หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 96-1 ศึกชิงบุตร จิ่งอวิ๋นตัวร้าย
ภายในห้องนอนอันงดงามแปลกตา สวีซื่อสวมอาภรณ์สีขาวหลวมสบายเอนกายนอนอยู่บนตั่งหญิงงาม[1]
หลินมามายกยาสีดำปี๋ถ้วยหนึ่งเข้ามา “ฮูหยิน รีบดื่มเจ้าค่ะ ไม่ร้อนแล้ว”
สวีซื่อได้กลิ่นนั่นพลันรู้สึกสะอิดสะเอียน “เอาออกไปๆ ข้าไม่ดื่ม!”
หลินมามาพร่ำกล่อม “ไม่ดื่มได้อย่างไร ท่านอยู่ในคุกมาตั้งหนึ่งคืน ที่นั่นชื้นนัก เกรงว่าไอเย็นจะแทรกเข้าร่าง ดื่มยาถ้วยนี้แล้วจะได้ไม่ล้มป่วยเหมือนคุณหนูใหญ่”
เมื่อนึกถึงเหตุร้ายที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก สวีซื่อก็โมโหโทโส สาดน้ำชาใส่คนผู้หนึ่งดันไปสาดถูกจีหว่านเสียได้ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวโชคดีอะไรนักหนา เหตุไฉนจึงหนีพ้นได้อย่างสบายๆ ทุกครั้งทุกครา
“เจ้าว่า วิญญาณของเสิ่นซื่อบนสวรรค์คงไม่ได้…คุ้มครองนางอยู่จริงๆ กระมัง” สวีซื่อถามอย่างหวาดผวา ยามนี้นางอาศัยอยู่ในห้องของเสิ่นซื่อ ใช้เครื่องเรือนของเสิ่นซื่อ ใช้เงินของเสิ่นซื่อ หากเสิ่นซื่อกลายเป็นวิญญาณร้ายจริง ไยมิใช่ว่าทุกวันกำลังลอบสาปแช่งนางอยู่
หลินมามาเหลือบมองท่าทางตกใจกลัวของสวีซื่อแล้วโบกมือปลอบว่า “ฮูหยิน นักพรตมาทำพิธีไปแล้ว พวกเราก็จัดห้องใหม่ตามที่นักพรตกำชับแล้ว บานประตู ตู้ หัวเตียงก็แปะยันต์เอาไว้เรียบร้อย วิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสีตนไหนก็เข้ามาในเรือนของพวกเรามิได้ ท่านเลิกคิดมาก รีบดื่มยาเถิด จะได้นอนหลับสักตื่น”
ครอบครัวห้าชีวิต บุตรชายคนโตออกท่องเที่ยวหาความรู้ไม่ต้องเอ่ยถึง สี่คนที่เหลือ มีสามคนเข้าคุกไปแล้ว คนที่อยู่รอดปลอดภัยเพียงคนเดียวคือบุตรชายคนเล็กที่มีสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว นึกถึงเรื่องนี้ สวีซื่อก็มิอาจไม่กลัว “นักพรตมอบยันต์แคล้วคลาดให้ข้าแผ่นหนึ่งใช่หรือไม่ รีบหยิบมาให้ข้า ข้าจะพกไว้!”
หลินมามาสวมยันต์แคล้วคลาดที่สวีซื่อใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงซื้อมาลงบนลำคอของสวีซื่อ สวีซื่อกำยันต์แคล้วคลาดสีแดงสดเอาไว้ ชั่วพริบตาก็รู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาก หลินมามาส่งถ้วยยาให้อีกครั้ง นางบีบจมูกดื่มรวดเดียวจนหมด หลังจากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากแล้วถามว่า คุณหนูใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง“
หลินมามาตอบว่า “คุณหนูใหญ่ดื่มยา นอนหลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่หายดีเสียที น่ากลุ้มใจ” สวีซื่อถอนหายใจ
“ท่านวางใจเถิด คุณหนูใหญ่เป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง จะต้องหายดีแน่!”
