หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 90-1 ถอนหมั้น
เฉียวอวี้ซีสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงและร่างกายอันแข็งทื่อของสวีซื่อ แต่นางมิทราบว่าท่าทางผิดปกติของสวีซื่อมาจากตัวตนของเฉียวเวย นางคิดไปว่าสวีซื่อตกตะลึงเพราะรูปโฉมของอีกฝ่าย จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ นางเกิดมามีใบหน้าของปีศาจจิ้งจอก”
นี่เป็นจุดที่เฉียวอวี้ซีรู้สึกพ่ายแพ้ ตนเองเกิดในตระกูลสูง รูปโฉมความสามารถเพียบพร้อม กำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม นี่เป็นช่วงวัยที่สตรีผู้หนึ่งจะงดงามที่สุดในชีวิต แต่นางกลับถูกนำไปเปรียบกับ ‘สาวแก่’ คนหนึ่ง!
สวีซื่อไม่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวแล้ว สมองของนางว่างเปล่าไปหมด นางมองสตรีที่กำลังขนกุ้งอยู่หน้าแผงขายอาหารคนนั้นอย่างตะลึงงัน นางเดินผ่านหน้ารถไป สวีซื่อรีบปลดม่านฝั่งนี้ลง แล้วเลิกอีกฝั่งขึ้น มองนางเดินเข้าไปในเหลาสุราหรงจี้
“ท่านแม่ คนเดินไปไกลแล้ว เหตุใดท่านยังมองอยู่อีก มีอะไรน่าดูหรือ” เฉียวอวี้ซีถามอย่างริษยา
สวีซื่อหลับตาลงพลางสูดหายใจ กดคลื่นลูกใหญ่ที่โถมซัดอยู่ในหัวใจลงไป แล้วถามบุตรสาวว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสตรีนางนั้น จำไม่ผิดใช่หรือไม่”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยทันใด “ข้ากับนางพบกันมาหลายครั้งนัก ไม่มีทางจำผิดแน่นอน!”
สวีซื่อกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “เจ้าของแผงขายของที่เจ้ากับฝังมามาพบที่ในเมืองครั้งแรกก็คือนางหรือ”
ดวงเนตรงามของเฉียวอวี้ซีมีแววตาขุ่นเคืองพาดผ่าน “นางนั่นแหละ! ท่านแม่ ท่านอย่าเห็นว่านางหน้าตาเรียบร้อย พอลงมือขึ้นมาน่ากลัวยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก ฝังมามาเพียงเถียงกับนางไม่กี่คำ นางก็หักแขนของฝังมามาแล้ว ครั้งต่อมาที่หอหลิงจือก็ใช่ หากมิใช่ว่าฝังมามาลงไปห้ามนางได้ทันเวลา ก็ไม่รู้ว่านางจะทำอันใดกับอนุภรรยาของรองหัวหน้ากองคนนั้นบ้าง”
เฉียวเวยหักแขนฝังมามาก็เพราะฝังมามาตบหน้าป้าหลัว แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เฉียวอวี้ซีย่อมไม่จดจำ
สวีซื่อยามนี้ก็ไม่มีเวลาสนใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านั้น นางสนใจแต่ว่าคนรักของอัครมหาเสนาบดีใช่คุณหนูใหญ่เฉียวหรือไม่ หากใช่ ถ้าเช่นนั้นย่อมลำบากแล้ว
“เจ้าจำไม่ผิดจริงๆ ใช่หรือไม่” นางเน้นย้ำอย่างระมัดระวัง
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างจนปัญญา “ท่านแม่ ศัตรูความรักของข้าเอง ข้ายังจะจำผิดได้หรือ นางทำร้ายแม่นมของข้า ให้สือชีโยนข้าออกจากเรือนสี่ประสาน ปฏิเสธคำชวนเป็นพวกของข้า แย่งผู้ชายของข้า จับข้ายัดเข้าคุก ผ่านเรื่องมามากมายเช่นนี้ ต่อให้นางกลายเป็นขี้เถ้า ข้าก็ยังจำได้!”
ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตบุตรชายก็คือนาง ศัตรูคู่แค้นของบุตรสาวก็คือนาง ที่แท้นางก็ ‘ซุ่มซ่อน’ อยู่ข้างกายตนมาตลอด สิ่งที่น่ากลัวก็คือตนเพิ่งมารู้ตัวเอาป่านนี้
“ท่านแม่ ท่านเป็นอันใด จู่ๆ สีหน้าจึงย่ำแย่เช่นนี้” เฉียวอวี้ซีลูบใบหน้าของสวีซื่อ “เหงื่อออกมากนัก!”
นี่คือเหงื่อของความหวาดกลัว
สวีซื่อไม่มีทางยอมรับว่าตนเองตกใจกลัว แม้หัวใจเต้นตึกตักจนเกือบทะลุหน้าอกออกมาก็ตาม นางกุมมือบุตรสาวไว้ แล้วพยายามสุดกำลังไม่ให้น้ำเสียงของตนฟังดูแปลก “แม่ลืมพกใบชามาให้จีเหล่าฮูหยิน เจ้าไปร้านใบชาฝั่งนั้นซื้อมาสักสองสามชั่ง”
“เมืองนี้จะมีใบชาดีๆ อันใดได้เล่า” เฉียวอวี้ซีดูแคลน
สวีซื่อเพียงอยากดึงนางออกไปเท่านั้น จึงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นน้ำใจ”
ไม่ง่ายกว่าจะสืบหาที่อยู่ของเหล่าฮูหยินมาได้ เฉียวอวี้ซีย่อมต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ นางไม่เพียงต้องช่วยบิดาของตน ยังต้องให้เหล่าฮูหยินสั่งสอนปีศาจจิ้งจอกที่ล่อลวงอัครมหาเสนาบดีคนนั้นหนักๆ อีกด้วย มิต้องพูดถึงใบชากาหนึ่ง ต่อให้ต้องซื้อภูเขาทองลูกหนึ่งนางก็เต็มใจ “ก็ได้ ข้าจะไป”
เฉียวอวี้ซีลงจารถแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านใบชาร้านหนึ่งที่อยู่เยื้องกันฝั่งตรงข้าม
สวีซื่อเรียกหลินมามาที่คอยเฝ้าอยู่ข้างรถม้ามาหา “เมื่อครู่ที่พูดกันเจ้าได้ยินแล้วสินะ”
หลินมามาค้อมกาย “ได้ยินทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“เมื่อครู่เจ้ายืนอยู่ข้างล่าง คุณหนูใหญ่เฉียวไม่เห็นเจ้าใช่หรือไม่” สวีซื่อถามอย่างระแวง
หลินมามาเอ่ยอย่างมั่นใจ “ไม่เห็นเจ้าค่ะ บ่าวหันหลังอยู่ตลอด”
สวีซื่อดึงผ้าเช็ดหน้าจนตึงเปรี๊ยะแล้วลูบหน้าอก ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างยากลำบาก “เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ สตรีผู้นั้นเหตุใดจึงตามเกาะติดเป็นวิญญาณร้าย ยุ่งเกี่ยวกับบุตรชายข้าจบ ก็ยุ่งเกี่ยวกับบุตรสาวข้าต่อ เจ้าคิดว่านางจงใจหรือไม่”
เรื่องนี้จะให้หลินมามาพูดว่าอย่างไรดีเล่า จะบอกว่าเฉียวเวยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าแต่ละเรื่องแต่ละเหตุการณ์ก็เล่นงานบ้านรองเสียหนักหนา แต่จะบอกว่านางตั้งใจ นางก็กลายเป็นคนรักของอัครมหาเสนาบดีแล้ว เหตุใดไม่เปิดโปงบ้านรองเสียเลยเล่า เปลืองเวลายืดเยื้ออยู่เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหน่อย
สวีซื่อก็เพียงถามไปเท่านั้น ความจรงิในใจนางมีคำตอบอยู่แล้ว “ซีเอ๋อร์บอกข้าว่าคนรักของอัครมหาเสนาบดีเป็นสาวชาวบ้านนางหนึ่ง ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจ บุรุษน่ะล้วนเป็นแมวชอบแอบขโมยกินของสกปรก เพียงแค่สตรีฐานะต่ำต้อยคนหนึ่ง ได้รับความโปรดปรานมากอีกเท่าใดก็ไม่มีวันได้แต่งเข้าจวนอัครมหาเสนาบดี แต่ตอนนี้ข้ามองในแง่ดีเช่นนั้นมิได้แล้ว นางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว บิดาของนางคือบุตรชายสายตรงของตระกูลเฉียว มารดาของนางคือหมอเทวดาแห่งหุบเขาสมุนไพร ในเมืองมีผู้คนเท่าไรเคยติดค้างบุญคุณเสิ่นซื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ในอดีตนางมิได้ไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น หากไปขอจริง สถานการณ์ก็คงกลายเป็นอีกแบบหนึ่งแล้ว”
