหตุนี้เองหรือ นางกลัวว่าเจาหมิงจะไปแย่งจากนางคืนมาอีก นางถึงได้ใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันทำร้ายเจาหมิง เช่นนี้ต่อให้เจาหมิงแย่งธนูจันทร์โลหิตกลับไปได้จริงๆ ก็ไม่อาจใช้มันได้อีกแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “แผลภายนอกรักษาง่าย แผลภายในรักษายาก แต่แผลที่เกิดจากธนูอันนั้นของท่านน้ากลับยิ่งอยู่เหนือแผลสองประเภทนี้ไปอีก ใต้เท้าราชครูตอนนั้นก็ถูกธนูอันนี้ทำร้ายเช่นกัน ถึงได้ร่างกายอ่อนแอมาถึงเดี๋ยวนี้ จะฝึกวิชาอะไรก็ยากเย็นแสนเข็ญ หากไม่บาดเจ็บเข้า ใต้เท้าราชครูน่ากลัวว่าคงแข็งแกร่งกว่านี้ไม่เพียงสิบเท่า นางก็เช่นกัน”
เฉียวเวยพึมพำว่า “แต่วรยุทธ์ของนางสูงส่งมากแล้ว หากสูงส่งขึ้นไปอีกจะเป็นเช่นไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย “ข้าก็บาดเจ็บเพราะมันมาก่อน เหตุใดข้าถึงไม่เห็นว่าในตัวข้าจะเหลืออาการบาดเจ็บอยู่เลยเล่า”
“หรือจะบอกว่าเป็นความโชคดีของเจ้า” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยกลั้วหัวเราะ
บางที…อาจะไม่ใช่เพราะนางโชคดีมาก แต่เพราะนางบังเอิญได้เจอกงซุนฉางหลีที่รักษาอาการนี้ได้พอดี
เอาเถิด นี่ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง
ฟู่เสวี่ยเยียนพูดต่อว่า “นางจะเก็บตัวรักษาเดือนละวันถึงสองวัน หากข้าคำนวณไม่ผิด วันนี้น่าจะเป็นวันที่นางเข้าไปรักษาตัว”
***************