หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 88-1 พี่สามีบุก
ความบันเทิงในยุคโบราณมีน้อยนัก นอกจากหอคณิกาก็มีบ่อนพนัน นอกจากนั้นอีกก็เป็นชมรมกวีกับเรือเริงรมย์ คนส่วนมากนอนค่อนข้างเร็ว ทว่านับตั้งแต่มีถนนกุ้งก้ามแดง เฉียวเวยก็พบว่าในเมืองมีแมวท่องราตรีเพิ่มขึ้นมาก บุรุษสตรี ผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น
ฝั่งตรงข้ามของเฉินต้าเตามีท่านป้าผู้หนึ่งนั่งอยู่ ท่านป้าดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อกินกุ้ง สั่งมาแล้วก็วางไว้ตรงหน้า เฉินต้าเตาแอบฉวยจากจานของนางมาหลายตัว นางก็ยังไม่สังเกต
นางเท้ามือข้างหนึ่งใต้คางพลางมองตำแหน่งด้านหลังเฉินต้าเตาอย่างเคลิบเคลิ้ม รู้สึกเหมือนน้ำลายจะหยดอยู่ตลอดเวลา
เฉินต้าเตาฉกกุ้งจากกระทะของนางมาอีกหนึ่งตัว แอบฉกจนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงมองออกไปรอบด้านครู่หนึ่ง แต่กลับพบว่ารอบด้านมีสตรีเจ็ดแปดคนมานั่งอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด!
เขาตกใจยิ่งนัก!
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือสตรีเหล่านี้ล้วนไม่กินอะไรเลย เอาแต่จับจ้องนิ่งงันไปที่ตำแหน่งหนึ่ง
ดูอะไรกัน สิ่งใดน่าดูปานนั้น กุ้งก็ไม่กิน
เฉินต้าเตาก็อยากดูบ้างจึงหันศีรษะไป แล้วก็เห็นจีหมิงซิวอัครมหาเสนาบดีผู้ทรงอำนาจที่ทำตัวประหนึ่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางในตำนาน
จีหมิงซิวแต่งตัวตามสบายยิ่งนัก เขาสวมเพียงเสื้อตัวยาวสีขาวไร้ลวดลายและไม่มีเครื่องประดับแต่อย่างใด ทำตัวไม่โอ้อวดแม้แต่น้อย นอกจากหลี่อวี้ที่มาด้วยกันคนเดียวก็ไม่มีผู้ติดตามอีก ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่งตรงที่พวกเขาสองคนเลือกก็เป็นมุมห่างไกลที่สุด ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ก็ยังดึงดูด ‘ผู้ชม’ กองหนึ่งมา
จีหมิงซิวท่าทางนิ่งสงบไม่สะทกสะท้าน กินอาหารของตนอย่างไม่มีแรงกดดันสักนิด
หลี่อวี้ไม่มีสมาธิแน่วแน่เช่นนั้นอย่างเขา เด็กหนุ่มอายุน้อยถูกสายตาร้อนแรงรอบด้านมองสำรวจจนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั่วร่าง เขาพยายามเลียนแบบความสุขุมของพี่สี่บ้านตน แต่สายตาก็เอาแต่จะเหลือบมองคนเหล่านั้นอย่างบังคับไม่ได้…ท่านป้าฝั่งขวายิ้มเคลิบเคลิ้มใส่เขา ท่านน้าด้านหน้ายิ้มลุ่มหลงใส่เขา แม้แต่น้องสาวตัวน้อยด้านหลังก็หัวเราะคิกคักใส่เขาไม่หยุด…
ที่เมืองหลวงผู้ใดกล้าจ้องเขาเช่นนี้บ้าง ถ้ามีคงถูกองค์หญิงผู้เป็นมารดาของเขาลากออกไปตัดหัวหมดแล้วกระมัง