หากมีโอกาสขอร้องก็คงไม่ถูกขับไล่ออกจากจวนเอินปั๋ว
“เจ้าคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้จะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกดี หากข้าบอกอัครมหาเสนาบดีว่านางคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว นางมีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับอัครมหาเสนาบดี แล้วอัครมหาเสนาบดีได้แต่งงานกับนาง นายท่านจะได้อานิสงค์ด้วยหรือไม่”
หลินมามาส่ายศีรษะ “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าฮูหยิน นางกับคุณหนูใหญ่ทะเลาะกันเช่นนี้ นางยอมช่วยบ้านรองของเราสิถึงแปลก! ถึงเวลา มีอัครมหาเสนาบดีหนุนหลังนาง กิจการของบ้านใหญ่ สินเดิมของเสิ่นซื่อ หอหลิงจือ ทั้งหมดคงหลุดลอยจากมือ!”
บ้านรองอาศัยฉกฉวยสิ่งที่เป็นของบ้านใหญ่มาจึงมีหน้ามีตาเช่นวันนี้ บ้านแม่ของสวีซื่อเองก็กอบโกยผลประโยชน์ไปไม่น้อย สวีซื่อใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่จนเคยตัวนานแล้ว จะให้นางคืนสิ่งที่ครอบครองอยู่ในมือ ไม่ต่างกับเอามีดมาเฉือนเนื้อ!
สวีซื่อสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเฮือกหนึ่ง เมื่อคิดอันใดได้จึงเอ่ยอีกว่า “แต่นางเป็นโรคหลงลืม จดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้มิได้”
หลินมามาเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังจำมิได้ แต่หากวันใดนึกขึ้นมาได้เล่า ท่านจำเหิงเกอในจวนของพวกเรามิได้หรือ”
“เหิงเกอคนใด” สวีซื่อสมองมึนงงเล็กน้อย
“ลูกชายคนโตของตาเฒ่าเหอในโรงครัว ท่านลืมแล้วหรือ” หลินมามาเตือนความจำ
สวีซื่อคลับคล้ายคลับคลาว่าจำได้อยู่ นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ รายละเอียดสวีซื่อจำไม่ได้มากนัก จำได้เพียงว่านางกับเสิ่นซื่อแต่งเข้ามาแล้ว ห้องครัวมีพ่อครัวแซ่เหอคนหนึ่ง บุตรชายคนโตของเขาเป็นโรคหลงลืม บิดามารดาล้วนจดจำไม่ได้ ต่อมาเสิ่นซื่อรักษาอยู่เกือบครึ่งปีจึงหายดี
เรื่องผ่านมานานนักแล้ว หากหลินมามาไม่เตือนนาง นางก็คงนึกไม่ออกว่าในจวนเคยมีคนเช่นนี้อยู่ด้วยคนหนึ่ง
“ต่อมาตาเฒ่าเหอขอความเมตตาจากเสิ่นซื่อ พาเมียเฒ่ากับลูกๆ กลับไปซื้อที่ดินในบ้านเกิด กลายเป็นเศรษฐีเจ้าของที่!” หลินมามาเอ่ยต่อว่า “เรื่องราวในโลกนี้ล้วนยากคาดเดา หากคุณหนูใหญ่เฉียวโชคดีเหมือนเหิงเกอขึ้นมา กลับมาสร้างเรื่องลำบากให้ตระกูลเฉียว พวกเราบ้านรองจะเป็นคนโดนเล่นงานพวกแรก! นางกำพร้าเป็นแม่ม่าย พวกเรายังหวั่นเกรงนางสามส่วน รอมีอัครมหาเสนาบดีหนุนหลังนาง พวกเราจะตายอย่างไรก็คงไม่รู้แล้ว!”
