หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 50 เงิน
ตอนที่ 50 เงิน
ไม่มีร้านอาหารบริเวณใกล้ๆ จีหมิงซิวจึงพาเด็กน้อยไปกินขนมแทน เด็กๆ กินข้าวเร็ว แต่กินขนมช้าเพราะตัดใจกินไม่ลง พวกเขาละเมียดละไมกินทีละคำเล็กคำน้อยเพราะกลัวว่าจะหมดเร็ว
จีหมิงซิวไม่ได้เร่งรัด เขาเพียงนั่งมองอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสองคนเป็นเด็กดีมาก เขาสังเกตตั้งแต่ตอนที่ป่วยแล้ว ไม่สบายมากเพียงใดก็ไม่ร้องไห้งอแง ไม่สร้างปัญหา ไม่เหมือนเด็กคนอื่นในวัยนี้
อาจเป็นเพราะ…ขาดบิดา
“ท่านพ่อ ข้าอยากได้นี่ นี่ กับนี่เจ้าค่ะ!” ชาวนาคนหนึ่งอุ้มเด็กหญิงอายุสามขวบเข้ามาในร้าน
ชาวนาซื้อขนมที่เด็กหญิงตัวน้อยต้องการแล้วนั่งลงป้อนขนมให้นาง
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมองพ่อลูกฝั่งตรงข้ามตาปริบๆ แม้พวกเขาพยายามจะอดทนอย่างสุดความสามารถ แต่พวกเขาก็ยังเผยสายตาอิจฉาออกมา
ทว่าดูเหมือนทั้งสองจะคุ้นเคยกับการจัดการอารมณ์ในเรื่องนี้ของตนเองดี ต่างคนจึงรีบเบือนหน้าหนีไม่มองอีก
จีหมิงซิวเห็นภาพนี้ แววตาก็ชะงักไปวูบหนึ่ง แต่ไม่พูดอันใด
เมื่อจีหมิงซิวพาเด็กๆ กลับไปร้านต้าฟัง เฉียวเวยก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางเรียบร้อยแล้ว นางกำลังจะเอาเสื้อผ้าของจีหมิงซิวไปซัก
“ไม่ต้อง” จีหมิงซิวเจอนางตรงประตูพอดี เขามองเสื้อผ้าในมือนาง “ส่งมาให้ข้าเถอะ”
เฉียวเวยคิดว่าเขาคงไม่ขาดคนซักผ้า ยิ่งไปกว่านั้นสบู่ราคาถูกที่นี่ย่อมเทียบไม่ได้กับของชั้นเลิศในบ้านของเขา หากซักไปแล้วเหลือกลิ่นแปลกๆ เอาไว้คงไม่ดี
เฉียวเวยจึงคืนเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยให้เขา “ขอบคุณคุณชายมาก”
จีหมิงซิวเลื่อนสายตาขึ้นมอง “ข้าเคยบอกนามให้เจ้าทราบแล้วมิใช่หรือ”
ขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว นางเม้มปากแล้วเอ่ยอ้อมแอ้ม “ขอบคุณ คุณชาย…คุณชายหมิง”
ริมฝีปากของจีหมิงซิวยกโค้ง “ไม่ต้องเกรงใจ แม่นางเฉียว”
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาหยอกว่า ‘แม่นางเฉียว เจ้าหน้าแดงแล้ว’ เฉียวเวยก็เริ่มสงบใจมิได้ยามเขาเรียกขานเช่นนี้ นางมักรู้สึกมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นแฝงอยู่
เฉียวเวยเหลือบมองเขาอย่างไวๆ ผู้ที่รักสันโดษเช่นเขา คงไม่เที่ยวหยอกหญิงม่ายอย่างนางกระมัง
ต้องการเงิน นางไม่มีเงิน ต้องการความบริสุทธิ์ นางก็ไม่บริสุทธิ์ แถมยังมีเรือพ่วงมาด้วยอีกสองคน หากจะกล่าวว่ามีสิ่งใดพอนำมาโอ้อวดได้บ้างก็คงมีแต่หน้าตาที่พอไปวัดไปวาได้เท่านั้น แต่เมืองหลวงมีหญิงงามมากมายเท่าเมฆาบนท้องนภา ผู้ที่สะสวยกว่านาง เรือนร่างอรชรกว่านาง มีมากมายไม่รู้ตั้งเท่าใด แล้วผู้อื่นยังเป็นกุลสตรีที่ยังไม่ออกเรือนอีกด้วย
สมองเขาคงกลับตาลปัตรไปแล้ว ถึงถ่อจากเมืองหลวงมาตั้งไกลเพื่อมาหยอกล้อนางถึงเมืองนี้
นางจะต้องคิดมากไปเองเป็นแน่แท้
“คุณชาย ท่านมาเมืองนี้ด้วยเหตุใดหรือ”
คำพูดต่อจากนั้นของจีหมิงซิวยืนยันการคาดเดาของเฉียวเวย “ข้าได้ยินว่าเมืองนี้มีนักพนันฝีมือฉกาจยิ่งนัก แล้วยังเป็นสตรีนางหนึ่งอีกด้วย”
นักพนัน? สตรี? คงมิได้กำลังกล่าวถึงนางกระมัง เรื่องนี้…โจษจันไปถึงเมืองหลวงแล้วหรือ ลือไปถึงที่โน่นได้เช่นไร
ความตกใจครั้งใหญ่กวาดความตั้งใจเดิมของเฉียวเวยตอนตั้งคำถามหายไปจนหมดสิ้น “นั่น…หมายถึงเรื่องที่เกิดวันที่สามใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวตอบรับ “ดูเหมือนจะใช่”
ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะ…เป็นนางนี่แหละ นางออกจากเมืองหลวงวันที่สาม การเดิมพันระหว่างนางกับอู๋ต้าจินก็เกิดขึ้นวันที่สาม นางมั่นใจว่าไม่มีสตรีนางใดในเมืองซีหนิวเคยเข้าบ่อนพนันมาก่อน
แต่มันเป็นเรื่องภายในเมืองมิใช่หรือ ข่าวแพร่ไปถึงเมืองหลวงจนไปถึงหูของเขาได้เช่นไร
เฉียวเวยทัดผมไว้หลังใบหู นางหลุบตาลงแล้วถามเสียงเบา “คุณชายหมิงก็สนใจเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
เขาดูไม่เหมือนคนที่ว่างงานปานนั้นนะ
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “มากับสหาย เขาเพิ่งออกไปตามหาคนที่บ่อนพนัน” นับว่าเป็นการอธิบายแล้วว่าเหตุใดเขาจึงปรากฏตัวที่ร้านต้าฟังเพียงลำพัง
เฉียวเวยกระแอมในลำคอ “ถ้าเช่นนั้น…เกรงว่าสหายของท่านคงผิดหวังแล้ว”
จีหมิงซิวฉุกคิดบางสิ่งได้ แววตาไหววูบ “คงมิใช่เจ้ากระมัง”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเขินอาย
ทะเลาะต่อยตี มั่วสุมเล่นพนัน โถ ทำครบหมดทุกอย่างเชียว
“พี่สี่! พี่สี่!”
รถม้าคันหนึ่งจอดหน้าประตูร้านต้าฟัง บุรุษอายุราวสิบแปดปีกระโดดลงมา เขาสวมอาภรณ์สีแดงสะดุดตา ศีรษะสวมกวานหยก หน้าตาหล่อเหลาดูเป็นคนร่าเริง ท่วงท่าสง่าผ่าเผย มือข้างหนึ่งถือพัด ปลายพัดห้อยพู่หยกงดงาม เป็นคุณชายจากตระกูลผู้ลากมากดีเป็นแน่แท้
เขาสาวเท้าเข้ามาในห้องโถงร้านต้าฟัง ดวงตาคู่งามกลอกไปมา “พี่สี่! พี่สี่ ท่านไปอยู่ที่ใดมา”
เฉียวเวยมองชายหนุ่มชุดแดงที่ชั้นล่าง ในใจคิดว่าสมัยโบราณช่างมีหนุ่มหล่อมากมายเสียจริง ทั้งคุณชายหมิงผู้งดงามเยือกเย็นดั่งหยกสลัก ทั้งชายหนุ่มผู้งามฉูดฉาดประหนึ่งบุปผา ต่างทำให้คนไม่อาจละสายตาได้จริงๆ
จีหมิงซิวยกมือให้คนด้านล่างเห็น
ดวงตาของชายหนุ่มชุดแดงเป็นประกาย “พี่สี่!”
เฉียวเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า “สหายของคุณชายมาแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
วั่งซูโบกมือลาอย่างว่าง่าย “ลาก่อนเจ้าค่ะ ท่านลุงหมิง”
จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย “ลาก่อน”
เฉียวเวยพาเด็กๆ ลงไปชั้นล่าง ชายหนุ่มชุดแดงบังเอิญกำลังขึ้นไปชั้นบนจึงพบกันกลางบันได เฉียวเวยผงกศีรษะทักทายอย่างสุภาพ
หลี่อวี้ไม่รู้จักนางและไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่สี่ ตอนเงยหน้าขึ้นมาเมื่อครู่ จากมุมที่เขาอยู่เห็นเพียงพี่สี่ ไม่เห็นนางเพราะถูกร่างของพี่สี่บังไว้ เมื่อเห็นนางทักทายเขา เขาจึงคิดว่าเป็นมารยาทที่สามัญชนปฏิบัติต่อขุนนาง ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แต่เมื่อเขาเห็นเด็กน้อยสองคนที่นางจูงมืออยู่ ความประหลาดใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา ช่างเป็นเด็กน้อยที่งดงามนัก!
เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือไม่ โดยเฉพาะเด็กชายคนนั้น เหตุไฉนจึงแลดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก
หลี่อวี้หาพี่สี่ของตนพบบนชั้นสอง แน่นอนว่าจีหมิงซิวไม่ใช่พี่ชายคนที่สี่ของเขา พวกเขาทั้งคู่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กัน เขาอายุน้อยที่สุด เป็นศิษย์น้องเล็ก ส่วนจีหมิงซิวเป็นศิษย์คนที่สี่ แต่เขาไม่ชอบที่คำว่าศิษย์พี่สี่ออกเสียงยากจึงเปลี่ยนมาเรียกพี่สี่แทน
เขาโบกพัดในมือแล้วพูดว่า “พี่สี่ โชคดีที่ท่านไม่ได้ไป น่าโมโหชะมัด!”
จีหมิงซิวมองแผ่นหลังของสามคนแม่ลูกหายลับไปบนถนน แล้วคลี่ยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม “เป็นอันใด ไม่เจอคนหรือ”
หลี่อวี้เล่าอย่างผิดหวัง “ก็ใช่น่ะสิ พวกเขาบอกว่าสตรีนางนั้นมาเพียงหนเดียว หลังจากชนะเดิมพันอู๋ต้าจินก็ไม่เคยมาเข้าบ่อนอีก”
จีหมิงซิวเอ่ยหยอก “อยากพบผู้อื่นปานนั้น คิดจะคำนับนางเป็นอาจารย์หรือไร”
หลี่อวี้ส่งเสียงชิออกมาคำหนึ่ง “ผู้ใดมิรู้บ้างว่าข้าคุณชายอวี้ผู้นี้เป็นเซียนพนันแห่งเมืองหลวง ข้าหรือจะคำนับสตรีนางหนึ่งเป็นอาจารย์ ข้าเพียงอยากมาดูว่าสตรีนางใดกล้าหาญชาญชัยขับไล่ลูกสมุนของยิ่นอ๋องออกจากเมือง! ท่านว่าครั้งนี้ยิ่นอ๋องจะโกรธจนคลั่งหรือไม่ เขาอุตส่าห์ลำบากลำบนเลี้ยงดูพรรคของชาวยุทธ์เอาไว้ แต่กลับถูกสตรีนางหนึ่งทำลายเพียงชั่วข้ามคืน! ฮ่าๆ เพียงคิดก็สะใจแล้ว! ไม่ได้ๆ ข้าอยากเห็นแม่นางผู้นั้นเหลือเกิน!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลี่อวี้ก็หุบยิ้ม ใบหูน้อยๆ ตั้งขึ้น “แต่ท่านก็พูดถูกแล้ว ข้าอยากคำนับนางเป็นอาจารย์”
จีหมิงซิวเหลือบมองเขา แล้วเดินลงไปชั้นล่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลี่อวี้เบิกตาโต ไล่ตามเขาไป “โธ่ พี่สี่ เหตุใดท่านไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยเล่า ท่านลืมแล้วหรือว่าเมื่อห้าปีก่อนเจ้านั่นทำสิ่งใดกับท่าน เขารู้อยู่เต็มอกว่าท่านกับคุณหนูใหญ่เฉียวหมั้นหมายกันอยู่ แต่ก็ยังไปหลับนอนกับนาง! คนเช่นนี้สมควรถูกฟ้าผ่า!”
“ประเดี๋ยวก่อน” หลี่อวี้หยุดก้าวเท้า แล้วพึมพำกับตัวเอง “ข้านึกออกแล้วว่าเด็กคนนั้นหน้าตาคล้ายผู้ใด”
…
ทางด้านเฉียวเวยหลังจากพาเด็กๆ ออกมาจากร้านต้าฟัง ท้องของนางก็ร้องโครกครากด้วยความหิว ทั้งเนื้อทั้งตัวนางเหลือเหรียญทองแดงเพียงหนึ่งเหรียญ แม้แต่หมั่นโถว นางก็ยังซื้อไม่ได้
เยื้องฝั่งตรงข้ามคือโรงรับจำนำ หากนางนำปิ่นปักผมไปจำนำก็คงแลกเงินมาได้ไม่น้อย แต่นางตัดใจไม่ลง
ของบางสิ่งสำคัญกว่าอาหาร
“ท่านแม่” วั่งซูยื่นกล่องใบน้อยให้นาง
เฉียวเวยรับกล่องมา แม้กล่องจะดูเล็ก แต่เมื่อถือไว้ในมือกลับหนักอึ้ง “ใส่สิ่งใดไว้ หนักถึงขนาดนี้”
วั่งซูตอบเสียงอ้อแอ้ “ท่านลุงหมิงซื้อขนมให้ท่าน ท่านลุงหมิงบอกว่าพวกเราได้กินแล้ว ท่านแม่ก็ต้องกินด้วยจะได้ไม่หิว”
เขานึงถึงท้องอันหิวโหยของนางด้วย หัวใจของเฉียวเวยรู้สึกอบอุ่น นางเปิดฝากล่องออก ด้านในคือขนมเปี๊ยะปูน่าอร่อยห้าชิ้น
แต่ขนมเปี๊ยะปูเหตุใดจึงหนักเช่นนี้
เฉียวเวยกะพริบตาอย่างฉงน เมื่อยกชั้นด้านในของกล่องขึ้นจึงพบว่าความจริงข้างใต้ยังมีอีกชั้น เงินสีขาวแวววาวหลายก้อนนอนนิ่งอยู่ในนั้น