หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 58
แสงจากหน้าต่างส่องลงบนใบหน้าของอัลโด้
เนื่องจากแสงส่องทำให้ใบหน้าด้านหนึ่งของเขาสว่าง และอีกด้านหนึ่งมืด เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เขาหัวเราะจนกระทั่งน้ำตาไหลออกมา
โรแลนด์ได้ยินความมุ่งร้ายออกมาจากเสียงหัวเราะนั่น ไม่ใช่ต่อเขาแต่เป็นต่อสิ่งอื่น
โรแลนด์เพียงแค่เฝ้าดูอย่างๆเงียบ
อัลโด้หัวเราะไม่หยุดจนกระทั่งผ่านไปหลายนาที เขาเช็ดน้ำตาอย่างสง่างามและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่น่ายินดีว่า “ ต้องขอโทษด้วยคุณต้องตกใจแน่ๆ”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา
อัลโด้ลุกขึ้นยืนและมองไปทางโรแลนด์พร้อมพูดว่า “เนื่องจากคุณไม่กลัวดังนั้นฉันจะส่งแบบจำลองนี้ไปยังสาขาใหญ่ของสมาคมนักเวทย์ มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ ทางที่ดีคุณควรเตรียมตัวให้พร้อม”
อัลโด้หันกลับไปก่อนที่โรแลนด์จะพูดอะไรออกไป เมื่อโรแลนด์พบว่ามันแปลก อัลโด้ก็หันกลับมาและยืนพูดอยู่ตรงประตูว่า “เกือบลืมไปเลย ข้ามาที่นี่เพื่อบอกคุณว่าคืนนี้ลูกสาวคนเล็กของชาร์ลส์กำลังจัดงานวันเกิด จอห์นพี่ชายของเธอรู้จักชื่อของคุณจากที่ไหนสักที่เขาหวังว่าคุณจะไปร่วมงานและนี่คือจดหมายเชิญ”
จดหมายเชิญถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
อัลโดยิ้มให้โรแลนด์และเดินลงจากชั้นแปดกลับไปยังชั้นสอง เขาเรียกนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดออกมาด้วยเสียงกระดิ่งและประกาศว่า “ต้องขอบคุณรักษาการของพวกนายนะ แบบจำลองของแขนเวทย์จะปล่อยให้เรียนรู้ฟรีอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าอย่าให้มันรั่วไหลล่ะ”
หลังจากความงุนงงชั่วครู่นักเวทย์ฝึกหัดทุกคนก็ตะโกนออกมาว่า “ขอบคุณมาก! ท่านรักษาการโรแลนด์”
“ขอบคุณท่านประธานอัลโด้!”
เมื่อมองไปที่เหล่านักเวทย์ฝึกหัดที่ดูตื่นเต้นอัลโด้ก็คัดลอกแบบจำลองของแขนเวทย์ด้วยรอยยิ้มและเดินออกไปจากหอคอยเวทย์
หลังจากอัลโด้จากไปเหล่านักเวทย์ฝึกหัดก็แขวนแบบจำลองเวทย์ไว้บนกระดานอีกครั้ง
พวกเขาจ้องมองไปที่แบบจำลองด้วยความพึงพอใจ ด้วยรายละเอียดทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้แม้ว่าจะไม่มีอาจารย์ก็ตาม
หากพวกเขายังคงไม่สามารถเข้าใจมันได้อีกละก็พวกเขาคงโง่เกินกว่าที่จะเป็นนักเวทย์
นักเวทย์ฝึกหัดทั้งหลายหันไปพูดกับผู้หญิงคนเดียวในนี้ “วิเวียนพวกเราไม่มีอะไรที่จะตอบแทนท่านรักษาการได้ ดังนั้นฝากเธอด้วยล่ะ”
แก้มของวิเวียนแดงฉานราวกับดอกกุหลาบ เธอหันกลับไปและกลับไปที่ห้องของเธอ
โรแลนด์พักผ่อนอยู่ในห้องของเขาสักพัก จากนั้นเขาก็ออกจากหอคอยเวทมนตร์เพื่อที่จะไปพูดคุยกับเบทต้า
แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในจัตุรัสเขาก็เห็นเบทต้ากำลังเดินมาทางเขาพอดี
พวกเขาเจอกันและพากันไปนั่งในร่ม
“สรุปเป็นยังไงบ้าง” โรแลนด์ถามออกมา
เบทต้าส่ายหัว “ไม่ค่อยดีนัก ผมบอกพวกเขาถึงสถานการณ์ในตอนนี้ว่ามันเลวร้ายขนาดไหน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมย้ายออกไป ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนั้นยังพยายามขอให้ผมปกป้องพวกเขาต่ออีกครับ”
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“ผมไม่รู้ว่าเขาหน้าด้านขนาดไหนถึงกล้าขออะไรแบบนั้นออกมาได้” เบทต้ากล่าวอย่างโกรธๆ
ทว่าโรแลนด์กลับไม่แปลกใจนัก “ เป็นเพราะนายเป็นคนดีไง! อย่างที่พี่เคยบอกคนดีๆมักจะถูกเอาเปรียบ พวกคนที่ยากจนและสิ้นหวังมักจะไม่อยากปล่อยโอกาสไป ดังนั้นท่าทางชายคนนั้นค่อนข้างเป็นปกตินั่นแหละ”
“ผมเป็นโอกาสงั้นเหรอ?” เบทต้าขมวดคิ้ว