สวีซื่อนวดศีรษะที่ปวดหนึบ นางทำเวรทำกรรมอันใดไว้หนอ เหตุใดสองคนนี้จึงมายุ่งเกี่ยวกันได้เล่า
“อัครมหาเสนาบดีน่าจะยังไม่ทราบตัวตนของนาง หากทราบต้องไม่ยอมรับนางแน่” สวีซื่อเอ่ยขึ้นมา
หลินมามาว่าบ้าง “ไม่ผิด สตรีที่สวมหมวกเขียวให้เขา เขายอมรับอย่างไม่เคืองแค้นสักนิด นั่นถึงจะแปลก…เฮ้อ ฮูหยิน ท่านว่าพวกเราบอกความจริงกับอัครมหาเสนาบดี ดีหรือไม่ เช่นนี้อัครมหาเสนาบดีก็จะไม่ต้องการนางแล้ว”
สวีซื่อตวัดตามองนาง “ก่อนหน้านี้ข้าเลอะเลือน ครานี้เปลี่ยนเป็นเจ้าแล้วใช่หรือไม่ บอกความจริงกับอัครมหาเสนาบดี ไม่เท่ากับบอกความจริงแก่นางหรือ เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์สักนิดกับพวกเรา”
หลินมามาตบศีรษะตนเอง “บ่าวพูดไปพูดมาดันลืมเสียได้”
สวีซื่อค่อยๆ เรียกสติปัญญากลับมาได้ทีละน้อย แล้วถอนหายใจหนักๆ อีกหน “ตอนนี้ทำอย่างไรจึงจะดีเล่า”
สายตาหลินมามาฉายแววอำมหิต “ทำอย่างไรก็ได้ แต่จะต้องไม่ให้นางกับอัครมหาเสนาบดีติดต่อกันอีก! กระดาษห่อไฟมิได้ นานวันเข้า น่ากลัวว่าสักวันนางคงได้รู้ชาติกำเนิดของตนผ่านทางอัครมหาเสนาบดี”
สวีซื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้อัครมหาเสนาบดีจะยังไม่ทราบว่านางคือคุณหนูใหญ่เฉียวแห่งจวนเอินปั๋วในตอนนี้ แต่อัครมหาเสนาบดีรู้จักคนมากมายปานนั้น ย่อมต้องมีสักคนรู้จักนาง ตัวอย่างเช่นยิ่นอ๋อง ภารกิจเร่งด่วนตอนนี้ก็คือตัดความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอัครมหาเสนาบดีทันที จะปล่อยให้นางย่างเท้าเข้ามารอบตัวอัครมหาเสนาบดีไม่ได้เป็นอันขาด “สมองข้าสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีความคิดอันใดเลย เจ้าคิดวิธีใดออกหรือไม่”
หลินมามาหรี่ตาลง “ฮูหยินเพียงต้องอำมหิตขึ้นหน่อย เรื่องนี้ก็จะจัดการง่ายแล้ว”
“อำมหิตสักหน่อยหมายความว่า…” สวีซื่อมองไปทางหลินมามา
“หากไม่ทำย่อมไม่จบไม่สิ้น…”
สวีซื่อแววตาสั่นไหวอย่างรุนแรง “ไม่ได้! หากมีคนตาย ทางการย่อมตรวจสอบ! ข้าไม่คิดจะเข้าคุกไปอีกคนหรอกนะ!” ครั้งก่อนใช้ให้หวังมามาไปจัดการคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวก็มิได้ให้ไปสังหารนาง
หลินมามาคลี่ยิ้ม “ฮูหยินวางใจเถิด บ่าวไม่ได้จะบอกให้สังหารนาง หากสังหารนางก็ยังมีบุตรทั้งสองคนของนางอยู่ ภัยร้ายย่อมตามมาไม่หมดสิ้น บ่าวคิดวิธีอันยอดเยี่ยมได้วิธีหนึ่ง ทั้งไม่ต้องให้นางตาย แล้วยังรับประกันได้ว่านางจะไม่มีหนทางติดต่อใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีได้อีกต่อไป”
…
เฉียวเวยขนกุ้งตะกร้าที่สองไปยังแผงขายอาหาร ในห้องครัวยังมีอีกจำนวนหนึ่ง แต่คนพอแล้ว นางจึงเตรียมจะขึ้นชั้นบนไปเรียกลูกๆ กลับบ้าน เพิ่งเดินถึงหัวบันไดก็เห็นเถ้าแก่หรงจับจ้องมาดร้ายมาทางนี้ นางยกมือขึ้นลูบเรือนผม เท้าขยับหมุนหมายจะเข้าไปในห้องครัว
เถ้าแก่หรงถือถุงน้ำแข็ง เดินกะโผลกกะเผลกไล่ตามมา “อย่าหลบนะ ข้ามองเจ้าออกแล้ว!”
เฉียวเวยโยนกุ้งที่ตายแล้วเข้าไปในตะกร้าขยะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เช่นนั้นหรือ ท่านมองอันใดข้าออกแล้ว”
เถ้าแก่หรงแค่นเสียงเหอะ “เจ้ามันไม่มีคุณธรรมน้ำมิตร! เมื่อครู่ผู้ใดบอกว่าจะไปต่อยคืนให้ข้า เหตุใดตอนนี้แม้แต่ผายลมก็ยังไม่กล้าปล่อยแล้วเล่า”
ปู้ดดด
คนโง่บางคนผายลมเสียงดังขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วหลับตาอย่างสบายอุรา
เถ้าแก่หรงย่นคออย่างรังเกียจ
เฉียวเวยเม้มปากยิ้ม แล้วขนตะกร้าออกไปด้านนอก
เถ้าแก่หรงกัดฟันไล่ตามไป “เสี่ยวเฉียวพฤติกรรมเจ้าผิดปกติเช่นนี้ จะทำให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกัน!”
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ท่านซื้อสุรามาตั้งแต่สิบปีก่อน ตอนนั้นตัวข้ายังไม่รู้อยู่ที่ใดเลย”
เถ้าแก่หรงทำท่าครุ่นคิด “ข้าลองนึกดูดีๆ แล้ว สีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนกำลังโกหก เจ้าคิดว่าข้าเข้าใจพวกเขาผิดหรือไม่ สุรากับยาที่พวกเขาขายให้ข้าล้วนเป็นของจริง แต่มีคนฉกสุรากับยาไป”
ฟ้าดินเป็นพยาน นางฉกไปแค่สุราเท่านั้น!
เฉียวเวยเชิดคางขึ้น แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเขาว่าอะไร ท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ เหตุใดท่านจึงหลอกง่ายเช่นนี้เล่า คนขายของปลอมคนใดจะยอมรับว่าตนเองขายของปลอมบ้าง ท่านยอมรับว่าหรงจี้ขายอาหารค้างคืนหรือไม่เล่า”
เถ้าแก่หรงไม่มีคำใดตอบ
เฉียวเวยวางกุ้งลง เลือกตัวที่สดใหม่มาสองชั่งแล้วกลับไปใช้เตาเล็กในโรงครัวของเหลาสุราผัดกุ้งกระเทียมขึ้นมาจานหนึ่ง แล้วหั่นหมูสามชั้นติดมันเล็กน้อยมาครึ่งชั่ง หั่นเป็นแผ่นบาง ผัดไฟแรงเคล้ากับพริกเขียวพริกแดง กลิ่นความเผ็ดหอมหวนแผ่กระจายไปทั่วห้อง แล้วเฉียวเวยยังทำไข่น้ำอีกจานหนึ่ง กับผัดผักกาดขาวอีกจาน จากนั้นหยิบขนมหนึ่งจานให้เสี่ยวไป๋ (เจ้าตัวนี้ตอนนี้เลือกกินนัก ไม่ยอมกินข้าวดีๆ) สุดท้ายตักข้าวสามถ้วบแล้วยกขึ้นไปที่ห้องบัญชี
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองกินน้ำแข็งไสหมดแล้ว พวกเขากำลังเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอก
“พี่ชายท่านดูสิ ป้าคนนั้นซื้อถั่วมาเยอะแยะ” วั่งซูสูดน้ำลาย
“นั่นไม่ใช่ถั่ว แต่เป็นยาชนิดหนึ่ง กินไม่ได้” จิ่งอวิ๋นอธิบายอย่างอดทน
“อ้อ” วั่งซูเท้าคางอย่างผิดหวัง “ท่านพี่ เหตุใดคนผู้นั้นจึงถือไม้พลอง”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “นั่นไม่ใช่ไม้พลอง แต่เป็นไม้นวดแป้ง เขาจะไปนวดแป้ง”
“อ้อ” วั่งซูทำท่าว่าเข้าใจแล้ว แต่ในใจกลับยังฉงน เขาจะนวดแป้งแล้วเหตุใดไปห้องน้ำ นวดแป้งในนั้นไม่สกปรกหรือไร
เฉียวเวยเข้ามาในห้องเห็นภาพนี้ก็ตกใจยิ่งนัก นางรีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปอุ้มเจ้าตัวน้อยแสนใจกล้าทั้งสองคนลงมา “ปีนหน้าต่างอันตรายมาก หลังจากนี้ห้ามปีนอีกรู้หรือไม่”
“แต่ข้าอยากดูนี่นาท่านแม่!” วั่งซูยกมือขึ้นคล้องคอเฉียวเวย
วิชาออดอ้อนของเจ้าตัวน้อยคนนี้พัฒนาขึ้นอีกแล้ว เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเองต้านทานไม่ไหวอยู่หน่อยๆ นางวางอีกฝ่ายลงบนเก้าอี้ “ถึงอย่างนั้นก็ห้ามปีนหน้าต่างดู หากร่วงลงไปแข้งขาจะหักเอาได้ เข้าใจหรือไม่”
“ร่วงลงไปแข้งขาหักเป็นอย่างไรหรือ” วั่งซูถามอย่างสงสัยใคร่รู้
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ร่วงลงไปแข้งขาหักก็จะเจ็บปวดมาก เจ็บยิ่งกว่าเจ้าหกล้มเสียอีก”
ไม่รู้วั่งซูหวาดกลัวเพราะสีหน้าของนางหรือคำพูดของนาง อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ปีนอีกแล้ว”
