หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 480-2 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (1)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 480-2 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (1)
ตอนที่ 480-2 กระอักเลือดสามลิตร การค้นพบอันยิ่งใหญ่ (1)
ระหว่างยอดเขาทั้งสองลูกห่างกันประมาณห้าถึงหกจั้ง สะพานหินก็ย่อมมีความยาวเท่านั้น ที่น่ากลัวก็คือสะพานหินแคบเกินไป ความกว้างเพียงไม่ถึงสามฉื่อ ซ้ำยังไม่มีรั้วกั้น ตอนยืนอยู่บนสะพานแล้วมองลงไปยังหุบเหวด้านล่าง แทบจะรู้สึกได้ถึงเลือดในกายที่ไหลย้อนกลับเลยทีเดียว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแทบไม่รู้ว่าตนข้ามไปได้อย่างไร หลังจากสองขาได้เหยียบลงบนดินอ่อนๆ อีกครั้ง ขาเขาก็อ่อนยวบและเริ่มสั่นระริก
ไห่สือซานปิดท้าย ให้จีหมิงซิวเดินไปก่อน
จีหมิงซิวเดินผ่านไปได้อย่างสบายๆ
จะบอกว่าไม่กลัวเลยหรือ เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ใต้เท้าอัครเสนาบดีจะเสียหน้าไม่ได้ จะกลัวก็ห้ามกลัว ต้องนิ่งไว้ดั่งหินผา!
ไห่สือซานยืนหยัดความตั้งใจที่จะไม่มองลงไปข้างล่าง แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางก็ทนไม่ไหว เลยเหลือบมองลงไปทีหนึ่ง พอเหลือบมองก็ได้เรื่องทันที “…ข้าก้าวขาไม่ออก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่ายหน้า “นายน้อยท่านดูเหมือนไม่กลัว ท่านไปลากเขามาหน่อยเถิด”
จีหมิงซิวเอ่ยหน้าตาย “เจ้าให้นายน้อยอย่างข้าไปลากบุรุษผู้หนึ่งงั้นหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดได้ว่านายน้อยไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้ เลยไม่ได้สงสัยเป็นอื่น กลั้นใจเดินไปลากไห่สือซานให้ข้ามมา
หนทางหลังจากนั้นก็ราบรื่นขึ้นมาก นอกจากเจอสัตว์ที่ล่าเนื้อเป็นอาหารแล้ว ก็ไม่เจออันตรายใดๆ อีกเลย
ทั้งสามไปถึงเนินเขาด้านนอกหมู่บ้านนั้นได้อย่างราบรื่น จากมุมที่พวกเขาอยู่สามารถมองเห็นทั้งหมู่บ้านได้พอดี
หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่ มีอยู่เพียงเจ็ดแปดครัวเรือนเท่านั้น บ้านแต่ละหลังสร้างอยู่ติดๆ กัน ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่ง ซึ่งดูคล้ายสนามฝึกขนาดใหญ่มากกว่า
เวลานี้เป็นช่วงบ่าย พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเกียจคร้าน ทั้งหมู่บ้านที่อาบแสงอาทิตย์อยู่นี้ กลับดูสงัดเงียบและดูน่าประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูก
ทั้งสามมองดูอยู่เงียบๆ ไห่สือซานเอ่ยปากขึ้นว่า “นายน้อย ข้าจะไปลองดูต้นทางก่อน”
จีหมิงซิวพยักหน้า
ไห่สือซานย่องออกไป วรยุทธ์ของเขาถึงแม้จะไม่นับว่าล้ำเลิศ แต่เขาคล่องแคล่วว่องไว ในเรื่องปกปิดไอพลังจากตัวตนก็ไม่เป็นรองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เขาเข้าไปในหมู่บ้าน “ไล่ดู” ไปตามบ้านแต่ละหลัง หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อเขาก็กลับไปตรงเนินเขา “เป็นไปตามที่ฮูหยินน้อยบอก พวกเขาออกมาทำอะไรกันเฉพาะช่วงเวลากลางคืน ตอนกลางวันล้วนพักผ่อนกันอยู่”
“นกฮูก?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “ลงไปดูหน่อย”
ทั้งสองเข้าไปที่หมู่บ้านพร้อมกัน ตอนผ่านปากหมู่บ้าน มีเป็ดป่าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังคิดว่ามีใครจะลอบทำร้าย เลยเตะเป็นตัวนั้นกระเด็นไป เป็ดตัวนั้นถูกเตะเลยร้องก๊าบๆ เสียงดัง แต่ก็ไม่ทำให้คนในหมู่บ้านตื่นขึ้นมาเลย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเบ้ปาก “นี่ไม่ได้หลับกันลึกธรรมดาเลยนะ…”
ด้วยเหตุนี้พวกเขาเลยใจกล้ากันขึ้นอีกนิด ไม่ได้มือเท้าเกร็งกันเช่นเดิมอีก
จีหมิงซิวเดินไปตรงหน้าประตูบ้านที่ปิดสนิทอยู่
ไห่สือซานตามเข้าไป “นายน้อยจะเข้าไปหรือ”
“อื้อ” จีหมิงซิวพยักหน้า
ไห่สือซานควักกริชจากอกเสื้อมาตัดไม้ขัดประตูออก แล้วเดินนำจีหมิงซิวเข้าไป
หากเฉียวเวยยังอยู่ที่นี่คงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ก็คือบ้านที่พวกนางมาขอพักอาศัย หรือไม่ก็ต้องบอกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ใจส่งถึงกัน แค่สุ่มเลือกก็ยังเลือกมาบ้านหลังเดียวกันได้
ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินดูกันเองรอบหนึ่ง และได้เห็นว่าภายในห้องมีท่านป้าพักอยู่คนหนึ่ง
ทั้งสามเข้าไปในห้องของท่านป้า
ไห่สือซานเอาป้ายเงินแผ่นหนึ่งจากอกเสื้อมาวางลงบนมือกับบนหน้าของท่านป้าอย่างระมัดระวัง ในตัวพวกเขามีพิษปะปนอยู่พวกเขารู้ดี แต่กลับไม่แน่ใจว่าตามผิวกายมีพิษอยู่หรือไม่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโน้มตัวลงไปใกล้คนที่นอนอยู่แล้วยื่นมือโบกตรงหน้านาง “กลางวันนอนไม่ตื่นเลยหรือ…”
พอพูดจบ ท่านป้าก็พลันเบิกตาที่แดงก่ำ ลุกขึ้นนั่ง เล็งตรงไปที่คอของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วอ้าปากงับทันที
“อ๊าก…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยร้องลั่น รีบสับฝ่ามือใส่จนท่านป้ากลับนอนลงบนเตียงโ
ท่านป้าศีรษะเอียงไปข้างแล้วหลับไปอีกครั้ง
จีหมิงซิวกับไห่สือซานรีบเข้าไปดูเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกกัดเข้าที่คอ ปากแผลเห็นว่าเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว
ไห่สือซานถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยความขัดใจ “เหตุใดจึงไม่ระวังเพียงนี้”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับเลือดบนคอพลางร้องซี๊ด “ไม่ได้ถูกอะไรกัดมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย เจ็บชะมัด…”
ไห่สือซานรีบเอายาเม็ดที่เฉียวเวยเตรียมไว้มาให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกิน “โชคดีที่ฮูหยินน้อยมองการณ์ไกล ไม่เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวตายด้วยพิษได้เลย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มแหยๆ กำลังคิดจะพูดบางอย่างก็พอดีได้ยินเสียงประหลาดมาจากด้านนอก
สายตาจีหมิงซิวพลันแข็งเกร็ง “มีคนมา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบส่งสัญญาณบอกให้ทั้งสองอยู่ในห้อง เขาจะออกไปจับคนผู้นั้นเอง
ไห่สือซานคราแรกคิดว่าอีกฝ่ายถูกกัด ควรให้ตนเป็นคนไปจะดีกว่า แต่พอเห็นเขายังกระชุ่มกระชวย จึงรู้สึกว่าตนกังวลมากเกินไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเคลื่อนตัวไป ด้านนอกมีเสียงต่อสู้กันดังขึ้น ไม่เท่าไรเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็จับบุรุษร่างบึกบึนกำยำ สวมใส่เสื้อคลุมเข้ามา
จีหมิงซิวยื่นมือที่เรียวยาวออกไปดึงผ้าคลุมศีรษะของบุรุษผู้นั้นออก ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้าปรากฏสู่สายตาของเขา ที่คุ้นคือโครงหน้า แต่ที่แปลกหน้าคือรอยมีบนหน้าของเขา
จีหมิงซิวเพ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งถึงได้เอ่ยปากขึ้นช้าๆ ว่า “เหตุใดจึงเป็นเจ้า”
“นายน้อย ท่านรู้จักหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเขยิบเข้าไปพินิจมอง
ลูกกระเดือกอีกฝ่ายพลันขยับขึ้นลง ปลายหูแดงก่ำด้วยความประดักประเดิด สีหน้าเย็นจัดราวกับน้ำแข็งในหน้าหนาว
“แม่ทัพน้อยมู่?” ในที่สุดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็จำได้ “เจ้า…เจ้าเหตุใด…ถึงอยู่ในสภาพนี้”
แม่ทัพน้อยมู่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะแพ้ให้ตน แต่เมื่อครู่เขาใช้เพียงสองกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว เขาเลยคิดว่า…อีกฝ่ายเป็นนายพรานตามป่าที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์
สายตาจีหมิงซิวหยุดมองแขนขวาที่ออกจะแข็งเกร็งเล็กน้อย แต่หยุดมองอยู่เพียงแวบหนึ่งก็เลื่อนสายตาออกไป แล้วคืนหมวกปิดหน้าให้เขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ไม่คิดเลยว่าจะได้พบแม่ทัพน้อยมู่ที่นี่ ล่วงเกินแล้ว”
ต่อให้หึงหวงเพียงใด เมื่อได้เห็นสภาพเขาในเวลานี้ ความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไปทันที
แม่ทัพน้อยมู่ใช้มือซ้ายรับหมวกปิดหน้าแล้วใส่กลับบนศีรษะเช่นเดิม “หากไม่มีอะไรข้าไปก่อนล่ะ วันหน้าคงมีโอกาสได้พบกัน”
พูดจบก็จะหมุนตัวไปทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินตามไปก้าวหนึ่ง มองเขาหายไปจากปากหมู่บ้าน “นี่… เจ้าจะไปแล้วหรือ ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับเจ้าอยู่เลย! เจ้า…นี่!”
