หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 31
เหมือนกับที่โรแลนด์คิดเอาไว้ ฟอลเคิลเสียแล้ว
ชายชราหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในโบสถ์พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ชาวบ้านต่างหลั่งไหลเข้าไปในโบสถ์โดยไม่มีใครพูดคุยกัน
ผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหวบางคนแอบปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ
พวกเขารู้ว่าฟอลเคิลรอวันนี้มาตลอด มันเป็นความปรารถนาของนักบุญทุกคนที่จะต้องการไปยังสรวงสวรรค์
แต่สำหรับชาวบ้านนั้น พวกเขาได้สูญเสียนักบวชที่เป็นคนในครอบครัวและผู้ปกป้องพวกเขาไป
ช่วงหลายสิบปีที่ฟอลเคิลอาศัยอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทน เขาปฏิบัติต่อชาวบ้านอย่างเป็นกันเองและเจรจากับนายกให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนธรรมดานั้นไม่ยากลำบาก
ชีวิตคือชีวิตเมื่อฟอลเคิลยังอยู่
ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว ชาวบ้านจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
พวกเขารู้สึกสูญเสีย
เมื่อนายกมาถึงชาวบ้านต่างหลีกทางให้เขา
โรแลนด์ก็มาถึงเช่นกันชาวบ้านก็หลีกทางให้เขาเช่นกัน
นายกนั้นมีหนวดเคราและเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลา เขามองไปยังฟอลเคิลที่อยู่บนเตียงอย่างเศร้าสร้อย ในมือของเขาถือไม้เท้าสีดำเอาไว้อยู่
เขาไม่ได้หันหลังไปมอง ทว่าเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงโรแลนด์ เขาถามด้วยความเศร้าว่า “เขาได้พูดอะไรก่อนที่เขาจะจากไปรึเปล่า?”
โรแลนด์หยุดพร้อมกับส่ายหน้าออกมา
นายกถอนหายใจให้กับใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของฟอลเคิล เขาหยิบดอกไม้ที่เหี่ยวย่นออกมาจากกระเป๋าของเขาและวางไว้บนหน้าอกของฟอลเคิล
ชาวบ้านต่างมีท่าทางแปลกๆเมื่อได้เห็นดอกไม้นี้
โรแลนด์ไม่ได้สังเกตท่าทางของพวกเขา เขาค่อนข้างเศร้า ฟอลเคิลช่วยเขามากมายในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาในฐานะของผู้แนะนำในโลกนี้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะไม่ได้พบฟอลเคิลอีกครั้ง
เขาจมอยู่ในความโศกเศร้าและไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของคนอื่นๆ
นอกจากนี้ โรแลนด์คิดว่ามันเป็นปกติที่จะมอบดอกไม้ให้ผู้ตาย
เขาไม่ได้รู้เลยว่า ตามธรรมเนียมของเมืองเรดเมาน์เทนนั้นดอกไม้ดังกล่าวจะถูกมอบโดยบุตรชายให้แก่บิดาที่ล่วงลับไปแล้ว
“ฝังเขา” นายกพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
ชายหนุ่มสี่คนเดินเข้ามาและย้ายร่างของฟอลเคิลอย่างระมัดระวังไปยังโรงศพที่ได้เตรียมการมานานแล้ว
ฟอลเคิลทิ้งโลงศพไว้ข้างเตียงเมื่อเขารู้ว่าเขากำลังจะตาย
โลงศพถูกปิดและยกออกไป ผู้คนต่างหลีกทางให้
ชายหนุ่มหลายคนได้ขุดหลุมเตรียมไว้ที่สวนด้านหลัง มีป้ายแผ่นหินสี่เหลี่ยมวางไว้อยู่ด้านหน้า
โลงศพถูกลากเข้าไปในหลุม ผู้หญิงบางคนปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
นายกมองไปบนท้องฟ้า ตาของเขาแห้งกร้าน อากาศที่ดีที่สุดสำหรับงานศพคือวันที่ฝนตกหรือวันที่มีเมฆมาก ทว่าวันนี้กลับเป็นวันที่แดดออกและมีแสงจ้าออกมา
นายกเกือบจะลืมตาไม่ขึ้น
โรแลนด์ไม่ได้ไปร่วมวงกับพวกเขา เขาถอยออกมาและยืนมองชาวบ้านเติมเต็มสวนหลังโบสถ์ ยังคงมีชาวบ้านอีกมากที่ยืนอยู่เงียบๆอยู่นอกโบสถ์
บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้เข้าร่วมงานศพ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในเกม บางทีเขาก็รู้สึกมันไม่จริง เขาเศร้าก็จริง ทว่าเขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าที่เขาอยากจะหัวเราะเป็นเพราะว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟอลเคิล ฟอลเคิลเป็นชายชราที่ร่าเริงเสียจริงที่สามารถยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแม้ว่าจะเป็นวันตายของเขา
จากนั้นเขาก็ปล่อยผ่านความคิดนั้นไป ถ้าหากผู้ตายไม่คิดว่าการตายนั้นน่ากลัวอะไร เขาก็ไม่ควรรู้สึกเศร้าให้แก่ฟอลเคิล ทว่าเขาก็รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ไม่สามารถมีโอกาสได้พูดคุยกับฟอลเคิลอีก
เขาถอนหายใจออกมายาวๆ และคิดว่ากำลังจะจากไป ทว่าเขาเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนนั้นยิ้มออกมาอ่อนโยนและดูคุ้นเคย ทว่าโรแลนด์ก็ถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นโปร่งแสง โรแลนด์สามารถมองทะลุตัวเขาไปยังไม้ด้านหลังได้
นี่เขาเป็นผีหรือเป็นสกิลล่องหนบางอย่างกันแน่?
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “อะไรกันเจ้าจำข้าไม่ได้เหรอ?”
เสียงของเขานั้นทั้งดูอบอุ่นและคุ้นเคย…ดวงตาเขาเบิกกว้างพร้อมมองไปที่สวนด้านหลังของโบสถ์ที่โลงศพถูกฝังอยู่โดยไม่รู้ตัว เขามองกลับมายังชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมถามออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า “ฟอลเคิล?”
“ข้าเอง!” ชายหนุ่มพยักหน้าออกมา
โรแลนด์มองไปรอบๆอีกครั้งและพบว่าไม่มีใครเห็นฟอลเคิลเลย ถึงแม้ว่าบางคนจะมองมาทางเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ
“คนธรรมดามองไม่เห็นข้าหรอก” ฟอลเคิลยิ้มออกมาและพูดว่า “มีเพียงคนที่มีพลังวิญญาณเพียงพอเท่านั้นที่จะสามารถพูดคุยกับข้าได้”
“นี่คุณตายจริงๆใช่ไหม?” โรแลนด์เดินสำรวจฟอลเคิลอย่างไม่รู้ตัวก่อนถามออกมาอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นวิญญาณใช่ไหม?”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมอง! สำหรับคนธรรมดาข้านั้นตายไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือพูดคุยกับข้าได้ และข้าก็ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาได้ ดังนั้นฟอลเคิลจะไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป” ฟอลเคิลชี้ไปที่หัวของโรแลนด์และพูดว่า “แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญเช่นเจ้า ข้ายังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่อยู่ในรูปแบบที่ต่างจากเดิมเท่านั้น”
คำพูดของฟอลเคิลดูสมเหตุสมผล โรแลนด์รู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่เพียงแค่กลายเป็นวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขายังไม่ได้จากไปไหน โรแลนด์ก็ไม่ได้เศร้าอีกต่อไป
เขาถามว่า “แผนต่อไปของคุณคืออะไร? เดินเล่นในหมู่บ้านทั้งๆที่เป็นวิญญาณ?”
“ข้าจะไปยังสรวงสวรรค์” ฟอลเคิลยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ข้าบอกเจ้าไว้แล้วนี่”
“แต่….” โรแลนด์มองไปรอบๆและถามว่า “ยังไงล่ะ?”
“ทูตของเทพธิดาจะมารับข้าไป และประตูสู่สวรรค์จะเปิดออก อีกไม่นานนักหรอก”
โรแลนด์พยักหน้าออกมา “อ่าหะ”
ตามจริงเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฟอลเคิลพูดออกมา
“ก่อนที่ข้าจะไปข้าอยากจะบอกอะไรกับเจ้าสักหน่อย” ฟอลเคิลพูดพร้อมยิ้มอย่างหยอกล้อ “เจ้ากำลังมีช่วงเวลาที่ลำบากกับเวทมนตร์อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
โรแลนด์พยักหน้า ความสามารถทางภาษานั้นทำให้เข้าปวดหัวหนักมาก
“นักเวทย์นั้นต่างจากพ่อมดและนักบวช” ฟอลเคิลอธิบายออกมา “เวทย์ของเจ้าจะขึ้นอยู่กับความเข้าใจในองค์ประกอบเวทย์ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการร่ายเวทย์ของเจ้านั้นสูงกว่าพวกข้ามาก จอมเวทย์จะเข้าสู่ชั้นยอดได้เมื่อสามารถใช้เวทย์ระดับสองได้ เจ้ายังอยู่อีกไกล ทว่าเจ้าก็เรียนรู้อย่างสองอย่างเกี่ยวกับเวทย์ระดับสองแล้ว มันน่าชื่นชมมาก”
“แล้วผมควรทำอะไรต่อดี” โรแลนด์ถามออกมา
“เรียนรู้เวทย์ระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นและสร้างรากฐานของตัวเองไว้ เจ้าจะสามารถเรียนมันได้เมื่อเจ้าเก่งพอ” ฟอลเคิลพูดออกมา “หรือเจ้าสามารถเรียนเกี่ยวกับการทำสมาธิแบบพิเศษซึ่งเป็นสกิลเฉพาะของนักเวทย์ที่สามารถช่วยการฝึกฝนจิตใจของเจ้าได้ เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญการทำสมาธิแบบพิเศษแล้ว เจ้าจะสามารถใช้เวทย์ที่สูงกว่าระดับของเจ้าได้”