ตอนแรกเขาไม่น่านั่งด้านนอกเลย เขาสมควรไปนั่งด้านในเหลาสุราด้วยกันกับพี่สี่
ตอนนี้จะเปลี่ยนที่ก็ออกจะอะไรนะ…
ช่างเถิด ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน บุรุษตัวโตคนหนึ่งต้องกลัวถูกสตรีสองสามคนมองด้วยหรือ ไม่ได้มีเนื้อชิ้นไหนแหว่งหายไปเสียหน่อย
ยังดีที่รสชาติไม่ทำให้เขาผิดหวัง พ่อครัวของจวนองค์หญิงเวลาทำอาหารมักมิค่อยกล้าใส่น้ำมัน เหตุเพราะมารดาของเขากลัวอ้วน ของกินจึงเรียกได้ว่าจืดชืด ของทอด ของเผ็ด ของดอง ของย่างไม่ให้เข้าใกล้ตัวสักอย่าง เขาเองก็โชคร้ายไปด้วย ต้องกินอาหารชืดเหมือนกับพระ
รสชาติอาหารของหรงจี้น่าพึงพอใจมาก ซีอิ๋วเต็มกระทะ พริกสีแดงน้ำมันลอยแวววาว แต่ไม่เลี่ยน เนื้อแน่น น้ำปรุงรสรสชาติเข้มข้น นอกจากนี้ในกระทะยังวางสมุนไพรที่เขาไม่รู้จักชื่ออยู่อีกเล็กน้อย เผ็ดแต่ไม่แห้ง กินแล้วเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
หลี่อวี้จมดิ่งอยู่กับความสุขที่กุ้งก้ามแดงตัวน้อยมอบให้เขา จนไม่สนใจกินอย่างอื่น จีหมิงซิวกลับชิมอาหารแต่ละจานอย่างละคำ สีหน้า…เดาอารมณ์ไม่ถูก
“พี่สี่” หลี่อวี้เผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหล “มารดาข้าบอกว่าจะจับหัวใจของบุรุษสักคน อย่างแรกต้องคว้ากระพาะของเขาให้ได้ นางพยายามจีบข้าถึงเพียงนี้ ข้าต้องพิจารณานางสักหน่อยหรือไม่”
สายตาประหนึ่งคมมีดของจีหมิงซิวพุ่งมาหาเขา ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ทิ่มแทงหน้าผากเขาจนเป็นรูเลือดขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นหลายรู้ในพริบตา!
หลี่อวี้ตกใจกลัวจนกุ้งร่วงลงพื้น เขาพูดผิดหรือ เหตุไฉนสายตาของพี่สี่จึงน่ากลัวเช่นนี้ หรือว่ากุ้งอร่อยเกินไป พี่สี่จึงอิจฉาริษยาเขาอยู่
เฉินต้าเตาเดินเข้ามาด้านนี้พอดีกับที่เห็นกุ้งของหลี่อวี้ตกพื้น ในใจคิดว่าข้าหน้าตาน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ ดูคุณชายน้อยผู้นี้ตกใจกลัวเข้าสิ เฉินต้าเตาลูบรอยแผลเป็นจากคมดาบบนใบหน้าตนแล้วมิกล้าขยับเข้าไปใกล้คุณชายน้อยอีก เดิมทีอุตส่าห์คิดจะทักทายเขาเสียหน่อย
เฉินต้าเตาเดินตรงไปถึงหน้าจีหมิงซิวแล้วยิ้มตาหยีคำนับ “ใต้เท้า ท่านยังจำข้าได้หรือไม่ ข้าต้าเตา! ตอนสอบเสินถงพวกเราเคยพบหน้ากันแล้ว ข้าอยู่กับฮูหยิน ข้าก็เข้าไปพักในเรือนสี่ประสานด้วย! เพียงแต่…เพียงแต่ไม่ได้พูดคุยกับท่าน ท่านพอจำได้หรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้านิ่งๆ
เพียงการเคลื่อนไหวง่ายๆ ครั้งเดียวนี้ก็ทำให้หัวใจทั้งดวงของเฉินต้าเตาอิ่มเอิมยิ่งกว่าช่วงเวลาที่หลับนอนกับสตรีเสร็จสมแล้วหยิบกางเกางขึ้นสวมเสียอีก!