สวีซื่อพยักหน้า “ยามนี้ก็ได้แต่คิดเช่นนี้ จริงสิ ฝั่งเจ้าสวี่…สวี่…สวี่เจี๋ยอะไรนั่นเป็นอย่างไร”
“สวี่ซื่อเจี๋ยเจ้าค่ะ” หลินมามาเอ่ยแก้
สวีซื่อเอ่ยตอบอย่างเฉยชา “อืม เขานั่นแหละ แน่ใจหรือว่าพึ่งได้ คงไม่ก่อเรื่องอะไรมาให้ข้าอีกกระมัง”
หลินมามายิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่มีทางเจ้าค่ะ เขาเป็นคนที่พวกเราเลือกแล้วเลือกอีก ชาติตระกูล ภูมิหลัง หน้าตาความสามารถล้วนไร้ที่ติ! ส่งเขาไปเป็นสามีกำมะลอของคุณหนูใหญ่เฉียว ยังจะกลัวคุณหนูใหญ่เฉียวไม่รับอีกหรือ”
วิธีการนี้สวีซื่อคิดออกมาได้ตอนนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องขังจวนเจ้าเมือง คุณหนูใหญ่เฉียวความจำเสื่อมมิใช่หรือ มิใช่ว่าอยากจับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหรือไร ถ้าเช่นนั้นนางก็จะจัดหาสามีสักคนให้คุณหนูใหญ่เฉียว นางไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากมีสามีแล้ว คุณหนูใหญ่เฉียวยังจะหน้าด้านมาล่อลวงบุรุษคนอื่น!
แน่นอนว่าเรื่องนี้ดูเหมือนง่าย แต่ลงมือทำยากอยู่บ้าง เพียงแค่เอกสารนานาชนิดก็แทบจะใช้เส้นสายทั้งหมดที่สวีซื่อมีแล้ว เงินยิ่งไหลออกดั่งสายน้ำ แต่เงินเหล่านี้เทียบกับสินเดิมของเสิ่นซื่อรวมถึงหอหลิงจือแล้วไม่นับเป็นอันใด ดังนั้นการลงทุนเท่านี้ สวีซื่อสละได้
ห้องโถงบ้านตระกูลหลัวที่ไม่นับว่ากว้างขวางนักถูกเบียดจนเต็มแน่น นอกจากสวี่ซื่อเจี๋ยที่เดินทางมาหาครอบครัว ยังมีคนแปลกหน้าร่างสูงใหญ่…เมื่อเทียบกับคนตระกูลหลัวมาเพิ่มอีกสองคน
เฉียวเวยย่อมรู้จักพวกเขาสองคนอยู่แล้ว บุรุษหนุ่มผู้มีเพียงเปลือกนอกดูดี แต่ในใจอัดแน่นด้วยความคิดชั่วร้าย นิสัยต่ำช้า ไอคิวต่ำเตี้ย อีคิวเรี่ยดิน แล้วยังพกความประสาทมาเป็นพักๆ ก็คือโอรสองค์หนึ่งของเจ้าแผ่นดินรัชสมัยนี้…ยิ่นอ๋อง
บุรุษตุ้งติ้งจีบไม้จีบมือข้างกายเขา…ก็น่าจะเป็นหัวหน้าขันทีสักคน
ชาติก่อนไม่เคยพบขันทีมาก่อน จิตวิญญาณนักวิจัยที่ได้มาจากการเป็นผู้ศึกษาวิชาแพทย์กระตุ้นให้สายตาของเฉียวเวยกวาดไปมองเป้ากางเกงของขันทีหลิว
ขันทีหลิวถูกสายตาอันแรงกล้ามองจนเป้าหนาววูบ รู้สึกราวกับว่าส่วนนั้นของเขาถูกลงมีดอีกหน เขาตกใจจนเกือบจะยกมือกุมเป้ากางเกงตรงนั้น!
