หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 129
ตอนที่ 129 : ไม่มีความชอบธรรม
ภายในปราสาเล็กๆในเมืองมอลลี่ นายกของเมืองเบทเทลนั้นกําลังเฉลิมฉลองอยู่
องค์กรดวงตาสีเทานั้นถูกทําลายไปแล้ว และสัตว์ประหลาดสาวที่เป็นอมตะนั่นก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาให้เห็นกว่าสิบวันแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะกลัวถูกฆ่าและจากไปแล้ว
ปัญหาร้ายแรงของเขาทั้งสองนั้นได้รับการจัดการภายในครั้งเดียว ตอนนี้เบทเทลรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นไม่เคยง่ายดายและมีความสุขขนาดนี้มาก่อน
พวกลูกน้องของเขาต่างเข้ามาเพื่อดื่มอวยพรให้กับเขา ขณะที่ขุนนางที่อ่อนแอต่างออกมา เพราะว่ามันถึงเวลาแสดงความน่าดึงดูดของพวกเขาแล้ว
เวตชายที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา หยิบแก้วไวน์พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงเสียใจอยู่ด้านข้างเขา “น่าเสียดายนะที่เจ้าปล่อยผู้หญิงที่ชื่อเอลลี่ไป เธอนั้นทั้งเป็นอมตะและงดงาม มันมีหลายวิธีมากที่จะเล่นกับเธอ หากเจ้าไม่ต้องตัวนางแล้ว เจ้าควรส่งนางให้ข้าสิ”
“เจ้าไม่สามารถควบคุมเธอได้หรอก” เบทเทลนึกถึงความรู้สึกพิเศษที่เอลลี่มอบให้กับเขาตลอดเวลา จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดูถูก “ผู้หญิงคนนั้นเป็นทั้งคนงี่เง่าและคนโง่ ทั้งยังไม่เก่งในการต่อสู้, แต่มีท่าที่หยิ่งยโส ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เจ้าเคยพบมาก่อน ข้านั้นไม่ใส่ใจที่จะให้นางมาเป็นสตรีที่แท้จริงของเมืองนี้ ขอเพียงแค่ให้นางลดความมั่นใจของนางลงหน่อย”
เวตมึนงงไปทันที จากนั้นเขาก็หัวเราออกมาเสียงดัง “มีผู้หญิงกี่คนกันที่นายพูดแบบนี้กัน ฉันเหนื่อยที่จะฟังมันต่อไปแล้ว”
“มันคือความจริง ผู้หญิงคนนี้ต่างออกไป เธอนั้นไม่สนใจในความมั่งคั่ง เธอสนใจแค่รูปแบบในการดําเนินชีวิตเท่านั้น” เบทเทลพูดออกมาด้วยความเสียใจ “เธอนั้นต่างจากผู้หญิงทั่วไป เธอนั้นน่าหลงไหลทว่ากลับไม่หยาบกระด้าง เรียบร้อยแต่ไม่ให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอผู้หญิงแบบนี้ ทว่าเธอนั้นหยิ่งทระนงและยากที่จะควบคุม”
หลังจากเวตได้ยินเรื่องพวกนี้เขาก็กล่าวว่า “ข้ายิ่งสนใจนางเข้าไปอีกเมื่อเจ้าพูดออกมาแบบนี้”
“มันน่าจะมีบุตรีทองคํามากกว่าหนึ่งคน ไว้พวกเราลองไปหาพวกเธอที่เมืองอื่นดู เราสามารถล่อสักคนหรือสองคนมาที่นี่ได้ หวังหว่าบุตรีทองคําทั้งหมดจะโง่เหมือนเอลลื่นะ”
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่อธิบายไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
เมื่อพวกเขาหัวเราะจบพวกเขาก็ไปคุยกับแขกคนอื่นๆ มันมีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากทางตะวันออก ขนาดเสียงดังภายในห้องโถงยังไม่สามารถกลบเสียงนั่นลงได้
ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังคงบรรเลงอยู่
จากนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้นอีกครั้งตอนนี้มีหลายคนที่ได้ยินมันอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกโยนลงมาจากที่สูงและชนเข้ากับบางสิ่ง
ท่าทางของแขกส่วนใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ามีบางส่วนมีท่าที่แปลกและเหมือนจะคุ้นชินกับเสียงของมัน
ความรู้สึกแย่ๆเริ่มก่อตัวขึ้นมาในความคิดของพวกเขา
และนั่นก็รวมถึงเบทเทลด้วยเช่นกัน
เขายกมือขึ้นมาเพื่อให้นักดนตรีหยุดบรรเลง
จากนั้นเสียงดังครั้งที่สามก็ดังขึ้นมาจากในระยะไกล ในตอนนี้มันสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
“นั่นมันเครื่องยิงหินขนาดยักษ์!”
เบทเทลรู้สึกกังวลอย่างควบคุมไม่ได้ ใครมันกล้าจู่โจมเมืองของเขากัน?
เขานั้นคิดที่จะออกไปดู ทหารก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนกและพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านนายกตอนนี้เลวร้ายมาก เจ้าพวกดวงตาสีเทามันกลับมาแล้ว! มันมาพร้อมเครื่องยิงหินหลายอันและทําลายประตูเมืองของเราอยู่”
“นั่นเป็นไปไม่ได้” เบทเทลคํารามออกมา “ดวงตาสีเทานั้นถูกทําลายไปแล้ว”
ทหารคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “แต่ว่าพวกมันนั้นกําลังตะโกนอยู่หน้าเมือง”
“พวกมันมีกี่คนกัน?” เบทเทลถามด้วยความโกรธ
“อย่างต่ําก็ห้าสิบคน” ทหารตอบกลับมาด้วยเสียงเบา
ทันทีที่เบทเทลได้ยิน เขาก็เตะทหารคนนั้นล้มลงพื้นและตะโกนออกมา “ห้าสิบคน? มันมีทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างต่ําก็ห้าร้อยคน ไม่นับรวมพวกกองหนุน แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถจัดการได้งั้นเหรอ?”
“พวกข้าพยายามแล้ว พวกเราส่งคนออกไปสองร้อยคนก่อนหน้านี้และ” ทหารคนนั้นก้ม หัวลงต่ํา “ราวกับผู้ใหญ่รังแกเด็กการต่อสู้จบลงภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที คนกว่าร้อยคนในฝั่งเรานั้นตายเรียบ ส่วนพวกที่เหลือต่างถูกจับเป็นเชลย และห้าสิบคนนั้นไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย พวกเขานั้นป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด”
เ“นั่นเป็นไปไม่ได้!” เบทเทลทุบแก้วที่อยู่บนพื้น เสียงแตกดังไปในห้องโถงที่เงียบสงัด “ต่อให้เป็นที่เมืองหลวงแต่ก็ยากที่จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้ถึงห้าสิบคน พวกเรานั้นอยู่ในชนบทไม่ต้องพูดถึงผู้เชี่ยวชาญถึงห้าสิบคนเลยแค่รวบรวมคนธรรมดาได้ห้าสิบคนก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว กองกําลังต่อต้านดวงตาสีเทานั้นความแข็งแกร่งลดลงเป็นอย่างมาก ไม่สามารถกระทั่งรวบรวมคนธรรมดาได้ห้าสิบคนด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับผู้เชี่ยวชาญถึงห้าสิบคน”
ทหารคนนั้นก้มหัวลงต่ําและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เวตที่ยืนอยู่ถัดไปจากเบทเทลนั้นเดินเข้ามาพร้อมกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เวลามาต่อว่าทหารผู้น้อยเสียหน่อย นําทหารไปดูกันเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เบทเทลนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกและยิ้มออกมาอย่างเขินอายให้แก่แขกโดยรอบ “ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทําให้งานเลี้ยงนี้เสียหาย ขอให้ทุกท่านนั้นกลับไปยังบ้านของทุกท่านด้วย”
หลังจากนั้นแขกทั้งหมดก็จากไป ราวกับว่าพวกเขายอมแพ้และหนีไป
ในขณะที่เบทเทลนั้นเรียกรวมทหารชั้นยอดกว่าสี่ร้อยนายในปราสาทและมุ่งหน้าไปยังกําแพงเมือง
เขานั้นออกจากปราสาทไปพร้อมกับทหาร มีผู้เล่นที่ไม่เป็นที่สังเกตุหกคนอยู่ใกล้กับบริเวณปราสาท และพวกเขาก็สํารวจโดยรอบปราสาทในทิศทางที่ต่างกัน พวกเขานั้นเปิดเผยรอยยิ้มชั่วช้าบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อเบทเทลและกองทัพของเขามาถึงยังกําแพง มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่เขาเห็นหินขนาดยักษ์พุ่งจากกลางอากาศมาชนเข้ากับกําแพงเมือง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของทหารสองนายที่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษเนื้อ ทหารห้าถึงหกนายเองก็บาดเจ็บจากเศษหินที่แตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ อาการบาดเจ็บของพวกเขานั้นต่างรุนแรงต่างกันออกไป
“นักธนูขึ้นมาบนกําแพงพร้อมข้า ส่วนที่เหลือป้องกันประตูเมืองซะ”
เบทเทลตะโกนออกคําสั่งจากนั้นก็วิ่งไปที่ทางขึ้นของกําแพง
กําแพงเมืองนั้นถูกโจมตีด้วยหินสี่ก้อน ถึงแม้ว่ามันจะดูแย่เพราะเศษหินและรอยร้าวนั้นกระจายอยู่เต็มไปหมดและแม้แต่ที่กบังก็ยังถูกทําลาย แต่มันไม่ใช่ผลกระทบที่ร้ายแรงนัก
เบทเทลวิ่งไปยังที่กําบังและเห็นคนสวมหน้ากากและสวมชุดคลุมดําถึงสามสิบคน พวกเขานั้นยืนกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเล็กๆยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ห่างจากขบวนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสนั่นเล็กน้อยมีศพของทหารยามอยู่เป็นจํานวนมาก
ตรงบริเวณด้านหลังของขบวนทัพมีคนในเสื้อคลุมดํากว่ายี่สิบคนกําลังใช้เครื่องยิงหินสามเครื่องอยู่ และมีชายในชุดดําที่แข็งแรงหลายคนต่างร่วมมือกันยกหินขนาดใหญ่ไว้ตรงเครื่องยิงหิน
ถึงแม้ว่าพวกคนในชุดคลุมดําพวกนั้นจะปกปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ ทว่าดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและความจองหอง
ท่าทางจองหองที่เขาคุ้นเคย ดวงตาของเอลลี่ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเกิดความกังวลขึ้นในใจ จากนั้นเขาก็เห็นคนที่ดูคุ้นเคยเดินออกมาจากทางด้านหลังของเครื่องยิงหิน
นั่นคือเอลลี่
ผู้คนที่กําลังใช้งานเครื่องยิงหินอยู่ต่างก็หยุดลง
เอลลี่ถือกระดาษไว้ในมือของเธอ มองไปที่เบทเทลที่อยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ชายที่รับผิดชอบในการไลฟ์สตรีมกระโดดขึ้นและวิ่งไปรอบๆตลอดเวลา เพื่อส่งภาพใกล้ๆของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา
ผู้เล่นร่ายเวทย์ขยายเสียงให้กับเอลลี่ ขณะที่โรแลนด์เองก็ร่ายการสื่อสารไร้พรมแดนออกมา
เอลลี่นั้นมองไปที่เบทเทลอย่างเงียบๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยภายในดวงตาของเธอ จากนั้นเธอก็มีท่าที่มุ่งมั่นพร้อมอ่านออกมาเสียงดัง “นายกของเมืองมอลลี่ เบทเทลนั้นเป็นคนเลือดเย็นและเย็นชา ครั้งหนึ่งเขาเคยมอบดอกเบญจมาศของเขาให้กับกอรี
กอรีนั้นคือผู้มีอิทธิพลที่เขาต้องการให้เอลลิ่นอนด้วย
เสียงที่ดูเรียบร้อยในแบบหญิงสาวของเอลลี่ดังขึ้นทั่วเมืองด้วยผลของการขยายเสียง
และเนื่องจากการสื่อสารไร้พรมแดน ทําให้ทุกคนสามารถเข้าใจคําพูดของเธอ เมื่อพวกเขาได้ยินดวงตาของพวกเขาก็หรี่ลงและไม่กล้ามองไปที่เบทเทล
เนื่องจากคําสบประมาทนั้นรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะไม่มีคําหยาบแม้แต่น้อย ภายใต้ผลของการสื่อสารไร้พรมแดน สิ่งที่คนทั้งเมืองได้ยินก็คือเสียงของเอลลี่ที่มีสําเนียงแบบขุนนางเก่าแก่ เธอนั้นเล่าเรื่องที่เบทเทลฆ่า, เผา, ข่มขืน และปล้นทรัพย์ ทั้งยังใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อประจบกอรีที่เป็นผู้มีอิทธิพลอีกต่างหาก ความสกปรกนี้เหนือกว่าที่เหล่าพลเมืองจะสามารถจินตนาการออกได้ และที่สําคัญเอลลี่ได้เล่าว่าเขานั้นสมรู้ร่วมคิดกับกอรี โดยมีข้อสงสัยว่าพวกเขานั้นกําลังบูชายัญปีศาจโดยพยายามจะเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสวรรค์ของเหล่าปีศาจ อย่างไรก็ตามเขานั้นปิดบังเรื่องทั้งหมดไว้ จากนั้นเธอก็ร้องตะโกนออกมา
“ใครกันแน่ที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ในตอนนี้!”
เหล่า NPC ที่ได้ฟังต่างก็แสดงท่าที่ออกมา “โอ้พระเจ้า เมืองมอลลี่แห่งนี้ยังเป็นดินแดนของมนุษย์อยู่หรือไม่? ยังเป็นสรวงสวรรค์ที่ท่านเคยมองดูอยู่หรือไม่?”
ทั้งเหล่าทหารและประชาชนต่างรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินคําพูดที่สวยหรูและน่าเศร้าจากศัตรู
โดยเฉพาะเหล่าทหารขัวญกําลังใจของพวกเขานั้นลดลงอย่างชัดเจน
เบทเทลนั้นไม่เคยได้ยินใครกล้าด่าทอเขาอย่างรุนแรงหรือแม้แต่กล่าวโทษเขามาก่อน เขานั้นเคยแค่เพียงกล่าวโทษคนอื่น แต่วันนี้เขากลับโดนประนามโดยผู้หญิงโง่เง่าในสายตาของเขา สถานการณ์ในตอนนี้นั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก
เขานั้นโกรธมากจนสั่นไปทั้งตัวใบหน้าของเขากลายเป็นสีขาว เขาคํารามออกมาในที่สุด “ยิงธนูซะ เอาธนูมาให้ข้า และยิงให้พวกมันตายไปซะ”
คลื่นของลูกศรถูกยิงลงมาจากกําแพง และตกลงมาประปรายตรงหน้าของกลุ่มผู้สวมชุดดํา
เหล่าผู้เล่นนั้นได้คํานวนระยะของธนูและลูกศรของศัตรูไว้แล้วพวกเขาไม่โง่พอที่จะเข้าสู่ระยะโจมตีของพวกเขา
หลังจากการอ่านคําแถลงการก็ทําให้เบทเทลนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เอลลี่นั้นรู้สึกโล่งออก มาจากในร่างกายของเธอ และจากนั้นเครื่องยิงหินก็เริ่มขยับอีกครั้ง
เบทเทลกัดฟันและคํารามออกมา “ย้ายเครื่องยิงหินของพวกเราไปตรงกําแพงเมือง”
“นั่นต้องใช้เวลา ท่านนายก”
เครื่องยิงหินนั้นค่อนข้างใหญ่และการแยกและประกอบพวกมันนั้นต้องใช้เวลา
“เชี่ยเอ้ย…พวกที่อยู่ในชุดคลุมดํานั่นต้องเป็นบุตรทองคําทั้งหมดแน่ๆ” เบทเทลเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน เขาเป็นนักดาบสายความเร็ว การมองเห็นของเขานั้นดีกว่าคนธรรมดามาก
“เครื่องยิงหินของพวกมันคุณภาพแย่มาก มันจะพังหลังจากใช้ไปเพียงไม่กี่ครั้ง” เบทเทลต่อยไปที่ที่กําบังและคํารามออกมา “แค่รอจนกว่าเครื่องยิงหินของพวกมันจะพังนั่นจะเป็นโอกาสที่พวกเราจะใช้โต้กลับ”
เบทเทลนั้นใจเย็นลงและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขานั้นคิดว่าเขายังมีโอกาสที่จะชนะอยู่
การแถลงการต่อต้านเขานั้นในตอนนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย สําหรับขุนนางบางครั้งการถูกพูดเช่นนี้ใส่นั้นเลวร้ายกว่าดาบเสียด้วยซ้ํา
เพราะมันทําให้เกรียติของขุนนางนั้นเสื่อมเสีย
เขาหายใจเข้าลึกหลายครั้งและกําลังจะสงบใจได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทันใดนั้นคนที่อยู่ข้างเขาก็ตะโกนออกมาว่า “พระเจ้า ปราสาทของท่านนายกนั้นถูกไฟไหม้ มันกําลังถูกไฟไหม้!”
เบทเทลหันไปมองยังปราสาทที่อยู่ไกลออกไปที่กําลังถูกปกคลุ่มไปด้วยควันสีดําซึ่งมี “มังกรเพลิง” ปรากฏให้เห็นจางๆเป็นระยะ
ครึ่งวินาทีต่อมาเชือกที่เรียกว่าสติในหัวของเบทเทลก็ขาดออก
ทุกอย่างพังแล้ว!
***
ดอกเบญจมาศ = ประตูหลัง