หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 105 ไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษ
“ศิษย์น้องอย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย ศิษย์พี่ไม่กล้าและไม่มีทางแย่งของรักผู้อื่นด้วย” แม้เฝิงชิวฟานในอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าในดวงตาของเขาแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจี้หยกจนไม่ขยับเขยื้อนไปทางใดแม้แต่น้อย
ส่วนเจียงโม่หานก็เก็บจี้หยกอย่างมีความสุข…เจ้าชอบมากหรือ ? ชอบไปก็เปล่าประโยชน์ จงกระวนกระวายต่อไปเถิด !
แค่กแค่ก ! ต้องเคร่งขรึม ! ต้องหนักแน่น ! เขาต้องติดโรคมาจากนางเด็กอ้วนตัวแสบแน่นอน !
“น้าเฝิง บ้านท่านมีแขก ท่านแม่จึงให้ข้านำเนื้อแผ่นมาให้หนึ่งจาน” คุณชายหนิงเคยพูดไว้ว่าเนื้อหมูป่าแผ่นของนางแสนยอดเยี่ยม แม้แต่เศรษฐีในตัวอำเภอยังใช้เป็นของว่างในการรับแขก !
เจียงโม่หานมองลอดหน้าต่าง สายตาจับผิดของเขาหยุดอยู่ที่สาวน้อยร่างสะโอดสะองในลานบ้าน…เป็นเด็กซุกซนเช่นไรก็ยังเป็นเด็กซุกซนอยู่วันยังค่ำ แม้จะใส่ชุดของสตรีก็ยังดูแก่นแก้วอยู่ดี ! แต่ดูเหมือนเด็กตัวเหม็นจะผอมลง เพราะชุดที่ป้าหวงแก้ให้เมื่อครึ่งเดือนที่แล้วดูตัวโคร่งไปเลย !
นางทั้งออกไปล่าสัตว์ หาของป่าแล้วยังต้องดูแลรดน้ำพืชในแปลงนาอีก นางต้องทำแต่งานที่ใช้แรงทั้งนั้น ไม่ผอมก็แปลกเพราะนี่เป็นงานหนักทั้งสิ้น ! แต่นางไม่ได้อดอยากหรือขาดแคลนอันใดเสียหน่อย ไม่รู้จะขยันทำงานไปเพื่อเหตุใด ?
“หืม ? นี่ไม่ใช่กู่เหนียงที่ช่วยบอกทางให้ข้าหรอกหรือ ? ที่แท้เจ้าสองคนก็รู้จักกัน ! ” อาการประหลาดใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเฝิงชิวฟาน
เหลวไหล ไม่รู้จักแล้วจะบอกทางให้เจ้าได้อย่างไร ? เจ้าแซ่เฝิงคงไม่ได้โง่เหมือนบ่าวของตนกระมัง ?
หลินเว่ยเว่ยมองผ่านหน้าต่างจึงพบว่าบัณฑิตรูปงามสองคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง คนหนึ่งแสนอบอุ่น อ่อนโยนและสุภาพเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนอีกคนเหมือนสายธารน้ำแข็ง แม้หล่อเหลาแต่ก็เยือกเย็นสุขุม ทว่านางยังชอบ…บัณฑิตหนุ่มผู้หยิ่งยโสและรูปงามข้างบ้านมากกว่า !
ทันใดนั้นใบหน้าของเจียงโม่หานก็ดูเย็นชาขึ้นมา…เห็นคนแปลกหน้าแล้วยังยิ้มหน้าบานได้ถึงเพียงนี้ ใกล้จะเห็นฟันกรามอยู่แล้ว ไม่รู้จักเจียมตัว ไม่รักนวลสงวนตัวเอาเสียเลย !
ในช่วงเวลาเดียวกันดวงตาของเฝิงชิวฟานก็เป็นประกายขึ้นพอสมควร เขาสะบัดพัดในมือพลางกล่าวว่า “แม้ผ้าป่านก็ยังบดบังรัศมีไม่ได้ โดยเฉพาะรอยยิ้มนั้นช่างดูโดดเด่นยิ่งนัก คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในชนบทเช่นนี้จะมีสาวงามอยู่ด้วย ! ”
“ศิษย์พี่ การเอ่ยถึงรูปโฉมของสตรีไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษ ! ” เจียงโม่หานขมวดคิ้วแล้วเหลือบตามองเฝิงชิวฟาน เจ้าหมอนี่เจ้าชู้เสียจริง เมื่อชาติก่อนก็รับอนุภรรยาถึงเจ็ดแปดคน ไม่กลัวร่างกายจะพังบ้างเลยหรือ ! ทว่าไม่ได้ชอบสตรีที่มีรูปโฉมงดงามหรอกหรือ ? เหตุใดจึงหันมาสนใจเด็กตัวเหม็นคนนี้ได้ ?
นางเด็กตัวเหม็นน็นเเ็เฌหลินเว่ยเว่ยชี้เนื้อแผ่นในมือของตน จากนั้นก็ทำปากพูดกับบัณฑิตหนุ่มว่า ‘นี่คือเนื้อกวางแผ่นเชียวนะ ข้าทำดีใช่หรือไม่ ? ’
บัดนี้ราคาเนื้อกวางแผ่นในตัวอำเภออยู่ที่ 1 ตำลึงต่อ 1 ชั่งและไม่ได้แปลว่าจะหาซื้อได้ด้วย แต่นางเอามาให้บัณฑิตหนุ่มต้อนรับแขก นี่เป็นการให้หน้าเขาใช่หรือไม่ ? แต่เขาไม่ได้คิดเช่นเดียวกับที่นางคิด เขาจึงขมวดคิ้วและถลึงตาใส่นาง ‘เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้ากล้ายกจานเนื้อแผ่นนี้ออกไป ? ’
เจียงโม่หานสาวเท้าเดินออกมาและใช้แรงแย่งเนื้อแผ่นไปจากมือของนาง ต่อจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ขอบใจ กลับไปได้แล้ว ! ”
เฝิงชิวฟานก็เดินออกมาด้วย ใบหน้าของเขาเปื้อนด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นผิดกับท่าทางของเจียงโม่หานเสียลิบลับ “กู่เหนียง พบกันอีกแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายคือการฉีกยิ้มแบบมืออาชีพ “จริงด้วย ! ที่แท้คุณชายก็เป็นสหายของบัณฑิตน้อย ข้าเสียมารยาทแล้ว ! ”
เจียงโม่หานก้าวออกไปด้านข้างเพื่อขวางสายตาของทั้งสองคนเอาไว้ ต่อจากนั้นก็เอ่ยไล่นางอย่างไม่เกรงใจ “เจ้ายุ่งมากไม่ใช่หรือ ? กลับไปทำงานสิ ! ”
หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปากแล้วแยกเขี้ยวใส่ทันที ความคิดของเจ้าเป็นอย่างไร ? ข้าแค่เอาเนื้อกวางแผ่นมาส่งให้แต่เจ้าทำเหมือนข้าเป็นลูกหนี้เสียอย่างนั้น สู้เอาเนื้อกวางแผ่นในมือข้าให้สุนัขกินยังดีเสียกว่า !
แต่เมื่อหันมาเผชิญหน้ากับเฝิงชิวฟาน ใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มอีกครา “ข้าไม่รบกวนคุณชายกับบัณฑิตน้อยแล้ว ข้าขอตัวก่อน ! ”
“ตามสบายเถิดกู่เหนียง…” เฝิงชิวฟานเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มในดวงตาที่จมดิ่งลงไปกว่าเดิม
พอหลินเว่ยเว่ยหันหลังกลับไปแล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันทีทันใด รอยยิ้มดั่งเสี้ยวพระจันทร์ที่มีความสุขเปลี่ยนเป็นกลอกตาอย่างแรง…บัณฑิตน้อยตัวแสบ เจ้ารอข้าก่อนเถิด !
ขณะมองแผ่นหลังที่กระฉับกระเฉงของนาง เฝิงชิวฟานก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “กู่เหนียงคนนี้น่าสนใจดี ที่นางเรียกเจ้าว่า ‘บัณฑิตน้อย’ มีเรื่องอันใดกันหรือไม่ ? ”
“จะมีเรื่องอันใดได้อีก ก็แค่คำเรียกเท่านั้น ! ” เจียงโม่หานไม่อยากเอ่ยถึงหัวข้อที่มีเด็กตัวแสบเกี่ยวข้องอีกแล้วจึงเปลี่ยนมาถามเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวในครานี้ของอีกฝ่ายแทน
เฝิงชิวฟานถอนหายใจ “ทางเหนือเจอกับภัยแล้ง ทว่าพวกเรายังดีหน่อยเพราะช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังมีฝนตกมาสองห่า มีพื้นที่ไม่น้อยไร้หิมะหรือฝนตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว ถ้า 2 เมือง 6 อำเภอทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ได้ราชสำนักช่วยไว้ทัน ป่านนี้ก็คงหิวโซหรือขายลูกขายหลานเพื่อแลกอาหารนานแล้ว ! ”
เจียงโม่หานก้มหน้าลง “เมืองจงโจวของพวกเราก็ลำบากเหมือนกัน ไม่กี่อำเภอที่อยู่ใต้อำนาจนอกจากอำเภอจิงหยุน อำเภอฝูอันและอำเภอเป่าชิงของพวกเราที่มีฝนตกในฤดูร้อนแล้ว ที่เหลือก็ประสบภัยแล้งทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างหมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้วกัน เนื่องจากภูเขาในแถบนี้มีแหล่งน้ำที่ไม่มีวันแห้ง พวกชาวบ้านจึงพากันไปหาบน้ำมาใช้ทั้งวันทั้งคืน ทว่าผลผลิตทางการเกษตรก็ยังได้แค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงพื้นที่อื่นเลยเพราะได้ผลผลิตแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น”
เฝิงชิวฟานที่เป็นห่วงบ้านเมืองจึงกล่าวขึ้นว่า “ใช่สิ ! ถ้าราชสำนักไม่ยกเว้นภาษีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็คงมีราษฎรไม่น้อยต้องขายบุตร แยกจากภรรยาและครอบครัวแตกแยก ! ศิษย์น้อง ข้าวในบ้านเจ้ายังมีเพียงพอหรือไม่ ? ”
“ข้าขอไม่ปิดบังศิษย์พี่ ที่ข้ายืมเงินจากท่านก็เพื่อซื้อข้าวมากักตุนนั่นเอง ท่านก็รู้ว่าบ้านข้าไม่มีที่นา ตอนนี้ราคาข้าวยังเพิ่มขึ้นอีก หากไม่ได้คนมีคุณธรรมเยี่ยงศิษย์พี่ ฤดูหนาวปีนี้…” เจียงโม่หานค่อย ๆ ส่ายหน้าและถอนหายใจ
เฝิงชิวฟานคาดไม่ถึงว่าเจียงโม่หานจะระบายสถานการณ์ของตนให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา เพราะสำหรับเจียงโม่หานผู้หยิ่งทะนงและทำตัวสูงส่งในอดีต ไม่มีทางเอ่ยเช่นนี้แน่นอน เขาจึงอดมองเจียงโม่หานด้วยสายตาประหลาดใจไม่ได้
เจียงโม่หานส่ายศีรษะแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “หลังจากที่ข้าเดินออกมาจากประตูนรกก็เพิ่งได้สติ…เมื่อเทียบกับ ‘การมีชีวิต’ แล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นมายา ! ”
การได้รับบาดเจ็บตรงศีรษะไม่ใช่การเดินผ่านประตูนรกหรือไร การที่นิสัยจะเปลี่ยนหลังเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงก็ใช่ว่าไม่มีในโลก ! บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเจียงโม่หาน เฝิงชิวฟานมองเขาพร้อมสายตาหยั่งเชิง
ในสำนักศึกษา หากอาจารย์ฟานชื่นชมเจียงโม่หาน เช่นนั้นอาจารย์ตู้ก็ลำเอียงรักเฝิงชิวฟาน เพราะอาจารย์ตู้เคยวิจารณ์นิสัยเจียงโม่หานผู้เป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ให้เฝิงชิวฟานฟังมาก่อน โดยบอกว่ามีนิสัยรักสันโดษและเข้าถึงยาก ทั้งยังไม่มีครอบครัวคอยสนับสนุน ในอนาคตหากเดินบนเส้นทางขุนนางแล้ว เขาก็ต้องเดินด้วยความยากลำบากแน่นอน
อาจารย์ตู้ปฏิบัติต่อเฝิงชิวฟานเหมือนศิษย์เอกของตนจริง ๆ ไม่เพียงทุ่มเทอบรมสั่งสอน ยังสอนวิถีแห่งมนุษย์ วิถีแห่งขุนนางให้ด้วย ดังนั้นเฝิงชิวฟานจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาเสมือนปลาได้น้ำ นอกจากเขาจะเป็นคนใจกว้างและออกไปท่องเที่ยวเก็บประสบการณ์ข้างนอกแล้ว ยังเป็นเพราะเขาได้รับความรักและความเคารพอย่างกว้างขวาง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระด้วย
หลังสนทนากันไปมา เวลาก็ล่วงมาถึงเที่ยงวัน ระหว่างท่องเที่ยวเฝิงชิวฟานเคยเจอกับครอบครัวหลากหลายรูปแบบ เช่น การทานอาหารสองมื้อต่อวัน ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็มีวิถีชีวิตเช่นนั้น เมื่อวันนี้เขามาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าจึงกังวลว่าตระกูลเจียงจะไม่ได้เตรียมตัว ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะบอกลา