หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 91-1 ฝาแฝด
ปลายเดือนห้า อากาศค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นทีละนิด เฉียวเวยเปิดหน้าต่างให้กว้างที่สุดพลางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตาที่ปูเสื่อไผ่ไว้ พู่กันตวัดเขียนวิธีการปรับปรุงดินเค็ม
ชาติก่อนนางไม่ได้เกิดในครอบครัวเกษตรกร แล้วก็ไม่ได้จบจากสาขาการเกษตร นางรู้วิธีการเหล่านี้เพราะบางครั้งติดตามคุณแม่อธิการลงชนบท แน่นอนว่าบ้านเด็กกำพร้ามีสวนผักของตนเอง นางชอบปลูกผักพอสมควร เมื่อเห็นที่ดินโล้นว่างเปล่า มีต้นอ่อนสีเขียวงอกขึ้นมาทีละนิดแล้วกลายเป็นผักหรือผลไม้ ความรู้สึกประสบความสำเร็จนั่น อิ่มอกอิ่มใจเสียยิ่งกว่าได้กินไก่น่องโตเสียอีก
ทว่าแม้นางจะรู้จักตัวอักษรในยุคนี้จำนวนไม่น้อยแล้ว แต่ให้เขียนกลับยังเป็นเรื่องเกินกำลังอยู่บ้าง
“ลูกชาย คลองส่งน้ำเขียนอย่างไร” นางถามจิ่งอวิ๋นที่นั่งอ่านตำราอยู่ตรงข้ามกับนาง
จิ่งอวิ๋นยกพู่กัน มือน้อยอันงดงามเขียนตัวอักษรตัวใหญ่หน้าตาสวยงามสองตัวบนแผ่นกระดาษ
เมื่อเห็นตัวอักษรที่หาข้อติไม่ได้นั่นของบุตรชาย เฉียวเวยก็ตกตะลึงจนคางเกือบร่วง “ตัวอักษรยากเช่นนี้ เจ้าเขียนได้จริงหรือ”
แล้วยังเขียนสวยปานนี้อีก…
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลายมือของตนนั่นหายนะแท้ๆ…
เฉียวเวยอับอายหากจะถือออกไปให้ขายหน้า
จิ่งอวิ๋นวางหนังสือลงอย่างเป็นระเบียบแล้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “ท่านบอก ข้าเขียนดีหรือไม่”
ชาติก่อนกับชาตินี้รวมกันก็อายุหลายสิบปีแล้ว แต่ดันต้องให้เด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งเขียนหนังสือแทน เล่าออกไปขายหน้านัก แต่ผู้ใดให้เด็กคนนี้เป็นลูกชายนางเล่า ลูกชายนางเก่งกาจ ไม่ใช่เพราะนางสั่งสอนมาดีหรือไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉียวเวยก็สบายใจ นางส่งพู่กันกับกระดาษให้ลูกชายอย่างยินดี
จิ่งอวิ๋นเขียนตัวอักษรได้นิ่งมาก ตั้งใจมาก ไม่ว่าจะท่าทาง สีหน้าหรือตัวอักษรที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษล้วนเหมือนตัวเขา ไม่หยิ่งยโส ไม่ใจร้อน เพียงมองเฉียวเวยก็รู้สึกว่าหัวใจของตนสงบตาม
เพิ่งอายุห้าปีก็ยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้ว ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าเติบใหญ่ขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร น่ากลัวว่าคงทำให้สตรีกองพะเนินลุ่มหลง
“เสร็จแล้ว” เมื่อเขียนอักษรตัวสุดท้ายจบ จิ่งอวิ๋นก็วางพู่กันลงบนราวพู่กัน สองมือหยิบกระดาษส่งให้เฉียวเวย
แม้เฉียวเวยจะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการเขียนพู่กันมากนัก แต่มองออกว่าตัวอักษรของบุตรชายก้าวหน้ากว่าเมื่อเดือนก่อนอีกแล้ว นางลูบศีรษะน้อยของบุตรชายอย่างภาคภูมิใจ แล้วขยับเข้าไปจุ๊บแก้มน้อยๆ ที่นุ่มเหมือนเต้าหู้นิ่มของบุตรชายหนึ่งที!
ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นกลายเป็นสีแดงอย่างช้าๆ
เฉียวเวยยังจำแววตาอิจฉาที่จิ่งอวิ๋นมองวั่งซูตอนกินกุ้งได้ เรื่องนี้สำหรับเด็กน้อยที่เกิดออกมาจากท้องเดียวกันช่างไม่ยุติธรรมอยู่บ้างจริงๆ หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปมา เฉียวเวยก็ตัดสินใจพาบุตรชายไปจับปลา ชดเชยให้หัวใจดวงน้อยที่บาดเจ็บของเขา
วั่งซูกำลังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง ไม่รู้สักนิดว่าท่านแม่พาพี่ชายไป ‘เที่ยว’ แล้วทิ้งนางไว้คนเดียว!
เฉียวเวยยกมือทักทายป้าหลัว แล้วเอ่ยอย่างไม่มีเสียงว่า “ข้าจะพาจิ่งอวิ๋นออกไปข้างนอกสักหน่อย”
ป้าหลัวโบกมือ จากนั้นหยิบพัดมาพัดให้วั่งซูกับทารกน้อยบนเตียง
เสี่ยงไป๋หูตั้งเดินดุ๊กดิ๊กตามมาด้วย
“เจ้ามาทำอะไร” เฉียวเวยมองเสี่ยวไป๋ด้วยสายตารังเกียจ
เสี่ยวไป๋แค่นเสียงแล้วสะบัดหางน้อย กระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นกอดมันไว้แล้วถามอย่างสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดเสี่ยวไป๋จึงโตช้าเช่นนี้เล่า ต้าไป๋ของเถี่ยหนิวโตจนสูงเท่าเข่าของข้าแล้ว”
เพราะตอนนั้นเถี่ยหนิวอยากได้เสี่ยวไป๋ น้าหลิวจึงซื้อสุนัขเฝ้าไร่สีขาวที่ขนาดพอๆ กับเสี่ยวไป๋มาตัวหนึ่ง แล้วตั้งชื่อให้ว่าต้าไป๋ ผ่านไปไม่กี่เดือน ต้าไป๋ก็โตจน ‘ตัวขนาดประมาณหนึ่งแล้ว’ แต่เสี่ยวไป๋ยังคงเป็นเจ้าก้อนสีขาวตัวจ้อย
“มันไม่ได้โตช้า มันจะไม่โตแล้วต่างหาก” เฉียวเวยทำหน้ารังเกียจ ตอนนั้นนางเสียสติหรือไรนะ จึงยอมให้บุตรสาวเก็บเจ้าตัวเล็กนี่ไว้ โตก็ไม่โต ขายเนื้อก็ได้เพียงไม่กี่เฉียน
“มันป่วยหรือ เหตุใดจึงไม่โตเล่า” จิ่งอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ
นั่นสินะ เหตุใดจึงไม่โต กินของบ้านนางไปมากมายปานนั้น ไม่มีเนื้อสักเหลี่ยงไปโตอยู่ตรงไหนของตัวเลย ช่างเสียเสบียงเปล่าประโยชน์โดยแท้!
เฉียวเวยพาบุตรชายมาถึงลำธารน้อยใกล้ป่า ร่มไม้เย็นสบาย เสียงนกร้องดังไม่ขาด ลำธารใสเห็นก้น มองเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ
เฉียวเวยวางข้องปลาที่สะพายอยู่บนหลังลงด้านข้าง แล้วล้วงข้องปลาใบน้อยด้านในออกมาสะพายไว้บนหลังของบุตรชาย ต่อจากนั้นจึงถอดรองเท้า ม้วนขากางเกง เผยเท้าน้อยเรียวเล็กคู่หนึ่งที่ถูกประกายน้ำส่องแลดูผุดผ่องประหนึ่งหยกขาว
อีกด้านหนึ่งจิ่งอวิ๋นถอดรองเท้าม้วนกางเกงขึ้นเหนือเข่าเลียนแบบมารดา แต่เขาตัวเล็ก ความสูงเท่านี้จึงยังไม่พอ เฉียวเวยจึงให้เขาถอดกางเกงตัวยาวออกเสีย สวมไว้แต่กางเกงตัวในลงน้ำ
จุดที่เฉียวเวยเลือกบังเอิญเป็นจุดที่น้ำตื้นที่สุด เมื่อเดินไปถึงตรงกลางยังไม่ถึงน่องของจิ่งอวิ๋น กระแสน้ำเอื่อยเฉื่อยแทบจะสังเกตไม่ได้ จิ่งอวิ๋นผู้ว่ายน้ำไม่เป็นจึงอยู่ในน้ำได้อย่างไม่มีปัญหาอันใด
นี่เป็นครั้งแรกที่ลงน้ำจิ่งอวิ๋นจึงตื่นเต้นนัก เขาก้าวเท้าน้อยๆ เหยียบไปเหยียบมาบนก้อนหินกลมมนเย็นเฉียบ ทำให้ฝูงปลาตกใจว่ายหนีจนสิ้น
เฉียวเวยหัวเราะพรืด “เหยียบอีกสักสองสามครั้ง วันนี้คงไม่มีปลาให้กินแล้ว”
จิ่งอวิ๋นเผยรอยยิ้มซุกซนออกมาอย่างหายาก แล้วหันกลับไปมองเสี่ยวไป๋ที่ชักช้าไม่ยอมลงน้ำอยู่บนฝั่ง “มาสิ เสี่ยวไป๋ น้ำใสนักเชียว!”