ยิ่นอ๋องที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย เขาท่านอ๋องแห่งแคว้นแห่งหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้านาง แต่นางกลับไม่มองเขา กลับไปมอง…เป้ากางเกงขันทีของเขา
ไร้ยางอาย!
เมื่อเฉียวเวยรั้งสายตากลับมาก็บังเอิญสบสายตากับยิ่นอ๋อง เฉียวเวยเมินแววตาคุกคามในดวงตาของเขาอย่างสิ้นเชิง นางแค่นเสียงเหอะเบาๆ จากนั้นหันไปหยอกทารกน้อย
ยิ่นอ๋องผู้ถูกเมินอีกหน แทบจะอยากสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
“เอ่อ…” ป้าหลัวมองยิ่นอ๋องแล้วมองขันทีหลิว รู้สึกสองคนนี้บรรยากาศชวนกดดัน โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้นั้น ท่าทางสูงศักดิ์จนนางไม่กล้ามองตรงๆ นางสงบใจแล้วถามขึ้นว่า “ขอถามทั้งสองท่านคือ…”
ขันทีหลิวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านป้า นี่คือเจ้านายของข้า แซ่หลี่”
“อ้อ คุณชายหลี่” ป้าหลัวถามขันทีหลิว “พวกท่าน…มาที่บ้านข้าทำไมหรือ มาซื้อกุ้งหรือมาซื้อไข่เยี่ยวม้าเล่า”
ป้าหลัวไม่อาจโยงบุรุษตรงหน้ากับเรื่องบิดาของจิ่งอวิ๋นเข้าด้วยกันได้จริงๆ นางคิดว่าทั้งสองคนคงได้ยินคำเล่าลืออันใด ทราบว่าบ้านตระกูลหลัวมีของดีจึงมาเยือนเพื่อซื้อหา
คิ้วของยิ่นอ๋องขมวดมุ่น แววตาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้นมาแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เขาเป็นท่านอ๋องแห่งแว่นแคว้น จะต้องมาสถานที่ยากจนเช่นนี้เพื่อซื้อของหรือ
ขันทีหลิวเหลือบมองเจ้านายของตนอย่างไม่ทิ้งร่องรอย แล้วยิ้มอย่างเก้อกระดากเอ่ยว่า “ไม่ปิดบังความจริง นายท่านของข้ามาหาครอบครัว”
“ครอบครัวของผู้ใดหรือ” ป้าหลัวถามต่อ แล้วก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ ดวงตาเปล่งประกาย “พวกท่านเป็นครอบครัวของเสี่ยวเวย!”
ขันทีหลิวคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว! ท่านป้า ท่านเดาถูกแล้ว!”
ป้าหลัวจับมือของเฉียวเวยขึ้นมา “เสี่ยวเวย พี่ชายของเจ้า!”
ขันทีหลิวเกือบหน้าทิ่ม!
ท่านป้าหนอท่านป้า นายท่านของข้ามิได้มีรสนิยมผิดปกติเสียหน่อย!
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “แม่บุญธรรม ท่านเดาผิดแล้ว คุณชายผู้นี้ฐานะสูงส่ง ข้าไม่อาจเอื้อมเป็นครอบครัวของพวกเขาหรอก” คนผู้นี้เป็นองค์ชาย หากนางเป็นน้องสาวเขา ไยมิใช่องค์หญิงเล่า
“เจ้ารู้ก็ดี” ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็น
ขันทีหลิวรีบส่งสายตาให้นายท่านของตนเอง พวกเรามารับครอบครัว มิได้มาวิวาท ไม่เห็นหรือว่าที่นี่มีตัวปลอมนั่งอยู่แล้วคนหนึ่ง เห็นชัดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวเป็นที่แย่งชิงยิ่งนัก! ท่านอ๋องมีภาพความประทับใจในสายตาคุณหนูใหญ่เฉียวย่ำแย่เป็นที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้ หากท่านอ๋องยังจะหาเรื่องคุณหนูใหญ่เฉียวอีกก็เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองแล้ว
“ฮูหยิน” ขันทีหลิวคลี่ยิ้มประจบ “ท่านอย่าโกรธนายท่านอีกเลย วันนี้นายท่านตั้งใจมารับท่านกับคุณชายน้อย คุณหนูน้อยกลับจวน”
ทุกคนต่างตกตะลึง มีคนจะมารับเฉียวเวยกับลูกๆ กลับจวนอีกคนหนึ่งแล้ว นี่จะเล่นอะไรกันแน่
เฉียวเวยอยู่ในหมู่บ้านมาเกือบสามปีแล้ว นางโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง กินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น ยามนั้นไม่เห็นมีผู้ใดมาหารับเป็นครอบครัว ตอนนี้ซื้อที่ดินแล้ว สร้างบ้านแล้ว กิจการรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน เพียงพริบตาเดียวก็มีคนวิ่งมาจากที่ใดมิทราบสองคน นี่มันช่างชวนให้คนขบคิดเสียจริง
เฉียวเวยยิ้มละไมมองขันทีหลิว “วันนี้ลมอันใดพัดมา จึงหอบครอบครัวมาหาข้ามากมายเช่นนี้ คุณชายของเจ้าเป็นอะไรกับข้า เอาฐานะอะไรมารับข้ากลับจวน”
ขันทีหลิวยิ้มกว้างตอบ “ดูท่านพูดเข้าสิ คุณชายเป็นอันใดกับท่าน ท่านยังมิทราบกระจ่างอีกหรือ” พูดพลาง ปลายหางตาก็เหล่มองสวี่ซื่อเจี๋ยแล้วแค่นเสียงเหยียดหยัน
เฉียวเวยลูบคางอันเกลี้ยงเกลา ทันใดนั้นก็เลิกคิ้วเหมือนเพิ่งเข้าใจ “มาหาภรรยากับลูกสินะ บังเอิญนักเชียว คุณชายสวี่ก็เหมือนกัน ข้าสมควรเชื่อผู้ใดกันเล่า”
ขันทีหลิวกับยิ่นอ๋องมิทราบเรื่องที่นาง ‘ความจำเสื่อม’ คิดว่านางตั้งใจกลั่นแกล้งพวกเขา ยิ่นอ๋องหน้าทะมึนเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ถือโอกาสอวดฉลาด องค์…คุณชายเช่นข้ามารับเจ้าถึงบ้านด้วยตนเองก็ไว้หน้าเจ้ามากพอแล้ว”
เขาเห็นแก่จิ่งอวิ๋น มิเช่นนั้นต่อให้นางแบกลูกที่เกิดกับเขาอยู่บนหลัง เขาก็สังหารนางได้!