“นายคือโอกาสที่พวกเขาจะสามารถก้าวออกมาจากการเป็นชนชั้นล่าง” โรแลนด์อธิบาย “ตราบใดที่นายยังปกป้องพวกเขาอยู่ พวกเขาก็จะมีอิสระที่สิ่งอื่นๆได้อีกมากมายโดยใช้อิทธิพลของนาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลายเป็นขุนนางได้ แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเหมือนอย่างตอนนี้”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเบทต้า ก็พูดว่า “ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ในชีวิตจริงพวกเราจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ตลอดเวลานั่นแหละ” โรแลนด์กล่าว “ผู้ใจบุญบางคนจ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนที่ยากจนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงวิทยาลัย นักเรียนคนนั้นจะรู้สึกขอบคุณในตอนแรกแต่ในภายหลังเขาจะเกลียดคนใจบุญคนนั้นด้วยความคิดที่ว่า ‘ทำไมคุณไม่ให้เงินฉันมากขึ้นในเมื่อคุณมีเงินตั้งมากมาย?’ บางคนถึงกับฟ้องก็มี”
เบทต้าครุ่นคิดสักครู่และจดจำข่าวที่คล้ายกันได้ เขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเนื้อหาลึกๆของมันเมื่ออ่าน
ในตอนนี้สิ่งเดียวกันนั้นได้เกิดขึ้นกับเขาทำให้เขารค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจ
โรแลนด์ยิ้มและพูดต่อว่า “จริงๆแล้วคนรุ่นก่อนๆก็ทิ้งคำสอนดีๆให้ให้เราเหมือนกัน : ถ้านายให้ข้าวแก่ชายผู้หิวโหยนายจะกลายเป็นผู้ช่วยชีวิต แต่ถ้านายให้ข้าวเขาหนึ่งถังนายจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนโดยไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติอายุหรือเพศ ถ้าฉันเป็นผู้ชายคนนั้นฉันก็พยายามจะเอาเปรียบนายเหมือนกัน!”
ในที่สุดเบทต้าก็รู้สึกดีขึ้นด้วยคำพูดของโรแลนด์เขามองไปที่ท้องฟ้าสีครามและพูดว่า “ยังไงก็เหอะครับเด็กสาวที่พวกเราช่วยไว้บอกผมแบบส่วนตัวว่าเธออยากจะออกจากเมืองนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน”
“นายมีแผนในใจบ้างรึเปล่าล่ะ?” โรแลนด์ถามเบทต้า
“ไม่มีเลยครับ” เบทต้านั้นดูสับสนเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งโรแลนด์พูดว่า “งั้นนายก็พาเธอไปกับนายสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเบทต้าก็ตาเบิกโพล่งออกมา
“นายเป็นขุนนางนะแม้ว่านายจะยังไม่มีอำนาจก็ตาม” โรแลนด์อธิบาย “เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่ขุนนางจะต้องดูแลเด็กสาว? หากพี่เดาไม่ผิดบางทีในอนาคตนายอาจจะได้ตำแหน่งและอำนาจจริงๆมาจากภารกิจบางอย่างก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเด็กสาวคนนี้ก็จะคุ้นชินกับงานและจะสามารถทำงานเป็นหัวหน้าสาวใช้ให้นายได้”
เบทต้าไอและหน้าแดง “ทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนั้นได้ละครับพี่!?”
โรแลนด์มองเขาอย่างสงสัยและพูดอย่างเหยียดหยาม “หัวหน้าสาวใช้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายนะ นายคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อยครับ!” เบทต้าปฏิเสธโดยไม่ลังเล
ฮ่าฮ่า! โรแลนด์ไม่เชื่อเขาอย่างแน่นอน
เบทต้ารีบเปลี่ยนหัวข้อ “ใช่แล้วมีคนส่งบัตรเชิญมาให้ผมเขาบอกว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยง”
“พี่ก็ได้รับมาเหมือนกัน” โรแลนด์หยิบบัตรเชิญออกจากกระเป๋ามิติและโชว์มันให้เบทต้าดู “ดูเหมือนว่าจะมีคนติดตามพวกเราอยู่สินะ”
เบทต้านำบัตรเชิญของเขาออกมาเช่นกัน บัตรเชิญของทั้งสองนั้นมีสีและการออกแบบเหมือนกัน
“ไปที่นั่นด้วยกันเถอะครับ”
“นายจะไปก็ไปเถอะ!” โรแลนด์ขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่พี่คงไม่ไป พี่ต้องไปเพราะพวกเขาส่งบัตรเชิญมาให้พี่แบบสุ่มๆงั้นเหรอ? พวกเขาไม่ให้เกรียติฉันเลยรึไง”
เบทต้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ “พี่โรแลนด์ผมได้ยินแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของพี่นะครับ”
โรแลนด์ยักไหล่ “จริงๆแล้วพี่รู้สึกว่ามันแปลกๆ บางทีงานเลี้ยงนี้อาจจะถูกจัดขึ้นมาเพื่อพวกเราสองคนก็ได้”
เบทต้ารู้สึกมึนงงไปทันที “หือ?”
“ไปกันเถอะ พี่จะแนะนำนายให้รู้จักกับผู้เล่นอีกสองคน” โรแลนด์กล่าว “หากพวกเขาไม่ได้รับบัตรเชิญสิ่งที่พี่คิดไว้น่าจะถูกต้อง”