หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 99-1 อยู่หนใด เข้าวัง
จากบทเรียนคราวนายท่านหก เถ้าแก่หรงจึงไม่กล้าเรียกเฉียวเวยออกมา แต่ให้พ่อครัวเหอมาแทน หากผู้อื่นจะมอบรางวัล เขาจะแบ่งกับพ่อครัวเหอและเฉียวเวยเท่าๆ กัน (อยู่กับน้องเฉียวมานาน จึงเรียนรู้นิสัยแย่ๆ มาแน่) หากผู้อื่นคิดปล้นสวาท เชื่อว่าพ่อครัวเหอจะต้องดับไฟราคะของอีกฝ่ายได้อย่างดีแน่นอน
พ่อครัวเหอ ‘ข้าเพียงตาเหล่สองข้างเท่านั้นเอง’
เถ้าแก่หรงนัดแนะคำสารภาพกับพ่อครัวเหอจนเรียบร้อยก็พาพ่อครัวเหอเข้ามาในหอชิงอวี้
ผู้ใดจะคาดคิดว่าบุรุษวัยกลางคนมองพ่อครัวเหอปราดเดียวก็ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ๆ…”
เถ้าแก่หรงกับพ่อครัวเหอส่งสายตาหากัน พ่อครัวเหอผายมือ เถ้าแก่หรงทำสีหน้าเป็นปกติ “ตรงไหนไม่ถูกหรือขอรับ อาหารของพวกเรา พ่อครัวเหอเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง พ่อครัวเหอท่านบอกสิว่าใช่หรือไม่“
“อ่า…ใช่แล้ว!” พ่อครัวเหอยืดอก ระยะนี้ถือกระบวยทำอาหารต่อหน้าธารกำนัลมากมาย หนังหน้ากับความกล้าจึงเพิ่มพูน เผชิญหน้ากับแขกสูงศักดิ์ไม่ขลาดกลัวแม้แต่น้อยแล้ว
บุรุษวัยกลางคนพึมพำกับตนเอง “น่าจะเป็นสตรีสิ”
เถ้าแก่หรงตาโตลิ้นจุกปาก เรื่องนี้ก็รู้หรือ
ตอนที่เถ้าแก่หรงคิดว่าบุรุษวัยกลางคนจะจี้ถามอีกนั่นเอง บุรุษวัยกลางคนก็ทิ้งทองก้อนนั้นเอาไว้แล้วจากไป
คนในห้องสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าบุรุษวัยกลางคนเหตุใดจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ว่าเขาช่างร่ำรวยเสียจริง ล้วงออกมาตามสบายก็เป็นทองคำก้อนหนึ่ง นี่เป็นแขกผู้ใจกว้างที่สุดนับตั้งแต่หรงจี้เปิดกิจการมาเลยกระมัง
เถ้าแก่หรงเก็บทองก้อนนั้นไปเงียบๆ คิดว่าจะอมไว้คนเดียว ไม่ให้เสี่ยวเฉียวรู้
พ่อครัวเหอ ‘เฮ้ย คิดว่าข้าตาบอดหรือ’
ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วก็รีบร้อนพรวดพราดเข้ามา หายใจหอบเหนื่อยเอ่ยว่า “เถ้าแก่หรง คนผู้นั้นไปหา…ไปหา…ไปหาพี่เฉียวแล้ว”
“เขารู้หรือว่าเป็นเสี่ยวเฉียว” มือที่ซ่อนก้อนทองของเถ้าแก่หรงสั่นเทา สั่นจนตั๋วเงินใบหนึ่งร่วงออกมา พ่อครัวเหอใช้เท้าเหยียบไว้อย่างเงียบเชียบ
เสี่ยวลิ่วส่ายหน้า “ไม่ใช่คนเมื่อครู่ แต่เป็นอีกคนหนึ่ง ท่านรีบไปดูเถิด!”
เถ้าแก่หรงขมวดคิ้วเดินออกไป เสี่ยวลิ่วตามไปติดๆ แต่พอร่างใกล้จะหายลับตา ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วก็หันกลับมา ขยับปากพูดกับพ่อครัวอย่างไร้เสียง “แบ่งคนเห็นด้วย”
พ่อครัวเหอโกรธจนหายใจไม่ออก เจ้าเด็กเวร!