เสี่ยวไป๋ถอยหลังก้าวหนึ่ง
จิ่งอวิ๋นวิ่งไปจับมัน แต่มันยกเท้าวิ่งหนี! ไม่นานก็วิ่งจนไม่เห็นเงาเพียงพอน
เพียงพอนเกิดมาก็ว่ายน้ำเป็น แต่เจ้าตัวนี้ดันกลัวน้ำ สงสัยนักว่าตนเองเลี้ยงเพียงพอนปลอมอยู่หรือเปล่า เฉียวเวยยักไหล่อย่างหมดคำจะพูดแล้วไม่สนใจเสี่ยวไป๋อีก แต่ไปจับปลาด้วยกันกับบุตรชาย
ปลาที่นี่ศัตรูธรรมชาติมาก ไม่มีคนเลี้ยงดู จึงว่องไวกว่าปลาเลี้ยงมากนัก เพียงสายลมพัดใบไม้ไหว พวกมันก็พร้อมใจกันแตกกระเจิง แต่ผู้ใดให้พวกมันโชคไม่ดีมาเจอเฉียวเวยกันเล่า
เฉียวเวยผู้ตาไวมือไว คว้าตัวไหนจับได้ตัวนั้น! จับเสร็จก็โยนใส่ข้องปลาบนหลัง ไม่นานข้องปลาของนางก็หนักอึ้ง
จิ่งอวิ๋นเริ่มแรกจับไม่ได้ แต่หลังจากสังเกตเฉียวเวยอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็จับเคล็ดได้ เขานิ่งไม่ขยับเฝ้ามองปลาตัวน้อยในน้ำ รอจนพวกมันว่ายเข้ามาค่อยยื่นมือลงไป!
ทั้งเร็ว ทั้งแรง ทั้งแม่น!
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ ไม่เสียทีเป็นลูกของนาง เรียนรู้อะไรก็รวดเร็วเช่นนี้!
แม่ลูกจับอยู่ต่อเนื่องหนึ่งชั่วยาม ข้องปลาทั้งสองใส่ปลาจนเต็มแล้วจึงเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน
เฉียวเวยหยิบผ้าฝ้ายที่เตรียมมาล่วงหน้าเช็ดขาของบุตรชาย จิ่งอวิ๋นสวมกางเกงกับรองเท้าเอง “ท่านแม่ ข้าอยากไปฉี่”
“ฉี่สิ” เฉียวเวยตอบตามสบาย
“ข้าจะไปฉี่ตรงโน้น” จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างเขินอาย เขาโตแล้ว จะให้มารดาเห็นจุ๊ดจู๋น้อยของตนเองอีกไม่ได้
เฉียวเวยเกือบจะหัวเราะออกมา เพิ่งจะอายุเท่าไรเองก็ไม่ให้นางเห็นเสียแล้ว นี่นางเป็นมารดาแท้ๆ นะ!