เขาอันธพาลน้อยบนท้องถนนคนหนึ่ง ได้เอ่ยวาจากับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจริงๆ! สวรรค์ นี่ต้องเป็นเพราะบรรพบุรุษนำพาโชคลาภมาให้แน่! เขาต้องกลับไปจุดธูปไหว้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหลายดีๆ สักหน่อยแล้ว!
เดี๋ยวก่อน เขามีป้ายวิญญาณบรรพบุรุษหรือไม่นะ
เอาไปซุกไว้ที่ใดแล้ว…
เฉินต้าเตานึกไม่ออกเล็กน้อย
“มีธุระหรือ” จีหมิงซิวเอ่ยถาม นับว่าไว้หน้าเขาแล้ว หากเป็นในอดีต คนที่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวไม่แม้แต่จะพูดคุยผูกสัมพันธ์เช่นนี้ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้หยิ่งทะนงไม่เคยสนใจ
เฉินต้าเตาย่อมเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสนใจตนเอง ในใจเอ่ยยกย่องฮูหยินซ้ำอีกหลายรอบ แล้วยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่ง่ายกว่าจะได้พบใต้เท้าสักครั้ง ข้าอยากคารวะสุราให้ใต้เท้าสักจอก”
แววตาของจีหมิงซิวฉายความนัยบางอย่าง “เจ้าคารวะ หรือพรรคชิงหลงของพวกเจ้าคารวะ”
“เอ่อ…” เรื่องนี้แตกต่างกันหรือ
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้าคารวะ ข้าไม่ดื่ม แต่หากพรรคชิงหลงจะคารวะ ก็เรียกหัวหน้าพรรคเฉียวของพวกเจ้ามา”
“หัว หัวหน้าพรรคเฉียว?” เฉินต้าเตาเกาศีรษะ พรรคชิงหลงมีบุคคลเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีคนแซ่เฉียวนะ ยิ่งไม่มีหัวหน้าพรรคแซ่เฉียว! หัวหน้าพรรคก็มีเขาเพียงคนเดียว เฉิน ต้า เตา!
ประเดี๋ยวก่อน ฮูหยิน…เหมือนจะแซ่เฉียว
ฮูหยินเป็นผู้แย่งพรรคชิงหลงมาจากมือของอู๋ต้าจิน ดังนั้นนับว่าฮูหยินเป็นหัวหน้าพรรคย่อมไม่ผิด!
เฉินต้าเตารีบดึงเฉียวเวยมาจากแผงขายอาหาร “หัวหน้าพรค ใต้เท้าอยากให้ท่านยกสุราคารวะเขา!”
หัวหน้าพรรค? อะไรกัน
เฉียวเวยมองเฉินต้าเตาแล้วมองจีหมิงซิว มุมปากของจีหมิงซิวเม้มดุจยามปกติ ไม่มีท่าทีผิดแปลกสักนิด แต่ดวงตาลึกล้ำคู่นั้น มองดูอย่างไรก็รู้สึกว่าฉายประกายสนุกสนาน
อยากจะเห็นนางขายหน้าหรือ
นางเป็นบรรพบุรุษแห่งวงเหล้า ผู้คนให้ฉายาว่าพันจอกไม่เมา หมื่นจอกไม่ล้ม! ไม่ต้องพูดถึงยกสุราคารวะหนึ่งจอก หนึ่งไหก็ไม่เป็นปัญหา!
เฉียวเวยเลิกคิ้ว พลางมองจอกเหล้าน้อยในมือของเฉินต้าเตา แล้วจงใจเอ่ยเน้นเสียง “อยากให้ข้าดื่มสุราได้ แต่หัวหน้าพรรคเยี่ยงข้ามิใช้สิ่งนี้ดื่ม”
“แล้วจะใช้อะไร” จีหมิงซิวเอ่ยถาม ดวงตามีประกายหยอกเย้าเจือจางยากจะสังเกตเห็น
เฉียวเวยชี้นิ้ว “เอาชามมา!”
