หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 104 จี้หยกแสดงฐานะ
ในยามที่ก้าวเท้าเข้าประตูบ้านตระกูลเจียงมานั้น เฝิงชิวฟานก็เห็นลูกท้ออบแห้งเต็มลานบ้านแล้ว เขาคาดไม่ถึงว่าอัจฉริยะเจียงที่ดูเย่อหยิ่งมาโดยตลอดจะทำธุรกิจการค้าที่บ้านเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ได้สูงส่งอย่างที่แสดงออกมาเลย !
แม้ในใจจะนึกดูแคลน ทว่าสำหรับเฝิงชิวฟานที่ปกปิดความรู้สึกเก่งแล้วจะแสดงออกมาได้อย่างไร ? เขาหยิบลูกท้ออบแห้งชิ้นหนึ่งเข้าปาก หลังลองลิ้มรสอย่างละเอียดแล้วก็ปรบมือและเอ่ยชมว่า “วิเศษ ! ภายนอกมีสีสันสวยสด เปล่งประกายราวกับอำพัน รสชาติเปรี้ยวอมหวานประสานกำลังดี วิเศษเลย ! ศิษย์น้อง ลูกท้ออบแห้งนี้มีคุณภาพยิ่งกว่าในเมืองอีก ! ”
“ถ้าศิษย์พี่ชอบ ประเดี๋ยวก็ห่อกลับไปให้คนที่บ้านชิมสักห่อเถิด” เจียงโม่หานยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าจิบชาของตน
หลังกินลูกท้ออบแห้งได้ 2 ชิ้น เฝิงชิวฟานก็เงยหน้ามองเจียงโม่หานราวกับมีบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ก็เลือกไม่พูดออกมา
เจียงโม่หานเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่เฝิงอยากพูดสิ่งใดก็พูดออกมาเถิด”
เฝิงชิวฟานดูลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ได้ยินท่านอาจารย์ฟานบอกว่าศิษย์น้องไม่คิดเข้าร่วมการสอบเยวี่ยนซื่อในปีหน้าหรือ ? ”
เจียงโม่หานเผยท่าทีเศร้าสร้อยและค่อยๆ ถอนหายใจ “ท่านหมอบอกว่าศีรษะของข้าได้รับความกระทบกระเทือนหนัก ต้องใช้เวลาพักรักษาตัวปีครึ่ง ไม่เช่นนั้นจะมีอาการเวียนศีรษะและปวดศีรษะเรื้อรัง…”
เฝิงชิวฟานก็ทำหน้าตาเศร้าหมอง “น่าเสียดาย ! เพราะศิษย์น้องคือความหวังในการสร้างเกียรติยศให้แก่สำนักศึกษาของเรา ! ”
“ศิษย์พี่อย่าเอ่ยเช่นนี้เลย ในอำเภอเป่าชิงมีพยัคฆ์ซุ่มซ่อน มังกรเร้นกายอยู่มากมาย ตัวข้ามีความรู้ต่ำต้อย ไม่กล้าเป็นความหวังในการสอบชิงตำแหน่งเจี้ยหยวน1หรอก” เมื่อชาติก่อนเฝิงชิวฟานก็พูดเช่นนี้ ดูเหมือนเชื่อมั่นและตั้งความหวังไว้กับเขา แต่ในความเป็นจริงกลับสร้างศัตรูตัวฉกาจให้เขาไม่น้อย ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตในสำนักศึกษาอย่างยากลำบาก
เฝิงชิวฟานคาดไม่ถึงว่าตนออกไปท่องเที่ยวแค่ 3 เดือน นิสัยของเจียงโม่หานผู้เย่อหยิ่งก็เปลี่ยนได้ถึงเพียงนี้ หรือหลังจากโดนทำร้ายแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเปลี่ยนได้จริง ?
“ศิษย์น้องอย่าถ่อมตนไปเลย โชคดีที่ยังมีสอบอีก 2 ครั้งติด ปีหน้าสอบไม่ทันก็สะสมความรู้ก่อน ข้าเชื่อว่าในปีถัดไปศิษย์น้องจะต้องสอบได้อันดับต้น ๆ แน่นอน ! ” เฝิงชิวฟานปลอบเจียงโม่หานผู้ ‘สิ้นหวัง’
แต่แล้วเฝิงชิวฟานก็หยุดพูดไปชั่วขณะแล้วจึงพูดต่อ “ศิษย์น้อง พวกเรามีวาสนาได้มาคบหากัน หากเจ้ามีปัญหาอันใดก็บอกศิษย์พี่ได้เลย ! ”
แม้ในสำนักศึกษา เจียงโม่หานจะมีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นแต่ก็เป็นบัณฑิตที่ยากจน ดังนั้นแม้ในวันธรรมดาก็ต้องประหยัด พู่กันหนึ่งด้ามถ้าขนตรงปลายพู่กันเกือบไม่มีแล้ว เขาก็ยังทำใจเปลี่ยนด้ามใหม่ไม่ได้ ชุดบัณฑิตก็ซักจนสีซีดแต่เขาก็ยังใช้อยู่อย่างนั้น หลังเลิกเรียนเขายังแอบไปคัดลอกตำราในร้านหนังสือเพื่อหาเงินมาซื้อสี่สุดยอดสมบัติในห้องหนังสือ2
เจียงโม่หานยังเป็นคนรักศักดิ์ศรี หากมีผู้ใดออกหน้าช่วยเหลือ เขาก็จะรู้สึกราวกับโดนตำหนิอย่างแรงและในเวลาเดียวกันก็จะทำหน้าบึ้งตึงแล้วเดินหนีไปทันที จากนั้นก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีก ตอนที่เฝิงชิวฟานเอ่ยประโยคนี้ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะสะบัดหน้าหนีแล้วไล่ตนออกไปเสียจริง !
“ในเมื่อศิษย์พี่เอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว ข้าก็ไม่เกรงใจ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะให้ข้ายืมเงินสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะคืนให้สามเดือนหลังจากนี้ ! ” ดูเหมือนว่าเจียงโม่หานกำลังรอคำพูดประโยคนี้อยู่ด้วยซ้ำ เขาจึงเอ่ยปากโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เฝิงชิวฟานอ้าปากค้างพลางมองเจียงโม่หาน…ไม่ ไม่ถูกต้อง ! ถ้าเป็นอัจฉริยะเจียงหรือเจียงโม่หานเมื่อสามเดือนก่อน แม้ที่บ้านจะเผชิญความลำบากเพียงใดก็ต้องปั้นหน้าบอกว่าสบายดีและไม่ยอมรับความช่วยเหลือเด็ดขาด ดังนั้นการขอยืมเงินตรง ๆ เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน !
เขาเหลือบมองกองห่อยาบนโต๊ะแล้วเริ่มมีความคิดบางอย่างขึ้นมา…เจียงโม่หานบาดเจ็บที่ศีรษะ จำเป็นต้องกินยานานแรมปี ในบ้านก็มีแค่มารดาที่ร่างกายอ่อนแอ แม้ยอมให้มารดาขายผลไม้อบแห้ง แต่ก็ไม่น่าจะพอจ่ายค่ายา…
หลังนึกถึงเรื่องการบำรุงสมองมากมายก็เป็นธรรมดาที่เฝิงชิวฟานจะเข้าใจผิดว่าเจียงโม่หานคิดเช่นนั้นจริง ถ้าอยากสอบติดซิ่วไฉก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้หายโดยไว หากไม่มีเงินแล้วจะซื้อยาบำรุงได้อย่างไร ? แม้เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี แต่พอเผชิญกับความจริงแล้ว สุดท้ายก็ต้องจำใจยอมก้มศีรษะอยู่ดี !
“ศิษย์น้องต้องการเท่าไหร่ ? ” แววตาที่เฝิงชิวฟานมองไปยังเจียงโม่หานแฝงไว้ด้วยความสงสารเล็กน้อย
เจียงโม่หานนึกเย้ยหยันอยู่ภายในใจและตอนที่เขาเอ่ยออกมาก็ไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย “เช่นนั้นข้าขอไม่เกรงใจแล้ว ไม่ทราบว่าจะขอยืมสัก 300 ตำลึงได้หรือไม่ ? ”
3…300 ตำลึงเชียวหรือ ? หมอจ่ายยาอันใดถึงได้แพงเช่นนี้ ? บัณฑิตเจียงคงไม่โดนหมอใจดำขูดรีดเอาหรอกกระมัง ? แต่ก็พูดเถิด บางทีคงเพราะอาการบาดเจ็บของเขาสาหัสจึงจำเป็นต้องใช้ยาอย่างดี