“ไปเถอะ เจ้าหนุ่มน้อย!” เฉียวเวยลูบศีรษะเขา แล้วอนุญาตในที่สุด
จิ่งอวิ๋นวิ่งเข้าไปในป่า
เฉียวเวยหาก้อนหินใหญ่เย็นสบายก้อนหนึ่งนั่งลง นางคิดจะดื่มด่ำกับสองเท้าเปลือยเปล่าอีกสักหน่อย ไม่อย่างนั้นรอกลับถึงหมู่บ้าน นางก็ต้อง ‘แต่งองค์ทรงเครื่องครบชุด’ ให้ตัวเองอีกแล้ว
แต่เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่า ขณะที่นางกำลังดื่มด่ำกับอิสระชั่วครู่นี้อย่างสบายอกสบายใจก็ถูกแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งรบกวน
“เปลือยกายฟ้าสว่างกลางวันแสกๆ มีอย่างที่ไหนกัน”
เสียงทรงอำนาจและเย็นยะเยือกของบุรุษดังขึ้น
เฉียวเวยลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน นางมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แล้วเอ่ยเสียดสีอย่างคาดไม่ถึง “ข้าก็คิดว่าผู้ใด ที่แท้ก็ยิ่นอ๋องผู้สูงส่งนี่เอง! ยิ่นอ๋องอารมณ์ดีจริงนะ อากาศร้อนๆ ยังไม่หลบร้อนอยู่บ้านตนเอง แต่วิ่งมาถึงป่าเขากันดารเช่นนี้ อะไร ยังดื่มน้ำบ่อที่บ้านข้าไม่พอ หรือท่านตีคนขายเกลือตายไปแล้วเล่า
ตีคนขายเกลือตายไปแล้ว?[1]
นี่กำลังด่าเขาว่า ‘ว่าง[2]’ มากจนไม่มีอะไรทำเช่นนั้นหรือ
สีหน้าของยิ่นอ๋องย่ำแย่ลงในพริบตา หากมิใช่ว่ามีคนตรวจสอบพบว่าป่าแห่งนี้อาจมีที่ซ่อนลับแห่งหนึ่งของจีหมิงซิวซ่อนอยู่ เขาก็คงคร้านจะขึ้นเขามาเอง!
แต่ตระเวนบนเขาเกือบทั้งวันแล้ว ก็หาสิ่งใดไม่พบทั้งสิ้น กลับกันดันมาเห็นสตรีไม่รู้จักอายคนหนึ่งที่ริมลำธาร!
เท้าของสตรีดั่งเรือนร่าง มิใช่สามีไม่อาจให้เห็น
สตรีนางนี้กลับเปลือยเท้าใต้ดวงตะวันอย่างอล่างฉ่างเช่นนี้ พอเห็นเขามาแล้วก็ยังไม่เขินอายแม้แต่น้อยอีกด้วย
“สวมรองเท้าเสีย!” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา
เฉียวเวยหัวเราะพรืด “ยิ่นอ๋อง ท่านช่างเหมือนทหารรักษาการณ์ยามสงบ ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียจริง! ข้าสวมรองเท้าหรือไม่เกี่ยวอันใดกับท่านด้วย”
“เจ้าทำเช่นนี้…ผิดธรรมเนียมประเพณี!”
เฉียวเวยแกว่งเท้าของตัวเอง แล้วหัวเราะอย่างเฉยชา “ของไม่สมควรมิต้องมอง ท่านไม่เข้าใจประโยคนี้หรือ ในเมื่อคิดว่ามันไม่ดี ท่านก็อย่ามองสิ ท่านมองก็มองไปแล้ว แล้วยังมาชี้นิ้วสั่งข้าตรงนี้อีก จะทำอะไร เป็น…แล้วยังอยากจะตั้งป้ายเกียรติยศหรือไร”
“เจ้า…” ยิ่นอ๋องไม่เคยเห็นสตรีไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่เพียงการกระทำไม่สำรวม วาจายังหยาบคาย ทำสตรีต้าเหลียงขายหน้าหมดสิ้นแล้วจริงๆ!
“ท่านยังจะดูอีกหรือ” เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา
ยิ่นอ๋องรั้งสายตาที่จับจ้องเท้าน้อยๆ ของนางกลับมา มิอาจปฏิเสธว่านางมีเท้าเรียวเล็กอันงดงามคู่หนึ่ง ขาวผ่องเป็นยองใย งามดั่งแกะสลัก
“หมดอารมณ์จริงๆ!” เฉียวเวยสวมรองเท้าอย่างไม่ใคร่จะยินดีนัก นางย่อมไม่กลัวเจ้าหมอนี่ขุ่นเคือง แต่เจ้าหมอนี่ปากด่าว่านางไร้ยางอาย แต่ดวงตาที่มองเท้าของนางกลับเป็นประกายวาววับ นางไม่คิดจะให้เจ้าคนน่ารังเกียจเช่นนี้มองหรอก!