ผู้ที่มาครั้งนี้ก็ยังเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่บรรยากาศอ่อนโยนกว่าเล็กน้อย พูดจามีรอยยิ้ม ทว่ามีความหยิ่งยโสแฝงอยู่ “ข้ามาครานี้…”
ได้ยินคำสรรพนามที่เขาใช้แทนตัว เถ้าแก่หรงก็ทราบทันใดว่ามาจากในวัง
เถ้าแก่หรงรีบยกชาหมอกเมฆาชั้นเลิศออกมา หัวหน้าขันทีชุยปรายตามองแต่ไม่ดื่ม เอ่ยปากเข้าประเด็นทันที “บุญวาสนาของพวกเจ้ามาถึงแล้ว ปรุงอาหารอร่อยนักจนชื่อเสียงเลื่องลือเข้าไปถึงในวัง ท่านผู้สูงศักดิ์อยากรับประทานอาหารที่พวกเจ้าทำ จงเตรียมตัวเสีย สามวันหลังจากนี้จงตามข้าเข้าวัง”
เถ้าแก่หรงมิกล้าปฏิเสธงานในวังจึงกำลังจะตอบรับทันที แต่เฉียวเวยเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน “ช้าก่อน ท่านบอกให้เข้าวังก็ต้องเข้าวังหรือ ท่านเห็นหรงจี้ของพวกข้าเป็นอันใด”
หัวหน้าชุยหันมามองเฉียวเวย เฉียวเวยสวมกระโปรงคาดเอวสีม่วงอ่อน เอวบางร่างน้อย โค้งเว้างดงาม เพื่อให้สะดวกทำงาน นางจึงดัดแปลงแขนเสื้อกว้างให้แคบลง จนแลเห็นท่อนแขนเรียวงดงามดั่งหยกทั้งสองข้าง เส้นผมของนางดำขลับดุจผืนผ้าไหม บนศีรษะเกล้ามวยแนวทแยงยึดไว้ด้วยปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งเล่มหนึ่ง ปอยผมสีดำปอยหนึ่งร่วงลงมาคลอเคลียพวงแก้ม ประดับดวงหน้าน้อยเท่าฝ่ามือของนางให้งามพิลาศดุจหยก
แม้หัวหน้าชุยจะเห็นหญิงงามในวังจนชาชินแล้ว แต่เวลานี้ก็ยังรู้สึกประหนึ่งว่าเบื้องหน้ามีแสงสว่างไสวผุดออกมา
สตรีนางนี้มิได้บอบบางดั่งดอกฝอยไหมเหล่านั้น บนร่างนางมีความน่าเกรงขามอันหาได้ยาก
“เจ้าคือ…” หัวหน้าชุยเอ่ยปาก
เฉียวเวยดึงเก้าอี้ออกมา แล้วนั่งลงตรงข้ามกับหัวหน้าชุย
เถ้าแก่หรงคลี่ยิ้มพลางเอ่ยแนะนำ “ท่านนี้คือเถ้าแก่รองของหรงจี้ของพวกเรา เสี่ยวเฉียว เฉียว…ฮูหยิน”
ตอนแรกเรียกเฉียวเวยว่าแม่นางเฉียวเพราะไม่รู้ว่านางมีลูกแล้ว ต่อมาได้พบจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เขาก็ยังรู้สึกว่าเรียกแม่นางเฉียวดูคล่องปากกว่า
สตรีออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพข้างนอก กล่าวตามจริงแล้วไม่ค่อยมีผู้ใดมองดีนัก หัวหน้าชุยเห็นเฉียวเวยเป็นสตรีก็ดูแคลนเล็กน้อยอย่างมิอาจห้าม “เฉียวฮูหยินมีธุระประการใดหรือ”
เฉียวเวยเดิมทีคิดจะฟันเงินสักเล็กน้อยเท่านั้น แต่เห็นเขายโสเช่นนี้ นางก็อยากจะฟันให้หนักๆ สักหน่อย “ท่านมิได้กล่าวว่าจะเชิญพวกเราเข้าวังหรือ ค่าจ้างยังไม่กำหนดเลย จะรีบร้อนอันใดเล่า”
หัวหน้าชุยประสานมือไปทางท้องฟ้า แล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “เข้าวังทำอาหารให้นายท่านทั้งหลายในราชวงศ์เป็นเรื่องที่ผู้คนมากเท่าไรเฝ้าฝันปรารถนา เจ้าสมควรคุกเข่าคารวะขอบพระทัยฝ่าบาทเสียด้วยซ้ำ แต่กลับกล้ามาเรียกร้องเอาค่าจ้างหรือ”
เฉียวเวยตวัดขานั่งไขว่ห้าง แล้วหยิบเมล็ดแตงขึ้นมากำหนึ่ง “ฮ่องเต้คิดจะกินแล้วไม่จ่ายหรือ ทำเช่นนี้มิได้สิ ข้าเปิดร้านค้าขาย ไม่ได้เปิดร้านทำทาน อยากกินอาหารแต่ไม่อยากจ่ายเงินก็ไปที่อื่น อย่าคิดว่าข้าจะโปรยทานให้!”