เฉียวเวยขานอืมอย่างพึงพอใจแล้วตักน้ำมาล้างมือของทั้งสอง จากนั้นจึงเริ่มทานข้าว
จิ่งอวิ๋นแพ้กุ้งจึงได้แต่นั่งมองน้องสาวกิน จะบอกว่าไม่อิจฉาคงโกหก เหตุใดเป็นบุตรของท่านแม่เหมือนกัน แต่มีเขาคนเดียวที่แพ้กุ้งเล่า
แต่เนื้อผัดกับไข่ก็อร่อยมากเหมือนกัน เขากินไปๆ ก็ลืมความไม่พอใจนี้ไปเสียแล้ว
มีผู้ใดเล่าจะรู้ใจบุตรเท่ามารดา เมื่อเฉียวเวยเห็นดวงตาน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นเต็มไปด้วยแววตาอิจฉาก็ทราบว่าเจ้าตัวน้อยคงอยากกินกุ้งเหมือนกัน แต่น่าเสียดายอาการแพ้เป็นปัญหาจากร่างกายของแต่ละคน มิอาจรักษาหายขาดได้ ร่างกายนี้ของนางไม่มีปัญหาด้านนี้ ก็ไม่รู้ว่ายีนส์ของลูกชายเกิดเปลี่ยนแปลงหรือว่าสืบทอดมาจากบิดาของเขา
เฉียวเวยจูบศีรษะน้อยของบุตรชายอย่างปลอบประโลม ดวงหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อแล้วตั้งอกตั้งใจกินกว่าเดิม
ครอบครัวสี่คนฝั่งนี้กำลังทานอาหารค่ำกันอย่างสุขสันต์ อีกด้านหนึ่งหลินมามากำลังขึ้นรถม้ามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ นางกวาดสายตาเห็นว่าเฉียวอวี้ซีกับซิ่งจู่ล้วนไม่อยู่ มีเพียงไข่เยี่ยวม้าหนึ่งโถที่ซิ่งจู่ซื้อมาวางอยู่บนพื้น
สวีซื่อเอ่ยว่า “ข้าให้ทั้งสองคนไปซื้อผ้า ฝั่งเจ้าเป็นอย่างไร”
หลินมามาตอบอย่างมั่นใจ “ทุกสิ่งตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว เมืองเล็กเท่านี้ วิ่งไปไม่กี่ที่ไม่ใช่เรื่องยากสักนิด”
สวีซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าวางแผนอย่างไรไว้กันแน่ อย่าให้ผิดพลาดอะไรขึ้นเล่า สาวน้อยผู้นั้นฉลาดนัก ทางการยังฉกฉวยประโยชน์อันใดจากมือนางไม่ได้ เจ้าอย่าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับเสียข้าวสารเชียว!”
“นางร้ายกาจอีกเท่าใดก็เป็นเพียงมนุษย์เดินดินคนหนึ่งเท่านั้น ต้องกินข้าว ต้องดื่มน้ำ” หลินมามาเอ่ยพลางก็เห็นสวีซื่อมองตนเองอย่างไม่เชื่อมั่น จึงยิ้มอย่าลำพอง “บ่าวใส่ยาไว้ในน้ำชาที่นางสั่ง…”
เถ้าแก่หรงไม่เพียงถูกต่อยตาเขียว ยังถูกเตะเข้าอีกหนึ่งที ขาจึงเดินกะโผลกกะเผลก แต่ถึงสภาพเป็นเช่นนี้เขาก็ยังต้องทำมาค้าขายวุ่นวาย เพราะว่าเสี่ยวเฉียวแม่ครัวเอกควบผู้ดูแลร้านทิ้งร้านอย่างไม่สนใจไยดี วิ่งไปเลี้ยงลูกแล้ว!
“กุ้งพริกหมาล่าของข้าเล่า! รอตั้งนานแล้ว! ถ้าไม่มาอีกข้าจะไปแล้ว!” มีลูกค้าตะโกน
“ไข่เยี่ยวม้าของข้าเล่า”
“ทำไมยังไม่ยกเนื้อมาอีก ทำอาหารช้าเกินไปแล้ว…”