หลี่อวี้สำลัก พี่สี่ดื่มเหล้าไม่เป็นมิใช่หรือ จอกเดียวก็ลงไปกองกับพื้น สองจอกสลบไม่ตื่น แล้วเป็นชาม นั่นเท่ากับกี่จอกกัน พี่สี่ตายไปคงยังไม่รู้ตัวเลยกระมัง
พี่สี่ช่างแสนดีนัก เพื่อหยั่งเชิงเบื้องหลังคนงามตัวน้อยให้เขา ถึงกับไม่เป็นห่วงตัวเองเป็นอันตราย
ซาบซึ้งเหลือเกิน เขาจะร้องไห้แล้ว ฮือฮือ...
เฉินต้าเตาไปหยิบชามก้นลึกสองใบมาจากในเหลาสุราทันที สุราลายบุปผานี่ตอนซื้อก็หมักมาสิบปีแล้ว เถ้าแก่หรงเก็บไว้อีกยี่สิบปี ชั่วพริบตาที่รินออกมา กลิ่นสุราหอมเข้มข้นเกือบจะทำให้ผู้คนเมามาย
เมื่อเห็นสุรา เต็ม ปริ่ม หนึ่ง ชาม โต ที่วางอยู่ตรงหน้า แววตาของจีหมิงซิวก็ฉายแววพูดไม่ออกเล็กน้อย
เฉียวเวยยิ้มหวาน “กล้าดื่มหรือไม่ คุณชาย”
เจ้าตัวน้อยจอมร้ายกาจ
จีหมิงซิวมองนางครั้งหนึ่ง แล้วจึงยื่นนิ้วเรียวยาวดุจหยกสลักออกมายกชามใบโตขึ้น
เฉียวเวยก็ยกชามขึ้นด้วย สองมือประคองขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สตรีดื่มสุราไม่นับเป็นเรื่องประหลาดอันใด แต่กล้าใช้ชามใบโตดื่มเช่นนี้ หายากจริงๆ รอบด้านทยอยมีฝูงชนจอมจุ้นมารุมล้อมชมดูเรื่องสนุก บางคนทราบฐานะของนางอยู่แล้วจึงปรบมือร้องชมอยู่ด้านข้าง “เถ้าแก่รองร้ายกาจนัก!”
จีหมิงซิวย่อมมิอาจแพ้เจ้าตัวน้อยจอมแสบสันต์คนนี้ได้จึงยกชามขึ้นดื่มบ้าง
หลี่อวี้กัดลิ้น ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้สูงศักดิ์หาใดเปรียบ ประคองชามที่ใหญ่ยิ่งกว่าหน้าของตนเอง ประชันร่ำสุรากลางถนนกับผู้อื่น ช่างไม่น่าเชื่อจริงแท้!
หากปล่อยให้ผู้ตรวจการรู้เข้า ผู้ตรวจการคงมีเรื่องให้ตำหนิไปอีกหนึ่งปี
ทั้งสองคนดื่มหมดแทบจะในเวลาเดียวกัน วินาทีที่วางชามลงบนโต๊ะ เสียงปรบมือดังสนั่นดุจเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นรอบด้านอย่างประหลาด
จีหมิงซิวดื่มมากเกินขีดจำกัดอยู่บ้าง เขาจึงเอนหลังกับพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แววตาพร่ามัวดั่งสายน้ำวสันต์ “หัวหน้าพรรคเฉียวคอแข็งนัก”
ไม่ได้ดื่มมานานเกินไปจนลืมว่านี่ไม่ใช่ร่างกายเดิมของตนเอง เห็นชัดว่าร่างกายนี้ทนรับแอลกอฮอล์ได้ไม่ดีนัก สมองนางมึนงงเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นไม่มึน เรื่องนี้นางมีประสบการณ์มากอยู่
เฉียวเวยตั้งสติ เกร็งร่าง เกร็งลำคอ เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน “คุณชายก็ไม่แพ้กัน ได้รับการสั่งสอนแล้ว คุณชายทั้งสองเชิญทานต่อ ข้ายังมีงานอยู่ด้านนั้น ขอตัวไปทำงานก่อน”
กล่าวจบก็หมุนตัวอย่างสง่างาม ก้าวเท้าอย่างสง่างามและกลับมาถึงแผงอาหารอย่างสง่างาม
นางเกาะขอบโต๊ะ ร่างกายหงายหลังอย่างมิอาจควบคุม โชคดีเสี่ยวลิ่วอยู่ด้านข้าง มือไวตาไวประคองนางเอาไว้ “พี่เฉียวเป็นอันใดไป ท่านดื่มจนเมาแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเวยโบกมือ “เปล่า แค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น สติยังแจ่มชัดอยู่ ตากลมสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะขนเก้าอี้มาให้ท่าน!” เสี่ยวลิ่วเอ่ยบอก
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ต้อง” ขืนนั่งก็หลับพอดี สภาพน่าขายหน้าเช่นนั้น นางไม่มีวันให้ใครเห็น ให้ตายก็ต้องทนไว้ให้ได้ ทนจนกว่าใครบางคนจะล้มก่อน!