แม่ทัพน้อยมู่เดินไปถึงปากหมู่บ้าน เงาสีขาวเงาหนึ่งก็พุ่งออกมาจากป่า คาบผลไม้พวกหนึ่งพุ่งเข้าไปหาเขา
เขากอดต้าไป๋ไว้แล้วค่อยๆ เดินหายไปจากสายตา
ไห่สือซานไม่เข้าใจ “จวนเทพสงคราม…เกิดเรื่องอะไรขึ้น นายน้อย ต้องไปสืบดูสักหน่อยหรือไม่”
จีหมิงซิวนิ่งไป “ไม่ต้องหรอก” พูดจบก็หันไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “ตอนเจ้าไปพบเขา เขากำลังทำอะไรอยู่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนึกย้อนไป “ดูเหมือนเขากำลังตามหาใครบางคนอยู่ เดินไปหาตามเตียงของทุกบ้านเลย”
จีหมิงซิวท่าทางครุ่นคิด
แล้วจู่ๆ ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น แต่กลับไม่ใช่คนหนึ่งคน แต่เป็นคนกลุ่มใหญ่
จีหมิงซิวบอกว่า “พวกเขามาแล้ว ไปหาที่ซ่อนตัวก่อน”
พวกเขาไปที่ลานด้านหลังแล้วหลบอยู่หลังต้นไม้
นักรบมรณะยี่สิบกว่าคนเข้ามาในหมู่บ้าน แต่ละคนแบกชาวบ้านเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามตามพวกเขาไปไกลๆ ออกจากหมู่บ้าน เดินไปทางสะพานหิน
พอพวกเขาแบกชาวบ้านเดินไปบนสะพานหินแล้ว อยู่ๆ ก็นิ่งไปแล้วกระโดดลงหน้าผา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานตะลึงค้าง ยังมีวิธีการสังหารเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
พอนักรบมรณะทั้งยี่สิบกว่าหนีไปแล้ว จีหมิงซิวก็เดินไปบนสะพานหิน ก่อนหน้านี้ตอนข้ามสะพาน ด้วยแรงกดดันจากความกลัวในใจ ทุกคนจึงพยายามไม่มองลงไปข้างล่าง เวลานี้พอได้ตั้งใจมองถึงได้เห็นว่าด้านล่างมีปากถ้ำเล็กๆ ที่ถูกต้นไม้พุ่มไม้บดบังอยู่
ด้านนอกถ้ำมีหินก้อนหนึ่งไม่ใหญ่มากยื่นออกมา คนทั่วไปไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัว แต่หากด้านในมีถ้ำซ่อนอยู่ ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไห่สือซานใช้วิชาตัวเบากระโดดลงไปบนหินก้อนนั้นแล้วหันมาส่งสัญญาณมือให้ทั้งสอง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแบกจีหมิงซิวกระโดดลงไป
ที่แท้ที่นี่ไม่ใช่ถ้ำ แต่เป็นอุโมงค์เส้นหนึ่ง
พวกเขาเดินผ่านอุโมงค์ไป สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือหุบเขาขนาดใหญ่ที่เขียวชอุ่ม ตรงปลายหุบเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุมถึงขั้นมีบันไดหินอยู่อันหนึ่งด้วย บันไดหินอันนั้นคล้ายสูงเป็นร้อยจั้ง สูงทะลุขึ้นไปถึงชั้นเมฆ
และเหนือชั้นเมฆขึ้นไปยังมีปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
*************************************************