เฉียวเวยสวมรองเท้าเสร็จก็หิ้วข้องปลาทั้งสองอันบนพื้น สาวเท้าเดินเข้าไปในป่า
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเรียกนาง “เจ้าเห็นข้าแล้วไม่รู้จักทำความเคารพหรือ ไม่กลัวข้าลงโทษเจ้าความผิดโทษฐานหลบหลู่เบื้องสูงหรือไร!”
เฉียวเวยหมุนตัวกลับมาคำนับอย่างขอไปที “เช่นนี้ได้แล้วกระมัง ยิ่นอ๋องผู้น่านับถือ ผู้น้อยฐานะต่ำต้อย มิเคยร่ำเรียนมารยาทอย่างชนชั้นสูงเหล่านั้น ทำได้ไม่ดี หวังว่าท่านจะไม่ดูหมิ่น”
ยิ่นอ๋องคิดไม่ถึงว่านางจะประนีประนอม แต่การประนีประนอมอย่างขอไปทีเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกเจ็บแสบยิ่งกว่าตบหน้าเขาเสียอีก “เจ้าอย่าคิดว่าข้าอภัยให้เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเจ้าจะทำตามอำเภอใจกับข้าได้จริงๆ”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “คำพูดเช่นนี้เหมือนท่านจะเคยกล่าวไปแล้วครั้งหนึ่ง ความจริงมิจำเป็นต้องฝืนกล่าวครั้งที่สอง ข้าน่ะนะ ไม่คิดจะทำตัวตามอำเภอใจกับท่านหรอก หากข้าทำจริง ถ้าเช่นนั้นตอนนี้…ไม่ท่านก็ข้าน่าจะตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว”
สตรีคนนี้ กำลังบอกเขาโต้งๆ ว่านางคิดจะเป็นศัตรูกับเขาหรือ
หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง เอ่ยวาจาวางโตเสียจริงนะ!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นศัตรูกับเชื้อพระวงศ์จะมีจุดจบเช่นไร”
“ก็น่าจะ…ไม่ต่างจากข้าประจบท่านสักเท่าใดกระมัง”
คนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ แม้ตนเองประจบเขา วันใดวันหนึ่งก็อาจถูกเขาขายโดยไม่รู้ตัว แล้วไยต้องเปลืองอารมณ์ไปชะเลียด้วยเล่า
เฉียวเวยยักไหล่ “บ้านผู้น้อยมีผู้เฒ่า แล้วยังมีลูกน้อยรอให้ผู้น้อยกลับไปทำอาหารอยู่ บุตรรักของสวรรค์เช่นองค์ชายคงไม่เข้าใจว่าชีวิตชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเราว่าลำบากลำบนเช่นไร หากยิ่นอ๋องไม่มีอันใดรับสั่งแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน”
ยิ่นอ๋องไม่เคยพบสตรีที่ไม่รับรู้เจตนาดีของผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน พบครั้งหนึ่งก็โมโหครั้งหนึ่งจริงๆ! คนมากมายเท่าไรปรี่มาประจบเขาแต่ประจบไม่ได้ แต่นางกลับตั้งตัวเป็นอริกับเขาเพียงเพราะความขัดแย้งเล็กๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องเหล่านั้นที่เขาทำยังไม่ทันทำสำเร็จ ต่อให้ทำสำเร็จจริง เหยียบเด็กน้อยคนหนึ่งตายจริง ทำให้ลูกของนางไร้วาสนากับการสอบเสินถงจริง นั่นก็ไม่มีอะไร เขาเป็นท่านอ๋อง ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของตระกูลหลี่ของพวกเขา ชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่กี่คนมีค่าอันใดมาอยู่ในสายตาของเขาเล่า
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าคว้าแขนของเฉียวเวยเอาไว้
เขาเพิ่งกำลังจะอ้าปากพูด ในป่าก็มีก้อนหินเร็วจี๋ก้อนหนึ่งพุ่งออกมาจะกระแทกหน้าผากของเขาอย่างตรงเผงไม่เอียงไม่เบี้ยว ความเร็วเรียกได้ว่าเร็วยิ่งนัก หากไม่ใช่ว่าเขาสายตาดีคงไม่มีทางสังเกตเห็นสักนิด เขาสะบัดแขนเสื้อปัดก้อนหินออก ในเวลาเดียวกันนี้ ก้อนที่สอง ก้อนที่สามไปจนถึงก้อนที่สี่ก็พุ่งเข้ามาหาเขาอีก!
