หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 42
เสียงเหยียบใบไม้ดังไปทั่วป่า เบทต้าแบกร่างของเด็กสาวไว้ ทว่าเขาก็ยังคงวิ่งเร็วยิ่งกว่าโรแลนด์ที่มือเปล่า
ถ้าโรแลนด์ไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ บางทีเขาอาจจะถูกทิ้งไว้อยู่ด้านหลัง
ถึงอย่างนั้นเมื่อพวกเขาออกจากป่า เบทต้าก็ห่างนำหน้าเขาร่วมร้อยเมตร
อย่างไรก็ตามเบทต้าก็หยุดและหอบหายใจอย่างหนักเมื่อเขามาถึงยังเมือง เพราะเคอร์ฟิวทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้
ไม่นานนักโรแลนด์ก็ตามมาทัน เขาไม่มีแม้กระทั่งเวลาปาดเหงื่อ เขาลองแตะไปที่จมูกของเด็กสาวและยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบา เขาขวมดคิ้วเมื่อเห็นประตูปิดอยู่
“ประตู….ไม่เปิด!” เบทต้าหอบหายใจอย่างหนักและพูดว่า “พวกเราควรทำยังไงกันดี?”
เขาสามารถรู้ได้เช่นกันว่าเด็กสาวกำลังจะตาย ยิ่งเธอได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่เธอก็จะยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น
ทหารบนกำแพงเมืองมองมาที่เบทต้าและโรแลนด์อย่างกังวล
มีนัดเดินทางที่พลาดที่จะเข้าเมืองในทุกวัน แต่พวกเขามองไปยังชายหนุ่มทั้งสองซึ่งดูเหมือนจะเป็นพวกมีอำนาจด้วยความประหลาดใจ โดยสงสัยว่าทำไมหนึ่งในพวกนั้นถึงแบกเด็กสาวร่างเปลือยไว้อยู่
พวกเขานั้นพอจะคาดเดาได้ แต่ทว่าไม่มีใครแสดงตัวและรักความยุติธรรมขนาดนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงกรอกตาราวกับไม่เห็นอะไร
“เปิดประตูซะ” โรแลนด์ตะโกนใส่พวกทหาร “พวกเรามีเด็กสาวที่ใกล้ตายต้องการการรักษาด่วน!”
พวกทหารนั้นเห็นเด็กสาวที่อยู่ในแขนเบทต้า ทว่าพวกเขาก็มองหน้ากันและส่ายหัวออกมาโดยไม่พูดอะไร
“เธอตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ฉันรู้ว่าพวกนายมีกฎ แต่พวกนายยกเว้นให้หน่อยได้ไหม? อย่างน้อยแค่เปิดช่องเล็กๆให้พวกเราสักคนพาเด็กสาวเข้าไปก็พอ”
โรแลนด์ตะโกนออกมา ทว่าพวกทหารก็ไม่ขยับ
พวกพ่อค้าและนักเดินทางที่อยู่ด้านนอกต่างโล่งใจ
ขุนนางสองคนที่พยายามจะช่วยเด็กสาวไม่น่าจะใช่คนเลว
ไม่มีการตอบกลับใดๆจากทหารที่อยู่ด้านบน โรแลนด์รู้สึกอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
เบทต้ามองไปที่เด็กสาวในอ้อมแขนและเสนอว่า “ทำไมพวกเราไม่พังมันเข้าไปล่ะครับ?”
เสียงของเขาไม่ได้ดังนัก ทว่าตอนนี้มันเป็นคืนที่เงียบสงบ
พวกทหารต่างเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็วและเอื้อมมือไปจับอาวุธ
แต่ทว่า เมื่อผู้พูดนั้นดูเหมือนจะเป็นขุนนาง พวกเขาก็ไม่กล้าทำจริงๆ
ถ้าเป็นพ่อค้าหรือนักเดินทางที่ทำเช่นนี้ ผลลัพธ์คงจะต่างกัน
มีโอกาสที่พวกเขาจะตายโดยลูกศร
“ลองดูอีกครั้งกันเถอะ” โรแลนด์กล่าวออกมา ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นถึงสิ่งที่กลูเคยพูด ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไป “พวกเราเป็นบุตรทองคำ และตอนนี้พวกเราพยายามจะช่วยเหลือคน พวกนายน่าจะรู้ดีว่าบุตรทองคำสองคนก่อนหน้าทำอะไรไปบ้างไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่อยากให้พวกเราเป็นศัตรูของนาย เปิดประตูซะ ถ้าพวกนายไม่สามารถตัดสินใจได้แจ้งหัวหน้าพวกนายซะ ฉันรู้ว่าหัวหน้าพวกนายอยู่ด้วย”
บุตรทองคำ!
พวกทหารมองหน้ากันด้วยความสับสน ในฐานะทหารพวกเขาย่อมรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างบุตรทองคำสองคนและขุนนางผู้มีอำนาจเมื่อเดือนก่อน
พวกเขาไม่กล้ายั่วยุสัตว์ประหลาดที่สามารถคืนชีพได้
“ฉันจะให้เวลาพวกนายห้านาที พวกเราจะบุกเข้าไปหากไม่ได้รับการตอบกลับภายในห้านาที และอย่าหาว่าเราโหดร้ายละกัน!”
บอลแสงทั้งสี่ลอยอยู่รอบตัวโรแลนด์ ทว่าเพื่อกดดันให้หนักขึ้น เขาร่ายบอลเพลิงขึ้นในใจจากนั้นก็ปาบอลเพลิงสีฟ้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังเขา
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้อง บอลเพลิงลอยไปกว่าร้อยเมตรและระเบิดออก
มันเหลือทิ้งไว้เพียงหลุมที่ลึกกว่าสองเมตร และเพลิงที่ยังคงเผาไหม้อยู่บนพื้น
มันรุนแรงมากพอที่จะเป่าประตูเมือง
ทุกคนต่างเหงื่อไหลออกมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ เวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับพวกเขา
ทันใดนั้นเอง หัวหน้าทหารก็ปรากฏตัวออกมาบนกำแพง เขามองไปยังโรแลนด์และเบทต้าด้วยท่าทางเย็นชา “พวกคุณจะพิสูจน์ยังไงว่าพวกคุณคือบุตรทองคำ?”
“พวกเราควรตายเพื่อนายสักครั้งหนึ่งมั้ยล่ะ?” โรแลนด์ยิ้มเยาะและพูดว่า “แน่นอนสิ่งแรกที่พวกเราจะทำหลังจากคืนชีพคือฆ่าแกทิ้งซะ ชีวิตของแกจะเป็นของฉัน ฟังดูเป็นไง?”
หัวหน้าทหารหนุ่มรู้สึกปวดหัว มีเพียงพวกบ้าเท่านั้นที่จะแลกชีวิตของตัวเองกับสัตว์ประหลาดที่ไม่มีวันตาย
“อ่า พวกคุณสามารถเข้ามาได้!” หัวหน้าทหารตะโกนไปยังเหล่าทหาร “เปิดช่องสำหรับพวกเขา นอกจากนี้เตรียมธนูไว้ให้พร้อม หากมีใครยกเว้นบุตรทองคำทั้งสองนี้เข้ามาฆ่ามันทิ้งซะ!”
ทั้งโรแลนด์และเบทต้าก็โล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
ไม่นานนักประตูเมืองก็ส่งเสียงดังขึ้นและมีช่องว่างเปิดออก โรแลนด์และเบทต้าพุ่งเข้าไป โรแลนด์คว้าทหารไว้นายหนึ่งและถามว่า “โบสถ์แห่งชีวิตอยู่ที่ไหน?”
“ในทางตะวันออกเฉียงเหนือ” ทหารพูดออกมา เขามองไปยังเด็กสาวในอ้อมแขนของเบทต้าและพูดว่า “นั้นลิซ่าไม่ใช่เหรอลูกสาวของตาแก่วินเซนต์? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ช่างมันผมจะนำทางคุณไปเอง”
จากนั้นทหารคนนั้นก็วางอาวุธลงและเริ่มวิ่ง
เบทต้าและโรแลนด์ตามเขาไป
เขาหันไปพูดกับเพื่อนของตัวเองอย่างเร่งรีบว่า “นายปิดประตูไปนะ ฉันจะรีบพาพวกเขาไปยังโบสถ์แห่งชีวิต”
เพราะเคอร์ฟิวทำให้มีคนอยู่บนถนนเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถพบเห็นเกวียนขุนนางได้บ้าง
ขุนนางไม่ได้ถูกจำกัดโดยเคอร์ฟิว
พวกเขาทั้งสามวิ่งอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของพวกเขาเสียงเหมือนกับฝนที่ตกลงบนถนน
สิบนาทีให้หลัง พวกเขาก็มาถึงโบสถ์ขนาดใหญ่
ประตูสีน้ำตาลถูกปิดอยู่ แต่แสงเทียนก็รั่วไหลออกมาจากช่องใต้ประตู
ทหารทุบไปยังประตูและโรแลนด์ก็ทำเช่นเดียวกัน
เบทต้าลองทดสอบลมหายใจของเด็กสาวและตะโกนออกมาก “เธอไม่หายใจแล้ว แต่ตัวยังอุ่นอยู่”
บ้าเอ้ย!
ด้วยความกังวล โรแลนด์คิดจะยิงบอลเพลิงนรกเพื่อทำลายประตู และมันก็เปิดออกในที่สุด
นักบวชชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวเปิดประตูออกมาอย่างบึ้งตึง เขากำลังจะระบายความโกรธออกมา ทว่าความโกรธของเขาก็หายไปเมื่อเห็นเด็กสาวที่กำลังจะตายในอ้อมแขนของเบทต้า เขาโบกมือและตะโกนออกมาว่า “เข้ามา!”
พวกเขาเข้าไปในโบสถ์ ชายนักบวชวัยกลางคนตะโกนออกมา “วางเธอลงที่แท่นบูชาซะ”
พวกเขาทำตามคำสั่ง เบทต้าวางเด็กสาวลงบนโต๊ะตรงกลางโถงสวดมนตร์
ชายวัยกลางคนรีบร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วต่อหน้าโต๊ะ
บอลแสงสีเขียวปรากฏตรงหน้าเขาก่อนที่มันจะค่อยๆจมลงไปในร่างเด็กสาว
แผลที่ถูกแทงของเด็กสาวหายไปจากการรักษา ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีอมมพูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จากนั้นชายวัยกลางคนก็หันกลับมาและยื่นมือไปหาเบทต้า “ขอบคุณที่ใช้บริการ ทั้งหมดสองเหรียญทอง”
เชี้ยเอ้ย! โคตรแพง?
โรแลนด์คิดในใจ