“โอ๊ะโย๋ บิดารับสมอ้างคนนี้เย่อหยิ่งนักเชียว! ข้าดูแล้วท่านคงมิได้มารับครอบครัว แต่มาหาเรื่องเสียมากกว่ากระมัง คุณชายสวี่ ท่านว่าใช่หรือไม่” เฉียวเวยยิ้มหวานมองไปทางคุณชายสวี่
ก่อนเดินทางมาคุณชายสวี่ได้รับคำสั่งมาจากหลินมามาว่าจะเสียเท่าใดก็ไม่เสียดายแต่ต้องประจบคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวให้ได้ ยิ่งคุณหนูใหญ่เฉียวหน้าตางดงามปานนี้ยิ่งไม่ต้องพูด จะหมื่นหนเขาก็ยินดีคล้อยตามนาง “ฮูหยินกล่าวไม่ผิด พวกเขามาอย่างไม่เป็นมิตรจริงแท้”
ยิ่นอ๋องส่งสายตาเย็นเฉียบมา คุณชายสวี่ตกใจจนตัวสั่นเทาเกือบร่วงตกจากเก้าอี้ โชคยังดีที่เขาปฏิกิริยาว่องไวจึงตั้งสติเอาไว้ได้
เขากระแอมให้คอโล่ง แล้วเอ่ยกับนายบ่าวทั้งสองคน “พวกท่านเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงมาแอบอ้างตัวเป็นข้า”
“แอบอ้างเป็นเจ้าหรือ” ยิ่นอ๋องฟาดฝ่ามือดัง ฟึบ! เฉียวเวยยกม้านั่งกันเอาไว้ได้ ม้านั่งถูกเขาตบจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แขนของเฉียวเวยชาไปครู่หนึ่ง
หลัวหย่งจื้อกางแขน ปกป้องมารดาชรากับภรรยาไว้ด้านหลัง
คุณชายสวี่เพียรพยายามรักษาสีหน้าสุขุมไว้ แต่ภายใต้อาภรณ์เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“ทำลายม้านั่งบ้านข้า ต้องจ่ายเงินชดใช้” เฉียวเวยยื่นมือออกมา “สิบตำลึงเงิน”
“ม้านั่งเก่าๆ ตัวหนึ่งก็จะเอาสิบตำลึงเชียวหรือ” เสียงแหลมของขันทีหลิวโพล่งออกมา หลุดปากตะโกนจบจึงเพิ่งสำนึกได้ว่าอีกฝ่ายมิใช่แม่ม่ายสาวที่จะรังแกได้ตามชอบใจ นางเป็นมารดาของคุณชายจิ่งอวิ๋น นายท่านหวังจะใช้คุณชายจิ่งอวิ๋นเรียกความโปรดปรานจากฮ่องเต้ มารดาสูงศักดิ์เพราะบุตร ดังนั้นตอนนี้นางย่อมเป็นบรรพบุรุษของเขา!
ขันทีหลิวควักสิบตำลึงออกมาทันที แล้วยิ้มตาหยีวางลงบนโต๊ะ “ฮูหยิน ให้ท่าน”
คนบ้านหลัวตาโตอ้าปากค้างมองเฉียวเวยรีดไถเงินของผู้อื่น รีดไถได้อย่างที่เรียกว่าเต็มปากเต็มคำนัก
เฉียวเวยกำลังขาดแคลนเงิน ผู้อื่นยื่นให้อย่าได้ปฏิเสธไม่รับ
เฉียวเวยเก็บเงินเรียบร้อย ยิ่นอ๋องก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ไปกับข้าได้แล้วหรือยัง”
“ผู้ใดบอกว่าข้าจะไปกับท่าน” เฉียวเวยตอบ “พวกท่านต่างพูดกันคนละอย่าง ฝั่งหนึ่งกล่าวว่ามีเหตุผล อีกฝั่งก็กล่าวว่ามีเหตุผล ข้าไม่ทราบว่าสมควรเชื่อผู้ใดจริงๆ”
สวี่ซื่อเจี๋ยลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยอย่างจริงใจ “เชื่อข้า ฮูหยิน! ข้าคือสามีของเจ้าซื่อเจี๋ยอย่างไรเล่า!”
ขันทีหลิวเบียดเขาออกไปด้านข้าง “ฮูหยิน ท่านอย่าไปฟังเขา! ไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใดมาแอบอ้างเป็นคุณชายของข้า ท่านดูเขาหน้าตาเหมือนคุณชายน้อยที่ตรงไหน แล้วท่านดูนายท่านของข้า ไม่รู้สึกว่านายท่านกับจิ่งอวิ๋นเหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันหรือไร”
พอเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนจึงฝืนทนรัศมีอันรุนแรงบนร่างยิ่นอ๋องแล้วมองไปที่ใบหน้าของเขา เมื่อมองครานี้ กลับทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ
แม้แต่ตัวเฉียวเวยเองก็ยังมีชั่วพริบตาหนึ่งที่คิดว่าบิดาแท้ๆ ของลูกมาหาถึงบ้านแล้วเหมือนกัน
ไม่แปลกที่ยามแรกพบเขา นางจะมีความรู้สึกเหมือนเคยพบหน้ามาก่อน ยามนั้นนางยังถามเขาอยู่ว่าเคยพบเขามาก่อนหรือไม่ เขาไม่ได้ตอบชัดเจน แต่จากปฏิกิริยานั่นบ่งชัดว่าพวกเขาไม่เคยพบกันมาก่อน นางจึงไม่ได้ขบคิดต่ออีก
หลังจากนั้น แม้ว่าพบหน้ากันอีกหลายครั้ง แต่นางก็ไม่ได้มองใบหน้าของเขา
จนวันนี้เมื่อได้พินิจดู คิ้วตานี่ จมูกนี่ เหมือนบุตรชายของนางทุกประการ!
แต่หากว่าเขาเป็นบิดาของเจ้าซาลาเปาน้อย เหตุใดจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักนางมาตลอดเล่า
‘อย่าคิดว่าเสแสร้งทำท่าไม่ใส่ใจแล้วข้าจะไม่รู้ความคิดสกปรกเหล่านั้นของเจ้า เล่ห์เพทุบายของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า! ข้าจะบอกเจ้าให้กระจ่างแจ้ง ไม่ว่าเจ้าจะใช้เล่ห์กลมากเท่าใด ถึงจะให้กำเนิดเลือดเนื้อของข้าออกมา ข้าก็ไม่ชายตาแลเจ้าเป็นอันขาด!’
นี่เป็นคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาเองกับปากเมื่อวาน
เวลานั้นนางยังคิดว่าเขากำลังสมมุติว่านางจะให้กำเนิดลูกของเขา คิดไม่ถึงเขาจะหมายความว่านางให้กำเนิดลูกของเขามาแล้ว
เป็น…เป็นลูกของเขาจริงหรือ
แต่อาศัยเพียงใบหน้า นางไม่ยอมรับหรอก
อย่างบนอินเตอร์เน็ตเจ้าหนูฟั่นเสี่ยวฉินก็ได้ฉายาว่าหม่าอวิ๋นน้อย เพราะหน้าตาเหมือนหม่าอวิ๋น[2] ชนิดที่ตัวหม่าอวิ๋นเองยังพูดว่า “แวบแรกที่เห็นเจ้าหนูคนนี้ยังคิดว่าคนที่บ้านเอารูปสมัยเด็กของผมมาเผยแพร่ หน้าตาองอาจแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังส่องกระจกอยู่จริงๆ…”
แต่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับหม่าอวิ๋นสักกระผีกเดียว
ยิ่นอ๋องกับบุตรชายของนาง ไม่แน่ว่าอาจะเป็นอย่างหม่าอวิ๋นกับฟั่นเสี่ยวฉินก็ได้
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ใต้หล้ามีคนหน้าเหมือนกันมากไป อาศัยเพียงเท่านี้ท่านก็แน่ใจว่าตนเป็นบิดาของพวกเขา ออกจะรีบร้อนเกินไปหน่อย นอกเสียจากว่าท่านมีหลักฐานอย่างอื่น”
แววตาของยิ่นอ๋องชะงักไปวูบหนึ่งแล้วโพล่งขึ้นว่า “ตรงหน้าอกของเจ้ามีรอยแผลเป็นอยู่แผลหนึ่ง เป็นรอยแผลถูกกระบี่แทง”
เฉียวเวยยกมือกุมตรงแผลเป็น
ยิ่นอ๋องก้มลงมองนาง “ข้าพูดถูกใช่หรือไม่เล่า”
เขาจะไม่บอกเฉียวเวยหรอกว่าแผลเป็นนั้นเขาเป็นคนแทงเอง
“แค่เท่านี้หรือ” เฉียวเวยกะพริบตาถาม
“เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ” ยิ่นอ๋องถามกลับ “ข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่นกันเพียงไหนจึงเห็นตรงนั้นของเจ้าได้เล่า”
แม้สวี่ซื่อเจี๋ยไม่เข้าใจนักว่าสถานการณ์เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แต่บุรุษผู้นี้เหมือนจะคุ้นเคยกับเฉียวเวยอย่างยิ่ง ทว่าคุ้นเคยอีกเท่าใดจะคุ้นเคยกว่าเขาได้หรือ เขาทำการบ้านมาเต็มที่เชียวนะ!
“ยามนั้นฮูหยินของข้าเคยถูกลอบสังหารที่เมืองหลวง มีคนเห็นอยู่ไม่น้อย บางทีท่านอาจเป็นคนหนึ่งในนั้นก็ได้ จะรู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก!” สวี่ซื่อเจี๋ยมองเฉียวเวย “ฮูหยิน ข้าไม่เพียงทราบว่าหน้าอกของเจ้ามีรอยแผลถูกกระบี่แทง ข้ายังทราบอีกว่าบนแผ่นหลังของเจ้ามีรอยปานรูปจันทร์เสี้ยวอันเล็กๆ อยู่รอยหนึ่ง”
“บนหลังข้ามีปานด้วยหรือ” นางไม่มีนิสัยเปลือยร่างส่องกระจก เรื่องนี้จึงไม่ทราบ
ป้าหลัวอ้อมไปด้านหลังนาง แล้วเลิกชายเสื้อนางขึ้นเล็กน้อย “มีจริงๆ!”
สวี่ซื่อเจี๋ยเผยรอยยิ้มลำพอง
เฉียวเวยมองไปทางยิ่นอ๋องผู้โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง “ท่าน…ไม่รู้เรื่องนี้หรือ”
ยิ่นอ๋องสะอึก
เฉียวเวยเชิดคางขึ้น สองมือยกขึ้นกอดอก “ท่านบอกว่าท่านเป็นพ่อของลูก แต่แม้กระทั่งบนร่างข้ามีรอยปานก็ไม่รู้ น่าสงสัยนะ คุณชายหลี่”
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น ดับโคมมืดสลัว ผู้ใดจะมองเห็นว่าบนหลังเจ้ามีอะไร
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ยิ่นอ๋องคว้าคอเสื้อของสวี่ซื่อเจี๋ย
สวี่ซื่อเจี๋ยกลั้นความหวาดกลัวในใจ แล้วเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “นางเป็นภรรยาของข้า ข้าย่อมรู้!”
ยิ่นอ๋องไม่เชื่อ ห้าปีก่อนเขาเป็นเพียงองค์ชายแห่ง ‘ตำหนักเย็น’ ผู้ไม่มีดีสักอย่าง คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกลับยินดีทรยศสัญญาหมั้นหมายกับจวนอัครมหาเสนาบดีเพื่อเขา นางยึดติดเช่นนี้ จะไปหาอ้อมกอดของชายอื่นได้เช่นไร
คนหนึ่งหน้าเหมือนจิ่งอวิ๋น คนหนึ่งรู้เรื่องส่วนตัวของเฉียวเวย ที่แท้คนไหนเป็นพ่อของลูกกันแน่
“พวกท่านต่างบอกว่าเป็นบิดาของลูก ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามพวกท่าน ข้าแซ่อะไร ชื่ออันใด อาศัยอยู่ที่ไหน ในครอบครัวมีผู้ใดบ้าง ข้ากับพวกท่านรู้จักกันได้อย่างไร! แล้วพลัดพรากจากกันได้อย่างไร!”
“ข้าพูดก่อนๆ!” สวี่ซื่อเจี๋ยยกมือ “พวกเราพลัดจากกันเมื่อห้าปีก่อน ยามนั้นเจ้าเพิ่งตั้งครรภ์ หมอบอกว่าเป็นครรภ์แฝด ข้าดีใจยิ่งนักจึงไปวัดด้วยกันกับเจ้าเพื่อขอพรให้ลูก ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางกลับพบโจรดักปล้น ลักตัวเจ้าจากไป แล้วก็ภรรยา เจ้ามีนามว่าเฉียวเวย บรรพบุรุษอยู่เตียนตู เป็นญาติห่างๆ กับข้า ครอบครัวหมั้นหมายพวกเราไว้นานแล้ว บังเอิญว่าปีที่สองหลังจากพวกเราแต่งงาน พ่อตากับแม่ยายต่างจากโลกไปทั้งคู่ ครอบครัวฝั่งแม่ของเจ้า…จึงเหลือเพียงน้องสาวของตาที่อายุเจ็ดสิบปีเพียงคนเดียว”
เสิ่นซื่อเป็นคนเตียนตู สวีซื่อชั่วขณะนึกถึงสถานที่อื่นไม่ออกจึงเอามันมาแต่งเรื่องสร้างตัวตนให้เฉียวเวย
ด้วยเกรงว่าเฉียวเวยจะไม่เชื่อ สวี่ซื่อเจี๋ยจึงหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา “ภรรยา เจ้าดู นี่คือบันทึกชื่อผู้อยู่อาศัยกับหนังสือผ่านทางของเจ้า ส่วนนี่คือหนังสือหมั้นของพวกเรา เสี่ยวเวย เจ้าคือภรรยาของข้าจริงๆ!”
คอรบครัวบ้านหลัวเริ่มสับสน
ยามยิ่นอ๋องเห็นเอกสารที่มีตราทางการประทับนั่นก็ทราบแล้วว่าตนเองพูดต่อไปก็ไร้แรงโน้มน้าว ตนเองมองปัญหาง่ายเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเตรียมตัวมา
น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!
ป้าหลัวลากเฉียวเวยเข้ามาในห้อง “เสี่ยวเฉียว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกข้าว่าบิดาของเด็กๆ ตายแล้ว แล้วไฉนจู่ๆ โผล่มาตั้งสองคนเล่า เขาสองคนคนไหนเป็นตัวจริงกันแน่”
เฉียวเวยยิ้มแหย “พูดตามตรง ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“หมายความเช่นไร เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า” ป้าหลัวถาม
เฉียวเวยลูบหลังศีรษะ “ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่ได้บอกท่านมาตลอด ฤดูหนาวปีกลายตอนข้าป่วยหนักครั้งนั้น หลังจากตื่นมาก็จำเรื่องราวก่อนหน้าไม่ได้”
“ข้าก็ว่าจู่ๆ ทำไมเจ้าแปลกไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ เจ้าปิดบังข้าทำอันใด เอาเถิด ข้าเข้าใจแล้ว ไปบอกพวกเขาเสีย” ป้าหลัวเดินไปยังห้องโถงแล้วบอกกับทั้งสองคนว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานเสี่ยวเวยล้มป่วย จดจำเรื่องราวก่อนหน้าไม่ได้แล้ว พวกท่านกลับไปกันก่อน ให้เสี่ยวเวยสงบใจ รอนางนึกออกแล้วว่าผู้ใดเป็นบิดาของเด็กๆ ก็ให้ไปกับผู้นั้น”
…
[1] ตั่งหญิงงาม ตั่งประเภทหนึ่ง ทำหัวฝั่งหนึ่งให้มีพนักพิงสูงให้เอนตัวพิงได้
[2] หม่าอวิ๋น ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของกลุ่มบริษัทอาลีบาบา หรือชื่อภาษาอังกฤษคือแจ็ค หม่า