เฉียวเวยคิดอะไรออก จึงเหวี่ยงข้องปลาที่มือซ้ายใส่เขาอย่างแรง!
เขายกมือขึ้นขวางข้องปลาไว้ได้ แต่ปลาเล็กปลาน้อยข้างในเทออกมาจนหมด ราดหัวรดหน้าจนเขาเปียกไปทั้งตัว!
กลิ่นคาวคละคลุ้งของปลาแผ่ไปทั่วร่างของเขา
เขาจำต้องปล่อยเฉียวเวยไปด้วยความรังเกียจ ดวงตาทอประกายกร้าว ชักกริชเล่มหนึ่งออกมาหมายจะขว้างใส่ ‘มือสังหาร’ ที่อยู่ในป่า เฉียวเวยกางสองแขน ขวางเขาไว้ไม่ขยับ สองตาลุกโชติช่วงดั่งคบเพลิง “กล้าแตะลูกชายข้า ข้าจะแลกชีวิตกับท่าน!”
ลูกชายหรือ
ยิ่นอ๋องมองนางอย่างประหลาดใจ นางเก็บสีหน้ายิ้มแย้มทะเล้นไปแล้ว ดวงตาเย็นยะเยือก ลึกลงไปในดวงตามีกระแสคลื่นดำมืดอันไร้จุดสิ้นสุดไหลเคลื่อนดั่งสายลมคลั่งที่โหมพัดตลอดเวลา เวลานี้ยิ่นอ๋องสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่ชวนให้คนตัวสั่นเทาจากร่างนาง
ยิ่นอ๋องคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงกัดตนไม่ปล่อย นางกล้าแลกชีวิตกับราชวงศ์คนหนึ่งเพื่อลูกชาย แล้วเหตุใดจึงจะยอมให้อภัยตนที่ทำให้ลูกชายนางอดเข้าสอบเสินถง
สุดท้ายยิ่นอ๋องก็ไม่ได้แตะต้องเฉียวเวย เขามองเฉียวเวยอย่างเย็นชา แล้วมองไปยังป่าที่อยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าในป่ามีกลิ่นอายที่เขารู้สึกคุ้ยเคยอยู่
หลังจากท่านอ๋องน่าชังจากไปแล้ว เฉียวเวยก็วิ่งเข้าไปในป่าอุ้มลูกชายที่ง้างหนังสติ๊กสุดความยาวอยู่ขึ้นมา “เขาไปแล้ว ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว ลูกไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า แล้วถามอย่างเป็นห่วง “ท่านแม่ไม่เป็นอะไรนะขอรับ”
เฉียวเวยยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นอะไร ต้องขอบใจจิ่งอวิ๋นที่ช่วยแม่จนหลุดมาได้”
“จิ่งอวิ๋นเคยบอกแล้วว่าโตขึ้นจะปกป้องท่านแม่ ไม่ให้ผู้ใดมารังแกท่านแม่อีก” จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างจริงจังยิ่งนัก
หัวใจเฉียวเวยเกือบจะละลาย ไฉนมีเด็กน้อยที่รู้ความเช่นนี้ได้ จะไม่ให้คนรักยากนัก
สองแม่ลูกเก็บปลาเล็กปลาน้อยที่หล่นออกมาใส่กลับไปในข้องปลา แม้ว่าจะมีปลาน้อยสองสามตัวกำลังมาก ครีบแข็งแรง ทั้งยังฉลาดเฉลียวดีดดิ้นกลับไปยังแม่น้ำได้สำเร็จ แต่แน่นอนว่าก็ยังถูกสองแม่ลูกผู้มีอาการย้ำคิดย้ำทำตามจับกลับมาอยู่ดี
สองแม่ลูกจูงมือกันกลับไปยังหมู่บ้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งอวิ๋นออกมา ‘ก่อเรื่อง’ กับมารดาตามลำพัง รู้สึกว่าได้อะไรกลับมามากมาย ช่างยอดเยี่ยมนัก!
หลังกลับถึงหมู่บ้าน สองแม่ลูกก็พร้อมใจกันไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องยิ่นอ๋อง (ท่านอาผู้ชั่วช้า)
หลัวหย่งจื้อเพิ่งกลับมาจากรับซื้อกุ้งข้างนอก กิจการขายกุ้งรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ราคาที่เถ้าแก่หรงรับซื้อสูงขึ้นมาหนึ่งอีแปะ หลัวหย่งจื้อได้กำไรเพิ่มขึ้นก็เบิกบานใจ สิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่าก็คือนอกจากหรงจี้แล้ว เหลาสุราอีกสองแห่งก็เชิญเขาให้หาสินค้าให้ด้วย หลังจากได้รับความเห็นชอบจากเฉียวเวย เขาก็ตกลงกับอีกฝ่าย ปริมาณที่เหลาสุราทั้งสองแห่งต้องการไม่มาก แต่ละวันเพิ่มขึ้นมาสองร้อยชั่งเท่านั้น เขาเดินทางไปหลายที่หน่อย ขยันอีกนิดก็หาได้พอ
ชุ่ยอวิ๋นสงสารเขานัก ตอนอยู่หน้าบ้านจึงกล่อมเขาว่า “อย่าทำงานหนักเกินไปเล่า พวกเราจะหาเงินมากมายขนาดนั้นไปทำอันใด พอใช้ก็พอแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ล้วนยังทำงานอยู่ พวกเราก็มีที่นา ท่านทำให้พอสมควรก็พอ ดูสิท่านวิ่งวุ่นเท้าไม่ติดพื้นทุกวัน คนตากแดดจนดำเป็นถ่านหมดแล้ว”
หลัวหย่งจื้อหัวเราะฮ่าๆ “รอข้าได้เงินแล้ว จะทำบ้านหลังใหญ่แบบน้องสาวเช่นนั้นบ้าง!”
สตรีล้วนชอบฟังเรื่องดีๆ เป็นที่สุด แล้วยิ่งหลัวหย่งจื้อไม่เคยคุยโม้โอ้อวด ในเมื่อเขากล้าพูดย่อมหมายความว่าในใจเขาวางแผนเช่นนี้ไว้แล้ว ชุ่ยอวิ่นรู้สึกละอายใจนัก บ้านนางยากจน หลังจากแต่งงานมาก็เอาเงินของสองสามีภรรยาไปจุนเจือบ้านมารดาอยู่ไม่น้อย หลัวหย่งจื้อปิดบังป้าหลัวมาตลอด แต่ไม่เคยว่ากล่าวนางสักคำ นางแต่งงานมาหลายปีปานนี้ยังไม่มีบุตรเสียที แต่เขากลับไม่ตบตีนาง ด่าทอนาง เหมือนบุรุษคนอื่น ดีกับนางยิ่งนักมาตลอด
ตอนเฉียวเวยกับจิ่งอวิ๋นก้าวข้ามธรณีประตูมา หลัวหย่งจื้อก็ขับรถลากไปส่งกุ้งในเมืองแล้ว ชุ่ยอวิ๋นสวมเสื้อผ้าครบถ้วนเดินออกมจากประตูห้อง แต่สภาพที่เพิ่งมีอะไรกับสามีมานั่น ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออก
“น้องสาวกลับมาแล้ว” ชุ่ยอวิ๋นยิ้มแย้มทักทาย แล้วลูบศีรษะน้อยของจิ่งอวิ๋น “จับปลาได้หรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าเหมือนตำกระเทียม “จับได้เยอะแยะเชียว!”
เฉียวเวยวางข้องปลาลง แล้วยกมือขึ้นกลัดกระดุมบนปกเสื้อของชุ่ยอวิ๋นให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด
ชุ่ยอวิ๋นหน้าแดง
เฉียวเวยกดมุมปากที่จะยกขึ้นเอาไว้ “ไม่ต้องขอบคุณ”
ที่บ้านมีคนโปรยอาหารหมาอยู่ทุกวัน นางใกล้จะถูกทับตายอยู่แล้วเนี่ย!
…
[1] ตีคนขายเกลือตายไปแล้ว เป็นสำนวนหมายถึงอาหารเค็มมาก
[2] เค็ม คำว่า “เค็ม” กับคำว่า “ว่าง” ในภาษาจีนออกเสียงว่า ‘เสียน’ เหมือนกัน