หัวหน้าชุยสูดลมหายใจดังเฮือก “เจ้า…เจ้าพูดจาอย่างไรกัน ทำอาหารให้เชื้อพระวงศ์กลับบอกว่าเป็นการโปรยทาน เจ้าไม่เคารพเบื้องสูงมีโทษตาย! ข้าขอบอกเจ้า ถูกตัดหัวได้เชียวนะ!”
เฉียวเวยถ่มเปลือกเมล็ดแตงออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “ท่านรับบัญชาออกจากวังมาทำงาน ผลปรากฏว่าแม้แต่งานเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังทำให้ดีไม่ได้ พวกเราสองคนผู้ใดจะถูกตัดศีรษะก่อนกันแน่”
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องเล็ก แต่หากเรื่องเล็กเท่านี้ตนยังจัดการให้ดีไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมไร้ความสามารถเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องบนสั่งมาว่าให้เชิญคนเข้าวัง ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้เงิน เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเวลาเรียกให้คนทำงานเช่นนี้ ผู้อื่นล้วนไม่เก็บเงิน ไม่เพียงไม่เก็บ ยังควักเงินออกมาขอบคุณเขาอีก นี่แทบจะกลายเป็นกฎที่ยอมรับกันอย่างเงียบๆ ในวงการนี้แล้ว คนที่ใจกล้าเรียกหาเงินจากเขา เพิ่งเคยพบเคยเจอเป็นหนแรก
เฉียวเวยขบเมล็ดแตงอีกเมล็ดหนึ่ง “เป็นอะไร คิดเสร็จแล้วหรือไม่ จะจ่ายหรือไม่จ่ายเงิน”
“…เจ้าต้องการเท่าไร” หัวหน้าชุยก้าวออกมาประนีประนอมก่อน ไม่ใช่เขากลัวสาวน้อยผู้นี้ แต่เรื่องที่ต้องการเชิญคนครั้งนี้ ฮ่องเต้เป็นผู้ตรัสเองกับพระโอษฐ์ แม้ฮ่องเต้เพียงตรัสขึ้นมาลอยๆ แต่พวกเขาในฐานะบ่าวรับใช้ย่อมมิกล้าเมินเฉยแม้แต่น้อย
เฉียวเวยทำมือท่าหนึ่ง
หัวหน้าชุยเอ่ยขึ้นว่า “ห้าร้อยตำลึง ทำอาหารไม่กี่อย่างก็จะเอาเงินมากมายเช่นนี้ จะหลอกฟันราคากันเกินไปหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มขัดเขินตอบว่า “หัวหน้าชุย ข้าอยากถามท่านสักหน่อย เหตุใดพวกท่านจึงอยากมาเชิญพ่อครัวที่หรงจี้”
หัวหน้าชุยขมวดคิ้ว “มีคนสั่งมา”
“คนในวังหรือ” เฉียวเวยเลิกคิ้ว
หัวหน้าชุยรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี แต่ก็ยังพยักหน้า
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ชื่อเสียงของพวกข้าเล่าลือไปถึงในวัง หัวหน้าชุยก็คงมิได้เดาไม่ออกว่ากิจการของพวกข้าแต่ละวันขายดีเพียงใดกระมัง เข้าวังทำอาหาร พ่อครัวทั้งหลายล้วนต้องไปด้วย ข้าหยุดกิจการหนึ่งวันเสียรายได้ไปเท่าไร ท่านสมควรชดเชยให้สิ! พ่อครัวหนึ่งคนห้าร้อยตำลึง ราคาต่ำสุดแล้ว”
พ่อครัวหนึ่งคนห้าร้อยตำลึง หากพ่อครัวไปกันสามคนไยมิใช่ต้องจ่ายหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง สตรีน้อยคนนี้ช่างกล้าเอ่ยออกมาได้!
“แปดร้อยตำลึง ทั้งหมด!”
“หนึ่งพันห้าร้อย” เฉียวเวยเอ่ยตอบ
“หนึ่งพันสองร้อย!”
“หนึ่งพันห้าร้อย” เฉียวเวยไม่เปลี่ยนวาจา
“หนึ่งพันสองร้อย”
“หนึ่งพันห้าร้อย” เฉียวเวยขบแมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งอย่างสบายใจ
หัวหน้าชุยหมดเรี่ยวแรงแล้ว นับตั้งแต่เขาครองตำแหน่งสำคัญก็ไม่ได้ออกโรงต่อราคาเองมานานหลายปีแล้ว ดันมาพบก้อนหินแข็งเช่นนี้ก้อนหนึ่ง วรยุทธ์สารพัดของเขาล้วนมิมีช่องให้ใช้ “หนึ่งพันห้าร้อยก็หนึ่งพันห้าร้อย แต่เจ้าจงจำไว้ ทำให้ดี อย่าได้ทำอันใดผิดพลาด”
เฉียวเวยส่งสายตาให้เสี่ยวลิ่ว เสี่ยวลิ่วยิ้มแย้มส่งหัวหน้าชุยออกจากประตู เขาหัวไวแล้วยังหลอกถามเก่ง เมื่อกลับมาจึงถามความเป็นมาเป็นไปของเรื่องมาจนกระจ่าง ที่แท้ดนื่องในวันเกิดขององค์รัชทายาท ฮ่องเต้คิดจะจัดงานฉลองในครอบครัวให้เขา เมื่อฮ่องเต้ได้ยินองค์ชายเก้าตรัสว่าเมืองซีหนิวมีถนนกุ้งอยู่สายหนึ่ง กุ้งที่ปรุงอร่อยยิ่งนัก จึงหลุดโอษฐ์ออกมาว่า ‘พูดปากเปล่าไร้หลักฐาน’ แล้วประโยคต่อไปจะเป็นอันใดได้เล่า มิใช่ ‘ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา’ หรือ เพียงถ้อยคำสั้นๆ บ่าวรับใช้ทั้งหลายเบื้องล่างก็วิ่งวุ่น
เฉียวเวยคิดในใจ มิใช่ว่าประโยคถัดมาต่อจาก ‘พูดปากเปล่าไร้หลักฐาน’ คือ ‘เอาเอกสารมาพิสูจน์’ หรือ กลายเป็น ‘ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา’ ตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้นนางสงสัยยิ่งนักว่าคำพูดที่ฮ่องเต้หลุดปากออกมาตอนนั่นจะเป็นคำว่า ‘พูดปากเปล่าไร้หลักฐาน’ จริงหรือไม่
สรุปภายในหนึ่งประโยคก็คือองค์ชายเก้าบอกว่ากุ้งของหรงจี้อร่อยยิ่งนัก ฮ่องเต้จึงน้ำลายสออยากกินบ้าง! แล้วยังอยากกินอย่างถูกต้องชอบธรรมโดยจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้รัชทายาทอีกด้วย เป็นคนตะกละที่ชั้นเชิงสูงนักเชียว!
“องค์ชายเก้าเคยมาเหลาสุราของพวกเราหรือ เหตุใดข้าไม่รู้” สิ่งที่เถ้าแก่หรงสนใจต่างจากเฉียวเวยกับเสี่ยวลิ่วอย่างสิ้นเชิง
เฉียวเวยคิดในใจว่า คุณหนูจวนแม่ทัพตัวหลัวมาทุกวัน ท่านรู้หรือไม่ หลานชายของขุนนางสามรัชสมัย บุตรชายของขุนนางใหญ่ในหมู่เสนาบดีก็มาทุกวันท่านรู้หรือไม่ ยิ่นอ๋ององค์ชายเจ็ดก็มาเป็นครั้งคราวท่านรู้หรือไม่ เรื่องที่ท่านไม่รู้มากมายนักล่ะ
จะว่าไป หมิงซิวก็ไม่มาหลายวันแล้ว
เฉียวเวยไม่เชื่อว่าเขาลงใต้ไปเจียงหนานจัดการน้ำ นางสืบข่าวมาแล้ว ผู้ที่ลงเจียงหนานไปจัดการปัญหาเรื่องน้ำคืออัครมหาเสนาบดี เขาไม่ใช่อัครมหาเสนาบดีเสียหน่อย!
แน่นอนว่าเฉียวเวยคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าทุกสิ่งนี้บางทีอาจเกี่ยวกับตนเอง นางคิดว่านางกับหมิงซิวคบหากันอยู่ดีๆ หมิงซิวจากจรไม่ลาจะต้องเป็นเพราะมีเหตุจำเป็นให้ต้องไปโดยไม่บอกกล่าวเป็นแน่
นางเข้าใจ!
นางเป็นสหาย (คนรัก) ที่อ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจ!
เฉียวเวยยิ้มกว้างเดินกลับบ้าน
คืนนั้นเฉียวเวยฝัน ฝันเห็นมือซ้ายของตนถือไม้นวดแป้ง มือขวาถือกระบองหนาม ฟาดจีหมิงซิวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจัดหนักจัดเต็มหนึ่งร้อยรอบ…
…
เรือนบนเขาอันเงียบสงัดหลังหนึ่งรายล้อมด้วยขุนเขาสีเขียวขจี ศิลาซ้อนหลั่นเป็นชั้น สายธารรินไหล แสงจันทราลอดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาตกต้องเตียงหยกหนาวยะเยือกที่มีไอสีขาวลอยขึ้นมา บุรุษบนเตียงลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มงีบหลับเฝ้าอยู่หน้าเตียง เสียงแหบพร่าก็ดังออกมาจากลำคอ “อู๋ซวง”
ศีรษะที่สัปหงกอยู่ของจีอู๋ซวง สะดุ้งตื่นในทันใด “นายน้อย!”
จีหมิงซิวสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย “ข้าหลับไปนานเท่าไร”
“เจ็ดวัน” จีอู๋ซวงทาบสามนิ้วลงบนข้อมือของเขา ตรวจชีพจรเขาอย่างละเอียดแล้วรั้งมือกลับ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเอ่ยว่า “อันตรายนัก ในที่สุดก็ควบคุมได้แล้ว…นายน้อย ท่านบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ท่านมิควรวู่วามเช่นนั้น”
จีหมิงซิวมองด้านบนของม่านมุ้งสีดำสนิท ไม่ได้สนใจเขา
เห็นนายน้อยไม่คิดจะพูดกับเขา จีอู๋ซวงก็ถอนหายใจ “ข้าจะไปต้มยา นายน้อยนอนหลับอีกสักตื่นเถิด” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำแข็ง เดินไปยังห้องยาของตนเอง เพิ่งเข้าประตูมาก็พบว่าด้านในห้องเล็กแคบมีคนนั่งเป็นเงาตะคุ่มอยู่ห้าคน นอกจากสือชี แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก ท่าทางประหนึ่งว่าจะฉีกร่างจีอู๋ซวงเป็นแปดส่วน
จีอู๋ซวงยักไหล่อย่างคนไม่ผิด “อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ มิใช่ข้าทำให้นายน้อยเป็นเช่นนี้เสียหน่อย”
ผู้ที่นั่งอยู่ภายในห้องล้วนเป็นคนสนิทของจีหมิงซิว ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผู้ที่วรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดก็คือสือชีผู้บุกฝ่าค่ายนักรบมรณะนับพันคนออกมา ผู้ที่ชำนาญอาวุธลับที่สุดคือเยี่ยนเฟยเจวี๋ยราชาแห่งองครักษ์เงาผู้เคยประกาศศักดาในยุทธภพ สองคนนี้คอยติดตามอยู่เคียงข้างจีหมิงซิวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนที่เหลือต่างมีฐานะแตกต่างกันไป ด้วยภารกิจจึงไม่ค่อยโผล่หน้ามาบ่อยครั้งนัก
ตั้งแต่ตอนพวกเขาเลือกติดตามจีหมิงซิวก็เคยใช้เลือดสาบานเอาไว้ หากพวกเขาตาย จีหมิงซิวอยู่ต่อได้ แต่หากจีหมิงซิวพบเรื่องไม่คาดฝัน พวกเขาสักคนก็มิอาจอยู่ต่อ ดังนั้นครั้งนี้จีหมิงซิวเกือบสิ้นชีวิต พวกเขาจึงกลัวจนฉี่ราดตดเล็ด วางงานการในมือแล้วรีบเร่งจากสารพัดสถานที่มายังต้าเหลียงทันที
ครั้งก่อนที่อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ก็คือเมื่อห้าปีก่อน นายน้อยหายตัวไปสามวันสามคืนจนถูกพบนอนอยู่ริมลำธารน้อยสายหนึ่ง ทั้งตัวมีแต่บาดแผลมั่วไปหมด มีรอยล้ม มีรอยขูด มีรอยข่วนและรอยกัด รอยข่วนอยู่บนแผ่นหลัง รอยกัดอยู่บนหัวไหล่
ครั้งนั้นก็ทำเอาพวกเขาขวัญกระเจิงแล้ว
“สภาพนายน้อยเป็นเช่นไรบ้าง” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม ในหมู่พวกเขา เขากลัวตายที่สุด หากมิใช่เช่นนั้นเขาก็คงไม่เหมาภารกิจคุ้มครองข้างกายจีหมิงซิวไว้คนเดียว
จีอู๋ซวงถลึงตาใส่เขา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ มิใช่ให้เจ้าปกป้องนายน้อยหรือ แล้วเจ้าไปซุกหัวอยู่ในท้องวัวหรืออย่างไร นายน้อยทะเลาะกับผู้อื่น เจ้าไม่รู้จักสังหารผู้อื่นก่อนหรือ ต้องลำบากให้นายน้อยลงมือด้วยตนเอง!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำหน้าอึ้ง “ใส่ร้ายข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดวิวาทกับเขา! แต่เขาจะตีผู้อื่นเองต่างหาก!”
มารดา เขาเพียงไปสุขาแวบเดียวเท่านั้น ออกมานายน้อยก็ซัดยิ่นอ๋องเสียหมอบแล้ว ภูตผีจึงจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น!
“สือชีเล่า ไม่อยู่เหมือนกันหรือ” จีอู๋ซวงถาม เขาติดตามจีหมิงซิวมานานที่สุด แล้วก็เป็นผู้ที่รู้จักนิสัยของจีหมิงซิวชัดเจนที่สุด จีหมิงซิวมิใช่คนที่ควบคุมอารมณ์มิได้ ตรงกันข้ามเขาควบคุมตนเองได้ดียิ่งนัก ทั้งที่เขารู้ว่าตนเองมิอาจใช้วรยุทธ์ได้แต่ก็ยังฝืนลงมือ นี่ไม่เหมือนการกระทำตามปกติของตัวเขาแม้สักนิด
สือชีจมอยู่ในโลกของตนเองจึงไม่มีปฏิกิริยากับถ้อยคำของจีอู๋ซวง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบแทนสือชี “เขาออกไปทำภารกิจ”
“สรุปคือไม่มีผู้ใดรู้ว่าวันนั้นที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดนายน้อยจึงลงมือสั่งสอนยิ่นอ๋อง” จีอู๋ซวงมองไปหาบุรุษผู้สวมใส่หนังเสือ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้มที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง “สือซาน เจ้ารู้หรือไม่”