เฝิงชิวฟานอดกลั้นต่อความเจ็บปวดและความฝืนใจเอาไว้พร้อมกันนั้นก็หยิบตั๋วเงิน 300 ตำลึงออกมา…นี่คือเงินกว่าครึ่งที่เขาจะเอาไว้ใช้ในอีกสามเดือนข้างหน้า ดังนั้นหากให้ยืมแล้ว เงินในมือของเขาก็จะมีจำกัด เขาคงไม่สามารถเชิญสหายทั้งหลายมาร่วมสังสรรค์หรือแลกเปลี่ยนความรู้ได้อีก
“ศิษย์พี่ช่างเป็นผู้มีคุณธรรม ข้าต้องคืนให้ท่านอย่างช้าที่สุดสามเดือนแน่นอน ! ” เจียงโม่หานรับตั๋วเงินมาด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าเงินของตน
ดวงตาของเฝิงชิวฟานมองตามตั๋วเงินแต่ปากกลับพูดออกมาว่า “ศิษย์น้องใช้เถิด ไม่ต้องรีบคืน อ้อ ใช่…ได้ยินว่าในมือศิษย์น้องมีจี้หยกเนื้อดีอยู่หนึ่งชิ้น…”
เจียงโม่หานก้มหน้าลง ขณะเดียวกันรอยยิ้มก็จางหายไป เมื่อชาติก่อนตอนที่เขายากลำบากและหมดหนทางถึงที่สุดเฝิงชิวฟานเป็นเพียงผู้เดียวที่มาหาเขาในยามนั้น
ตอนนั้นเฝิงชิวฟานก็เป็นเหมือนตอนนี้คือเอ่ยปากหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เอง ตัวเขาก็กำลังรีบหาเงินสักก้อนมาซื้อโลงศพให้มารดาเพื่อจะทำพิธีฝังศพอย่างเหมาะสม ทว่าก็ทิ้งศักดิ์ศรีไปขอยืมเงินผู้อื่นไม่ลง เขาจึงนำจี้หยกที่สามารถพิสูจน์ฐานะและเป็นสมบัติสืบทอดของบรรพบุรุษออกมาแลกเงิน 200 ตำลึงกับเฝิงชิวฟาน…
ที่ต่างออกไปคือเมื่อชาติก่อนตัวเขาเป็นคนเสนอให้ใช้จี้หยกมาแลกเปลี่ยน ทว่าตอนนี้…เป็นเฝิงชิวฟานที่เอ่ยขึ้นก่อน…ทำให้เขาอดรู้สึกระแวดระวังไม่ได้
เขาหยิบจี้หยกออกมาแล้วยื่นให้เฝิงชิวฟานได้ชื่นชม ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ถามหยั่งเชิงอีกสองสามประโยค แต่แล้วก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้คุณค่าและความหมายของจี้หยกนี้จริง เขายังจำได้ว่าเฝิงชิวฟานเป็นคนชอบหยกโบราณมาโดยตลอด บางทีอาจแค่อยากดูเพื่อเติมเต็มความชอบเท่านั้น
ขณะมองท่าทางทะนุถนอมหยกดุจของรักที่เฝิงชิวฟานแสดงออกมา เจียงโม่หานก็อดนึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้ เฝิงชิวฟานอยากช่วยเหลือจริงๆ จึงเดินทางมาหาที่ฉือหลี่โกว หรือ…เฝิงชิวฟานรู้ดีว่าเขาไม่มีทางรับความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาจากสหายจึงตั้งเป้าหมายจะมาเอาจี้หยกอันล้ำค่าไปเป็นของตนกันแน่ ?
“ศิษย์น้อง หากบรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้เป็นขุนนางคนสำคัญก็ต้องเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย…แค่กแค่ก ! ”
เฝิงชิวฟานกลัวจะเผยโอกาสบางอย่างแก่เขาจึงแกล้งไอออกมาสองสามครา จากนั้นจึงพูดต่อ “หยกชิ้นนี้คือหยกขาวมันแพะชั้นดี เนื้อเนียนละเอียด หากสวมใส่เป็นเวลานานจะเพิ่มความอบอุ่นให้ผู้สวมใส่ได้ ในมือศิษย์พี่ก็มีหยกขาวมันแพะอยู่หลายชิ้น แต่ถึงจะเอามารวมกันก็ยังไม่มีค่าเท่าของศิษย์น้องชิ้นเดียวเลย ถ้าศิษย์น้องจะปล่อยออกก็อย่าว่าแต่ 300 ตำลึงเลย ต่อให้เป็น 3,000 ตำลึงก็ย่อมมีคนซื้อ ! ”
เจียงโม่หานเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปกปิดความหลงใหลในหยกจึงเริ่มมั่นใจในความคิดเมื่อครู่ของตน จากนั้นก็รับจี้หยกในมือที่ไม่อยากปล่อยของเฝิงชิวฟานมาถือไว้พลางกล่าวขอโทษพร้อมรอยยิ้ม “ท่านแม่บอกว่าจะนำจี้หยกชิ้นนี้ไปเป็นสินสอดโดยยกให้เป็นของขวัญแก่ลูกสะใภ้ในอนาคต ถ้าเปลี่ยนเป็นของชิ้นอื่น ข้าคงยกให้ท่านไปแล้ว…”
1 เจี้ยหยวน คือ ผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบระดับมณฑล
2 สี่สุดยอดสมบัติในห้องหนังสือ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก