หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 18
ในช่วงเที่ยงมีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ข้อความนั้นเขียนออกมาโดยใช้ภาษาที่สละสลวยและสุภาพ ทว่ามันก็สามารถสรุปเป็นประโยคสั้น ๆได้ว่า ก็เลิกไปสิ ถ้าไม่อยากเล่น และเราจะคืนเงินเต็มจำนวนสำหรับค่าแคปซูล
เมื่อพิจารณาถึงราคาของแคปซูลมือสองในตลาดซึ่งแพงกว่าของแท้สองหมื่นเหรียญแล้ว คงมีแค่พวกโง่เท่านั้นแหละที่ขอคืนสินค้า คำประกาศของผู้พัฒนาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่แปลกพวกเขามีเหตุผลที่จะภูมิใจหลังจากได้สร้างเกมนี้ขึ้นมา อย่างน้อยโรแลนด์ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เขาคิดว่าเกมนี้น่าจะมีพื้นฐานมาจากเกม “รังลับและมังกร” แต่เขาก็ไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดของ “รังลับและมังกร” มากนัก แต่เขาก็พอรู้มาว่านักเวทย์จะต้องเรียนรู้เวทย์ด้วยตัวเองภายใต้กฎของเกม
ผู้พัฒนานั้นถือเป็นตัวแทนของกฎภายในเกม
นอกจากนี้อาชีพนักเวทย์ยังถูกจัดไว้อยู่ในระดับแรร์อีกด้วย
โรแลนด์ประเมินว่าผู้พัฒนาพยายามใช้กลยุทธ์นี้เพื่อจำกัดจำนวนนักเวทย์ภายในเกม และพยายามผลักดันให้พวกเขาไปเล่นคลาส พ่อมด , นักบวช และคลาสระยะประชิดอื่นๆ
ถ้าหากเป็นกรณีนั้นละก็ หมายความว่าผู้พัฒนาวางแผนมาดีมาก ยังไงก็ตามจอมเวทย์มักจะเป็นคลาสที่แข็งแกร่งมากภายในเกมแฟนตาซีเกือบทั้งหมด เพราะอย่างนั้นคลาสนี้จึงมักจะถูกเรียกว่า ปรมาจารย์นักเวทย์
หากมีผู้เล่นในคลาสที่แข็งแกร่งมากเกินไป สมดุลของเกมจะถูกทำลายลงได้
การเพิ่มความยากในการเล่นคลาสนั้นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงเป็นวิธีที่ไม่แย่นักที่จะจำกัดจำนวนประชากร ท้ายที่สุดผู้เล่นส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นตรงกันว่าคลาสที่เล่นยากและใช้ทรัพยากรเยอะ มักจะเป็นคลาสที่ทรงพลังในอนาคต
แน่นอนหลังผู้พัฒนาตอบกลับมาเช่นนี้ ย่อมเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเตอร์เน็ตแน่นอน บริษัทคู่แข่งต่างฉวยโอกาสนี้ใส่ร้ายป้ายสี คำด่ามากมายปรากฏขึ้นในทุกหัวข้อของเกมนี้ โลกอินเตอร์เน็ตต่างวุ่นวายไปหมด
แต่ท้ายที่สุด เวิร์ลออฟฟาลาน เกมเสมือนจริงเกมแรกของโลกนั้น ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามตั้งแต่เริ่มเปิดตัว
ยอดขายแคปซูลในช่วงแรกนั้นไม่ดีนัก เพราะถึงอย่างไรก็ตามเพนกวินคอโปเรชั่นก็มักจะมีชื่อเสียในด้านการลอกเลียนแบบ ผู้คนต่างไม่เชื่อว่าพวกเขาจะพัฒนาเกมเสมือนจริงได้
บริษัทแบบนี้จะคว้าความสำเร็จที่แม้แต่บริษัทชั้นนำยังทำไม่ได้มาครองงั้นหรอ?
ด้วยความคิดเช่นนี้ หลายคนจึงล้อเลียนเพนกวินคอโปเรชั่นอย่างสนุกปากในโลกออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ แคปซูลห้าแสนชิ้นแรกนั้นเริ่มทยอยขายหมดในช่วงครึ่งปี
โรแลนด์เองก็ไม่เชื่อว่าเพนกวินคอโปเรชั่นจะสามารถพัฒนาเกมเสมือนจริงออกมาได้ แต่ว่าเกม MMORPG ที่เขาเคยเล่นในวัยเด็กก็ล้วนแล้วแต่มีเพนกวินคอโปเรชั่นเป็นผู้พัฒนา
เพนกวินคอโปเรชั่นเป็นผู้มอบความสุขให้แก่เขาในยามเด็ก ด้วยเหตุผลนั้นโรแลนด์จึงตัดดสินใจที่จะซื้อแคปซูล ถึงอย่างไรก็ตามเพนกวินคอโปเรชั่นก็เป็นบริษัทใหญ่ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เกมเสมือนจริงอย่างที่คิดไว้ อย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นเพนกวินคอโปเรชั่นคงไม่ทำโฆษณาหนักขนาดนี้
ไม่มีใครคิดเลยว่าเกมนี้จะเสมือนจริงอย่างที่อ้างเอาไว้
ในฐานะที่เป็นเกมเสมือนจริงเกมแรกของโลก มันคือจุดเปลี่ยนของยุคสมัย ไม่ว่าความไม่พึงพอใจของผู้เล่นจะมีมากขนาดไหนก็ตาม พวกเขาก็คงไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะเล่นเกมนี้ไป ผู้เล่นที่คิดว่านักเวทย์นั้นยากเกินไปอาจจะบ่นและเลิกเล่นแค่ชั่วคราว แต่คงเป็นไปยากที่จะเลิกเล่นหรือขายแคปซูลเกมทิ้ง
ไม่อย่างนั้น ราคาของแคปซูลมือสองคงไม่เพิ่มขึ้นถึงสองหมื่นเหรียญ
โรแลนด์ปิดบทความลงและเล่นเกมที่เขาเคยชอบ ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับมันเลย…เขาออกกำลังกายบนลู่วิ่งครึ่งชั่วโมงและออกไปขี่รถเล่น เขารู้สึกว่าการชมวิวทิวทัศน์บนถนนนั้นสนุกยิ่งกว่าเล่นเกมเดิมๆในห้องของตัวเอง
ณ กลางดึก เมื่อเขากำลังจะเข้าเกม จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ค่อยได้สนุกกับเกมทั่วไปมาหลายวันแล้ว หรือว่าเกมเสมือนจริงนี้จะช่วยรักษาโรคติดเกมคอมพิวเตอร์ของเขาได้
หลังจากคิดถึงเรื่องนั้นอยู่สักพักโรแลนด์ก็กลับเข้าสู่เกมอีกครั้ง
โรแลนด์ไม่ได้กลับไปทำเหมืองต่อ เนื่องจากเขาเก็บเงินได้ 2 เหรียญเงินแล้ว โดยร้อยเหรียญทองแดงจะมีค่าเท่ากับหนึ่งเหรียญเงิน ตอนนี้เขาร่ำรวยยิ่งกว่าคนครึ่งเมืองแล้ว
เขาไม่ได้เบื่อการทำเหมือง อย่างไรก็ตามก็คงไม่มีใครทำเงินได้มากมายจากมัน เขารู้สึกว่าเมื่อเขาเลเวล 2 แล้ว เขาควรทดสอบความสามรถในการต่อสู้ของตน และเจ้าแมงมุมยักษ์นั่นน่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
เขามาที่โบสถ์และฟอลเคิลก็บังเอิญอยู่ที่นั่นพอดี ดังนั้นเขาจึงขอความสามารถทางภาษาจากนั้นก็กลับไปที่เมืองเพื่อซื้อดาบยาวจากช่างตีเหล็ก แม้ว่านักเวทย์ที่ใช้ดาบยาวจะดูแปลก แต่ว่าเขายังไม่มีเวทย์ที่ใช้สำหรับปกป้องตัวเอง ดังนั้นหากแมงมุมเข้ามาประชิดตัวเขา ดาบยาวน่าจะได้ใช้งาน
จากนั้นเขาก็ไปซื้อสมุนไพรที่ช่วยห้ามเลือดจากร้านขายของชำ หลังจากเก็บของทุกอย่างไว้ในกระเป๋ามิติ เขาก็เดินข้ามสะพานไปยังนอกตัวเมือง
บนสะพานทางเข้าเมืองเขาก็พบเข้ากับฟอลเคิลอีกครั้ง
ลมจากทะเลสาบทั้งเย็นสบายและสงบ ชายชราผมขาวหลังค่อมยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นโรแลนด์
“ฟอลเคิลทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ว่าคุณต้องชี้นำผู้ศรัทธาอยู่ที่โบสถ์หรอกหรือ?”
“เมื่อกี้แจ็ควิ่งมาหาข้าจากร้านช่างตีเหล็ก และบอกข้าว่าเจ้าซื้อดาบยาวไป ดังนั้นข้าจึงมารอเจ้าที่นี่”
โรแลนด์เห็นถึงเหงื่อบนหน้าผากของฟอลเคิล ชายชราพยายามหายใจอย่างช้าๆ ขณะเอามือไขว้หลังไว้
“ผมจะไปลองทดสอบเวทย์น่ะ การฝึกมันช่วยได้แค่บางส่วน ความสามารถของเวทย์จะวัดได้จากการต่อสู้จริงเท่านั้น”
“เจ้าจะไปสู้กับแมงมุมยักษ์งั้นหรือ?” ฟอลเคิลถามออกมา
โรแลนด์พยักหน้าออกมา
“เจ้าสามารถคืนชีพได้ สำหรับเจ้าการต่อสู้มันก็คงเป็นเพียงแค่ความบันเทิงอย่างหนึ่ง ทว่าการตายหลายๆครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องดี” ฟอลเคิลเขานำมือที่ไขว้หลังไว้ออกมาพร้อมกับนำคทาทรงตรงที่มีเม็ดไพลินเล็กๆติดอยู่ตรงปลายออกมา “นี่คือไม้เท้าที่ข้าเคยใช้เมื่อตอนหนุ่มๆ เจ้าเอามันไปใช้เถอะ”
คนที่เคยเล่นเกมมาก่อนจะรู้ดีว่าไอเทมเวทย์มักจะมีราคาแพง จากการเก็บเงินที่ได้จากการขุดแร่ในช่วงนี้ เขารับรู้ได้ถึงอำนาจของเงินภายในเกมนี้
ขนมปังน้ำผึ้งราคาเพียง 2 เหรียญทองแดง แต่ที่จริงแล้วน้ำผึ้งถือว่าเป็นของหวานที่หรูหรา มีชาวบ้านน้อยคนนักที่จะสามารถซื้อมันได้ นอกจากนี้เบียร์หนึ่งถังใหญ่ที่เพียงพอที่จะเติมเต็มท้องของผู้ใหญ่หลายคนก็ราคา 2 เหรียญทองแดงเช่นเดียวกัน
หนึ่งเหรียญทองแดงสามารถซื้อ ข้าวสารได้สองกิโลกรัม , ปลาแม่น้ำหนึ่งกิโลกรัม และผลไม้อีกหลายกิโลกรัม
ช่วงนี้โรแลนด์ทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมเลควิวอยู่ตลอด ในช่วงที่ความสามารถทางภาษายังแสดงผลยังอยู่เขามักจะได้ยินเสียงคุยโม้ของลูกค้ารายอื่นๆออกมาเสมอ
เขาจำคำพูดหนึ่งได้ไม่ลืม
ไอเทมเวทย์ที่ถูกที่สุดราคาก็ปาเข้าไปกว่า 10 เหรียญแล้ว