หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 102 ฟืนเดินได้
ป้ากุ้ยฮวาและคนอื่นได้ปรึกษาเรื่องนี้กับหลินเว่ยเว่ยแล้วว่าเรื่องใดสามารถพูดได้เรื่องใดไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นพวกนางจึงรู้อยู่แก่ใจดี สำหรับคนนอกนั้น พวกนางมักจะบอกว่าตระกูลหลินขายเนื้อหมูป่าแผ่น หลังหักค่าจ้างคนงานกับต้นทุนออกแล้วจะได้กำไรอยู่ที่ 30 – 50 อีแปะ
ส่วนวิธีทำน่ะหรือ ? พวกนางปิดปากเงียบมาโดยตลอด แม้แต่พี่สะใภ้ของซัวถัวมาถาม นางก็เอ่ยแค่ว่า ข้า บอกเรื่องนี้กับท่านไม่ได้จริง ๆ เพราะข้าประทับรอยนิ้วมือในสัญญาจ้างไปแล้ว หากข้าบอกวิธีทำให้ท่านทราบ ข้าต้องชดใช้เป็นเงิน 10 ตำลึง แล้วค่าแรงวันละ 30 อีแปะของข้าก็จะหายไป ท่านจะรับผิดชอบให้ข้าหรือไม่ ?
พี่สะใภ้ฉีกยิ้มแล้วกล่าวว่านางแสนโง่เขลา ถ้าเจ้าไม่ทำที่บ้านนั้นแล้ว เราสองบ้านก็มาร่วมมือกันได้นี่ ! เจ้าลองคิดสิว่าเนื้อหมูแผ่น 1 ชั่งได้กำไรมากถึง 30 อีแปะ วันหนึ่งเราทำขายกันไม่มาก ทำสัก 20 ชั่งก็พอ แค่นี้เราก็ได้เงินเข้ากระเป๋าตั้ง 500 – 600 อีแปะแล้ว จะไปทนลำบากที่บ้านตระกูลหลินเพื่อเหตุใด วันทั้งวันได้ค่าแรงแค่ 30 อีแปะเอง
ซัวถัวมุ่ยปาก ท่านเห็นคนในตระกูลหลินโง่เขลาหรือไร ? วิธีทำไม่ยากหรอก แต่เป็นเครื่องปรุงในเนื้อหมูแผ่นต่างหาก ! นี่คือสูตรลับของตระกูลหลิน เราทำไม่เหมือนหรอก !
ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร ? แม้บ้านเราจะทำไม่อร่อยเท่าบ้านนาง แต่ขายถูกกว่าแล้วจะขายไม่ได้เลยหรือ ? พี่สะใภ้พยายามพูดให้ฟังดูดีและเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง
ซัวถัวไม่หวั่นไหว เนื้อหมูป่าแผ่นนี้เดิมทีก็มีราคาร้อยกว่าอีแปะแล้ว จะมีสักกี่ครอบครัวในเมืองที่มีเงินซื้อทาน ? คนที่จะซื้อได้ล้วนเป็นพวกคนรวยทั้งสิ้น ! พี่สะใภ้อย่าตำหนิและอย่าหาว่าข้าพูดจาไม่ดีเลย เรามีปัญญาเท่าไรก็ทำเท่านั้นดีกว่า ถ้ามีเวลาว่างมากก็ไปทำงานบ้าน อย่าเอาแต่คิดไม่ซื่ออยู่เลย
ทันใดนั้นพี่สะใภ้ของซัวถัวก็กลับบ้านด้วยความโมโหพลางร้องห่มร้องไห้แล้วคุยกับแม่สามี เพราะหวังว่าแม่สามีจะใช้ฐานะมารดามาบังคับให้ซัวถัวยอมรับปาก แต่แม่สามีไม่ใช่คนโง่เขลาจึงมักจะกล่าวว่าบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วเหมือนน้ำถูกสาดออกไป มารดาจะเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก !
เมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์มาเยือน ซัวถัวก็กลับมายังบ้านมารดาโดยนำแป้งข้าวโพด 20 ชั่ง เนื้อหมู 2 ชั่ง แล้วยังมีเสื้อผ้าอีกชุดมาให้มารดา นางจึงได้รับการต้อนรับจากคนในบ้านเป็นอย่างดี แม้พี่สะใภ้ใหญ่คนนั้นจะไม่ชอบหน้านางสักเท่าไรก็ไม่สามารถทำอันใดได้…
เวลาที่กระทะ 3 ใบใช้ทำเนื้อหมูป่าแผ่นพร้อมกัน บัณฑิตหนุ่มข้างบ้านก็ยังทำลูกท้ออบแห้งของเขาต่อไปจึงเป็นธรรมดาที่ฟืนจะถูกใช้เป็นจำนวนมาก ฟืนที่บ้านคนอื่นใช้กันได้ 10 วัน แต่บ้านตระกูลหลินสามารถใช้มันหมดภายใน 2 วันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ระหว่างการล่าหมูป่า เก็บผลไม้และผักป่า หลินเว่ยเว่ยยังมีภาระกิจเพิ่มอีกหนึ่งอย่างคือ…ผ่าฟืน
สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดในการอยู่ติดภูเขาคือฟืน เมื่อลมพัดกิ่งไม้หักแล้วมันก็ต้องตกสู่พื้นดิน หลังกลับมาจากการล่าหมูป่า นางก็สามารถเก็บฟืนกลับมาโดยไม่ต้องใช้ขวานเลย
หลินเว่ยเว่ยผ่าฟืนให้เป็นชิ้นพอดี หลังจัดเรียงให้เรียบร้อยแล้วนางก็ใช้เชือกผูกอีกทีพร้อมชั่งน้ำหนักด้วยการยก…เบาเกินไป นางจึงออกไปเก็บกิ่งไม้ลำหนามาอีกจนมันสูงเกินกว่ากองฟืนเมื่อครู่ จากนั้นนางก็แบกมันขึ้นหลังแล้วสาวเท้าลงเขาราวกับพายุ…
เอ๋ ! คุณชาย รีบดูนั่นเร็วขอรับ ! กองฟืนที่อยู่ด้านหน้ามีขางอกออกมาและมันสามารถเดินได้ด้วยขอรับ
ทางฝั่งหลินเว่ยเว่ยก็ได้ยินเสียงแสดงความประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านหลัง กองฟืนมีขาอันใดเล่า เจ้าเห็นกองฟืนบ้านใดที่สามารถเดินเองได้บ้าง ? ไม่มีสมองแล้วหรือ !
เมื่อเสียงรถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลินเว่ยเว่ยก็เบี่ยงตัวเพื่อหลีกทางให้
เอ๋ ! คุณชาย กองฟืนมีชีวิตจริงด้วยขอรับ ถึงขั้นรู้ว่าต้องหลีกทางให้…หืม ? เป็นคนแบกกองฟืนไว้หรอกหรือ เสียงโง่เขลานี้เต็มไปด้วยความผิดหวัง ! ถ้ากองฟืนมีชีวิตจริงก็ต้องดูดเอาวิญญาณเจ้าก่อนคนแรก!
หลินเว่ยเว่ยหยุดเดินและมองรถม้าที่กำลังวิ่งผ่านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คนบังคับรถม้าเป็นบ่าวรับใช้อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี หน้าตาสะอาดหมดจดแต่สมองไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไร !
คุณชายรีบดูเร็วขอรับ ! เป็นกู่เหนียงคนหนึ่ง ท่าทางยังอายุไม่มากสักเท่าไร นางตัวสูงมาก สาวน้อยในหุบเขาแรงเยอะกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ท่าทางการแบกฟืนดูเหมือนไม่ต้องใช้แรงแม้แต่น้อย
ช่วงนี้นางหวงไม่สนใจเสียงคัดค้านของหลินเว่ยเว่ยเลย เพราะนางบังคับให้บุตรสาวแต่งกายแบบสตรี โชคดีที่ชุดซึ่งนางหวงปรับแก้ให้ล้วนเป็นชุดกางเกงสมัยราชวงศ์ซ่ง เวลาใส่ขึ้นเขาจึงสะดวกกว่ากระโปรง ดังนั้นบ่าวรับใช้จึงสามารถมองออกในทันทีว่านางเป็นสตรี
หลินเว่ยเว่ยคร้านจะแสดงสีหน้าอื่นให้บ่าวรับใช้ผู้โง่เขลาคนนี้เห็น นางมองสำรวจรถม้าตั้งแต่บนลงล่าง พบว่าม้าที่ใช้ลากรถมีลำตัวสูงใหญ่…ดังนั้นเจ้านายของรถคันนี้ต้องเป็นคนมีเงินแน่นอน
ไม่เคยได้ยินว่าคนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวมีญาติเป็นเศรษฐี หรือจะมาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงกล่าวได้แค่ว่าเป็นคุณชายผู้มีอารมณ์สุนทรีจนถึงขั้นกล้ามาเที่ยวในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ !
ผ้าม่านของรถม้าถูกมือเรียวยาวและขาวผ่องเลิกขึ้น…พรึบ ! แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกผู้ดี หรือเป็นนายน้อยที่ไม่เคยผ่านงานหนักมาก่อน !
ต่อจากนั้นก็มีใบหน้าอันหล่อเหลาอ่อนโยนของคุณชายท่านหนึ่งโผล่ออกมาจากรถม้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้คนที่เห็นสัมผัสได้ถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าสำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว รอยยิ้มนี้ดูไม่ค่อยจริงใจสักเท่าไร
ชิงเยี่ยน อย่าเสียมารยาท ! หลังเสียงตำหนิบ่าวรับใช้ดังขึ้น คุณชายท่าทางอ่อนโยนก็ทำมือคำนับพร้อมรอยยิ้ม บ่าวของข้าเสียมารยาทแล้ว กู่เหนียงได้โปรดอย่าถือสา !
ไม่ถือ ไม่ถือ ! หากเป็นหลินเว่ยเว่ยในชาติก่อน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนุ่มหล่อ สุภาพและอ่อนโยนเช่นนี้ นางต้องตาเป็นประกายและต้องมองให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนี้ต่อมความคลั่งไคล้ต่อบุรุษรูปงามของนางถูกเจียงโม่หานเติมเต็มแล้ว ดังนั้นนางจึงแค่ยกยิ้มที่มุมปากและขานรับสั้น ๆ เท่านั้น
เสียงของคุณชายช่างอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ ขอถามกู่เหนียง ไม่ทราบว่าข้างหน้าคือหมู่บ้านฉือหลี่โกวใช่หรือไม่ ?
ใช่ ! คุณชายมาพบสหายหรือ ? หลินเว่ยเว่ยขยับฟืนบนบ่าเล็กน้อย
สายตาของคุณชายเหลือบมองกองฟืนบนหลังของนางแล้วกล่าวด้วยความเห็นอกเห็นใจ กู่เหนียง ถ้าอย่างไร…เจ้าวางฟืนลงก่อนดีหรือไม่ ? แล้วเราค่อยมาคุยกัน
ไม่ต้องหรอก ไม่หนักเท่าไร ! หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย
ไม่ทราบว่ากู่เหนียงรู้จักบัณฑิตนาม ‘เจียงโม่หาน’ หรือไม่ ? รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายผู้อ่อนโยนยังไม่จางหาย ในขณะที่ถามดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องมาที่ตัวนางด้วย
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าพร้อมชี้ไปยังปลายถนนสายนี้ เดินทางไปตามถนนสายนี้ บ้านหลังแรกหน้าหมู่บ้านก็คือบ้านของบัณฑิตเจียง
ขอบคุณกู่เหนียงมาก หลังคุณชายผู้อ่อนโยนขอบคุณหลินเว่ยเว่ยแล้วก็กลับเข้าไปนั่งในรถม้าอีกครา ในที่สุดสายตาของบ่าวรับใช้ก็ผละออกจากกองฟืนบนหลังของนางเสียที เพราะเขาต้องบังคับรถม้าไปยังหมู่บ้าน
หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก บัณฑิตจอมปลอม ! ต่อหน้าทำเป็นสุภาพ ประพฤติดีมีมารยาท แต่ปกปิดความรู้สึกดูแคลนเด็กสาวบ้านนอกไม่อยู่ ! หากเทียบกับบัณฑิตจอมปลอมผู้นี้แล้ว บัณฑิตหนุ่มผู้เย่อหยิ่งยังน่ารักกว่าอีก !
นางยังแบกฟืนไว้บนหลัง จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าหมู่บ้านต่อไป หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยมาถึงหน้าบ้านของตนแล้วก็นำฟืนวางไว้กับพื้นก่อน…เนื่องจากประตูแคบเกินไปนางจึงแบกพวกมันเข้าไปไม่ได้
แต่แล้วบ่าวรับใช้ที่อยู่ดูรถม้าหน้าบ้านหลังข้างๆ ก็เดินเข้ามาแล้วถือโอกาสตอนที่นางไม่เห็นแอบเลียนท่าทางของนาง เขายกฟืนกองนั้นขึ้น…ทว่ามันไม่ขยับแม้แต่น้อย บ่าวรับใช้ไม่เชื่อว่าตนจะทำไม่ได้จึงทุ่มสุดตัวและออกแรงสุดกำลัง พอวางศักดิ์ศรีของตนลงแล้วก็พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี ทว่ากองฟืนก็เหมือนหยั่งรากฝังดินไปเสียแล้วเพราะมันไม่ขยับเลยสักนิด