เสี่ยวลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปชงชาเข้มๆ มาให้ท่าน” ได้ยินว่าชาเข้มๆ แก้เมาได้
เฉียวเวยพยักหน้า “เรื่องนี้ได้” นางชะงักครู่หนึ่งก็เรียกเสี่ยวลิ่วอีกครั้ง “ชงเพิ่มมาถ้วยหนึ่ง”
เสี่ยวลิ่วมองคุณชายสูงศักดิ์ผู้อยู่ในมุมมืด แล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ทราบแล้ว พี่เฉียว”
พี่เฉียวยังโสด พี่เฉียวแต่งงานได้ คุณชายผู้นั้นก็แลดูไม่เลว เขาจะช่วยพี่เฉียวคว้าคนมาไว้ในมือเอง!
หากเติมบางสิ่งลงไปในน้ำชาคงยิ่งดี แต่แบบนั้นพี่เฉียวจะตีเขาหรือไม่
ไม่สนล่ะ ตีก็ตีสิ ถูกตีแต่หาบุรุษมาให้พี่เฉียวได้ย่อมเป็นศิริมงคลแก่ตัวเขา
เสี่ยวลิ่วขบคิดวางแผนการในใจ จากนั้นก็เผ่นแผล็วเข้าไปในห้องบัญชีของเถ้าแก่หรง
ดังนั้นถัดจากสุราลายบุปผาอายุสามสิบปีที่ถูกฉก ยาลูกกลอนเสริมพลังที่โฆษณาว่าหนึ่งราตรีเจ็ดรอบ หอกทองตั้งโด่ไม่ล้มซึ่งเถ้าแก่หรงใช้เงินก้อนโตซื้อมาจึงถูกฉกไปด้วย!
…
ชาที่เสี่ยวลิ่วชงเข้มจริงๆ หลังจากเฉียวเวยดื่มลงไป เหงื่อก็ออกทั่วร่าง สมองแจ่มใสขึ้นไม่น้อย แต่หัวใจยังมีกระแสอุ่นร้อนจางๆ ไล่ไม่ออก
ลูกค้ามาอีกระลอก สั่งเนื้อวัวพะโล้ ยำเต้าหู้แผ่น เฉียวเวยหยิบมีดเริ่มหั่นอาหาร
เสี่ยวลิ่วนำชาเข้มๆ ไปส่งให้จีหมิงซิว “คุณชาย นี่คือชาแก้เมาที่เถ้าแก่ของพวกเราให้ข้าขงมาให้ท่าน”
จีหมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปากสูดกลิ่น ทันใดนั้นแววตาก็ชะงักวูบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “นางให้เจ้าเอามาหรือ”
เสี่ยวลิ่วตอบ “ขอรับ ใช่แล้วขอรับ ข้าเห็นว่าเถ้าแก่เมาเล็กน้อย จึงบอกนางว่าจะไปชงชาเข้มๆ มาให้สักถ้วย นางจึงบอกว่าให้ชงมาให้ท่านด้วยถ้วยหนึ่ง! ท่านรีบดื่มเถิด ข้ายังต้องไปทำงานอีก”
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยอย่างแฝงความนัย แล้วดื่มน้ำชารสเข้มจนหมด
เครื่องปรุงที่ทำไว้หมดแล้ว เฉียวเวยจึงกลับไปเอาใน ‘ห้องทำงาน’ เพิ่งเดินข้ามาในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง ยังไม่ทันจะปิดประตูก็เห็นร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางประตูไว้แล้วมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว “ท่านมาได้อย่างไร กินหมดแล้วหรือ”
จีหมิงซิวเดินเข้ามาในห้อง แล้วมองนางอย่างครุ่นคิด “ใจร้อนจริงนะ หัวหน้าพรรคเฉียว”
เฉียวเวยพยายามเบิกตาโต ทำท่าว่าข้าไม่กลัวข้าไม่ได้คิดไม่ดี “เลิกตั้งฉายาให้ข้าเพิ่มได้แล้ว!”
จีหมิงซิวหัวเราะดังพรืด “เจ้ายอมรับว่าตนเองใจร้อนหรือ”
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “ข้าใจร้อนเรื่องอะไรกัน ท่านดื่มมากไปใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง คิ้วเรียวเลิกขึ้น “อ้อ ที่แท้เจ้ากลัวข้าดื่มมากไปจะไม่ไหวจึงใส่ยาให้ข้าหรือ”
เฉียวเวยกะพริบตาแรงๆ “ใส่ยา? ท่านพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
“เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปสิ”
“ข้าไม่ได้แสร้ง”
“ไม่ได้ทำจริงหรือ” จีหมิงซิวจี้ถาม
เฉียวเวยส่ายหน้า ไม่ได้ทำจริงๆ นะ นางไม่รู้สักนิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น “ใครวางยาท่าน ยาอะไร”
มุมปากของจีหมิงซิวกระตุกนิดๆ จนแทบจะสังเกตไม่เห็น “แกล้งเจ้าเล่นน่ะ”
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งกลับใจกล้าวางแผนตลบหลังเขา ดียิ่ง ดียิ่ง!
เฉียวเวยกระแอม “ท่าน…กินเข้าไปแล้วอยากถ่ายท้องใช่หรือไม่ ก็ได้ ความจริง เนื้อพะโล้ไม่ได้ทำวันนี้ เป็นของเมื่อวานขายไม่หมด แล้วก็ถั่วแระกับกีบเท้าหมู…”
เฉียวเวยสารภาพรวดเดียวว่าอาหารสี่ห้าอย่างเป็นของค้างคืน จีหมิงซิวหน้าดำเป็นก้อนถ่าน!
เฉียวเวยถูกแรงกดดันอันแข็งแกร่งของเขากดจนไม่กล้ากระดิก ใบหูน้อยลู่ลงอย่างน่าสงสาร “ชาวบ้านล้วนกินเช่นนี้ ทำเนื้อวัวต้มพะโล้ครั้งหนึ่งก็กินได้ตั้งหลายวัน ท่านฐานะสูงศักดิ์ ไม่เคยกินของข้ามคืน ดังนั้นอาจท้องเสียได้ แต่ไม่เป็นอะไร ท่านถือเสียว่าขับพิษก็แล้วกัน”
ใบหน้าของจีหมิงซิวดำทะมึนจนทะมึนกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อุตส่าห์คิดว่าเจ้าตัวน้อยจอบแสบคนนี้ในที่สุดก็จิตใจดีงามขึ้นมาบ้างแล้ว ที่แท้อาหารที่เอามาต้อนรับเขาล้วนเป็นของค้างคืน!
…
ที่แผงขายอาหาร หลี่อวี้กินจนแทบจะพ่นไฟขึ้นฟ้า เขากวาดกุ้งพริกหมาล่าสองชั่งหมดเกลี้ยง เขาสั่งกุ้งตุ๋นน้ำมันมาอีกหนึ่งชั่งกับกุ้งสองสหายมาอีกหนึ่งที่
รสชาติของกุ้งตุ๋นน้ำมันดีกว่ากุ้งพริกหมาล่าเล็กน้อย คุณชายอวี้ชอบมาก เขาตัดสินใจว่าจะนำกลับไปให้มารดาของตนเองสักหน่อย ลองเปลี่ยนรสนิยมของนางดู
ขณะที่คุณชายอวี้กำลังฝันหวานว่าจะเปลี่ยนรสนิยมของมารดาตนอย่างไร รถม้าหรูหราชวนให้คนสะดุดตาคันหนึ่งก็จอดหน้าแผงอาหารของหรงจี้ หลังจากนั้นสตรีหน้าตาสะสวยสวมเครื่องประดับวิบวับ กลิ่นน้ำหอมลอยฟุ้งคนหนึ่งก็ลงจากรถม้ามาอย่างเชื่องช้าโดยมีสาวใช้คอยประคอง
นางมองหลี่อวี้ที่อยู่ตรงมุมแวบหนึ่ง คิ้วก็มุ่นเข้าหากันแล้วเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นตะเกียบกับชามสองชุดที่อยู่บนโต๊ะ ฝ่ามือพลันฟาดลงมา!
จานชามสะเทือนกระเด้งขึ้นจากโต๊ะ กุ้งที่หลี่อวี้เพิ่งแกะเปลือกเสร็จตกพื้นอีกครั้ง นี่เป็นตัวที่สองของคืนนี้แล้ว ปวดใจนักเชียว
คุณชายอวี้โกรธมาก คุณชายอวี้จะวิวาท!
หลี่อวี้ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “คนไม่มีตาคนใดกล้าแตะนายท่านอวี้…พี่หว่าน ท่านเองหรือ คนไม่มีตาคนไหนกล้าไม่ยกเก้าอี้มาให้พี่หว่านของคุณชายอวี้”
หลี่อวี้กลับกลายเป็นน้องน้อยผู้ว่าง่ายในพริบตา ใบหน้ายิ้มน่ารักใสซื่อไร้เดียงสา “พี่หว่าน ท่านมาได้อย่างไร”
จีหว่านลากเสียงยาว “พี่หว่านหรือ”
“น้าหว่าน!” หลี่อวี้ยืดร่างน้อยๆ ให้เหยียดตรง พี่หว่านเป็นคำที่เขาเรียกจีหว่านเอาเอง แต่หากนับรุ่นกันจริงๆ แล้ว เขาต้องเรียกจีหว่านว่าท่านน้า เรียกจีหมิงซิวว่าท่านอา แต่เขาเคยกราบอาจารย์ร่ำเรียนด้วยกันกับจีหมิงซิว อยู่ในสำนักเรียกกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาเรียกจนเคยชินจึงอ้างการเรียกติดปากมาใช้ประโยชน์ จีหมิงซิวก็ไม่จู้จี้เรื่องนี้ เขาจึงยิ่งเรียกเคยปากเข้าไปอีก แม้แต่จีหว่านก็พลอยเรียกติดปากไปด้วย
จีหว่านแค่นเสียงดังเหอะ แล้วมองชามตะเกียบอีกชุดหนึ่งบนโต๊ะที่เห็นชัดว่าเคยมีคนใช้ “นี่ของใคร ใช่ของหมิงซิวหรือไม่”
ลูกกระเดือกของหลี่อวี้ขยับขึ้นลง “ใช่…”
“เจ้าเด็กนั้นปล่อยข้ารอเก้อทั้งวัน ที่แท้มาเที่ยวเล่นสนุกสนานกับเด็กน้อยอย่างเจ้า!” จีหว่านโกรธจัด
แผ่นหลังของหลี่อวี้เหงื่อเย็นไหลซึมจนเปียกโชก “ไม่ใช่ ไม่ใช่! น้าหว่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ข้ายังไม่เจออาสี่เลย! ข้ามาคนเดียว!”
จีหว่านเอ่ยเสียงเหี้ยม “เจ้าเห็นข้าตาบอดหรือไร กินคนเดียวดันใช้ชามตะเกียบสองชุด”
“นี่…ชามกับตะเกียบนี่…เป็นของเขา!” หลี่อวี้ชี้เฉินต้าเตาอย่างว่องไว