หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 11 อยากเอาเปรียบข้าหรือ ไม่มีทาง
ตอนที่ 11 อยากเอาเปรียบข้าหรือ ไม่มีทาง !
“วางเนื้อของข้าลงเดี๋ยวนี้ ! นั่นเป็นของครอบครัวข้า ! ” แม้ดวงตาของเจ้าหนูน้อยยังเอ่อไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่าเขาก็กล้าหาญจนเข้ามาขวางหญิงวัยกลางคนหน้าตาเจ้าเล่ห์ผู้นี้ไว้ ราวกับแม่สุนัขจิ้งจอกขวางเสือที่จะมาทำร้ายลูก
นางหวงได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินออกมาอย่างอ่อนแรง บุตรสาวคนโตจึงรีบวิ่งไปหามารดาแล้วย้อนถามหญิงวัยกลางคนเสียงแผ่ว “พวกเจ้าคิดทำอันใด? ของเหล่านี้ครอบครัวข้าซื้อกลับมาทั้งนั้น จะมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนได้เช่นไร?”
“ครอบครัวเจ้ายอมอดอยากเพื่อเก็บหอมรอมริบไว้ให้น้องชายได้เรียนหนังสือ นอกจากช่วงฉลองเทศกาลปีใหม่แล้วครอบครัวเจ้าก็มักทานบะหมี่ทั่วไป เหตุใดจู่ ๆ สามารถซื้อเส้นหมี่ขาวชั้นดีมาได้มากมายและทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็ยังซื้อเนื้อมากิน ! พวกเจ้าไปเอาเงินมาจากที่ใด ? ” หญิงวัยกลางคนยิ้มเยาะในขณะกล่าวออกมา
บุตรสาวคนโตได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงเรื่องที่น้องสาวผู้โง่เขลาซ่อนหมูป่าเอาไว้ ในใจพลันนึกได้ว่าไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ดังนั้นนางจึงกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “แล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสงสัยว่าครอบครัวของข้าเอาเงินมาจากที่ใด ? ”
“พี่น้องทุกท่านมาถึงบ้านข้าเช่นนี้มีธุระใดหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนเดินมาตรงหน้าแล้วยกกำปั้นขึ้นคารวะพลางถามหญิงวัยกลางคนอย่างนอบน้อม
ผู้ใหญ่บ้านเห็นหลินจื่อเหยียนออกหน้าจึงพูดอย่างวางมาดว่า “มีชาวบ้านบอกว่าครอบครัวเจ้ามีสิ่งที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไหนแต่ไรมาหมู่บ้านฉือหลี่โกวของพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสมถะ มิเคยมีผู้ใดลักเล็กขโมยน้อย ! ”
ทันใดนั้นในแววตาของหลินจื่อเหยียนก็เผยความประชดประชันออกมาพร้อมพูดย้อนผู้ใหญ่บ้านไปว่า “ผู้ใหญ่บ้าน การตัดสินคดีความของทางการยังต้องใช้หลักฐานมาพิสูจน์ ! ไม่มีผู้ใดสรุปคดีทั้งที่ยังมิอาจพิสูจน์ความจริงได้หรอก ! ”
หญิงวัยกลางคนได้ยินก็เถียงกลับคอเป็นเอ็น “ก็เจ้าอ้วนซานของบ้านข้าไงเล่า ไหนจะพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านอีก พวกเขาต่างก็เห็นกันทั้งนั้น หรือว่านี่ยังมิใช่สิ่งที่พิสูจน์ได้ ? ”
หลินจื่อเหยียนยังย้อนถามด้วยท่าทีสุขุม “เห็นสิ่งใดหรือ ? ”
“ก็เห็นว่าเจ้าเด็กโง่แบกของเหล่านี้แล้ววิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วไงเล่า ! ข้าจึงสงสัยว่าหากนางไม่ได้ขโมยก็คงไปดักปล้นใครเขามา ! ” มารดาของเจ้าอ้วนซานยกมือเท้าสะเอวแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจประดุจว่าจับผู้ร้ายได้
นางหวงทั้งรู้สึกร้อนใจและโมโหในเวลาเดียวกันจึงทำให้ร่างกายสั่นเทาจนยืนเอนเอียง “ลูกรองของข้ามิเคยขโมยของ นางไม่ได้ไปขโมยมาแล้วก็มิได้ปล้นผู้ใดทั้งนั้น ! ”
“พี่ใหญ่ ท่านประคองท่านแม่กลับเข้าในบ้านเถิด ! ที่นี่ยังมีข้าอยู่ มิต้องกังวล ! ” ตั้งแต่โบราณมีคำกล่าวที่ว่าบุตรชายของครอบครัวที่ยากจนต้องเป็นผู้มีความรับผิดชอบและหนักแน่นตั้งแต่เยาว์วัย หลินจื่อเหยียนเพิ่งมีอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น แต่เขาต้องมารับผิดชอบทุกสิ่งในครอบครัวเสียแล้ว “ผู้ใหญ่บ้าน ก่อนที่ทางการจะตัดสินคดีต้องให้โอกาสนักโทษได้โต้แย้งใช่หรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนมองไปยังผู้ใหญ่บ้านที่ปล่อยให้มารดาของเจ้าอ้วนซานพูดปาว ๆ อย่างถือวิสาสะ ภายในใจของเขาก็เกิดไฟโทสะปะทุขึ้นมา นี่ถือเป็นการรังแกพวกตนมิใช่หรือ ? เพราะในครอบครัวไม่มีท่านพ่อคอยปกป้องถึงได้มารังแกกันเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? ดังนั้นเขาจึงยืดตัวตรงแล้วมองไปยังผู้ใหญ่บ้านด้วยความโมโห !
ผู้ใหญ่บ้านมองเด็กหนุ่มที่กำลังจ้องมาราวกับสิงโตหนุ่ม เขาจึงกระตุกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็ให้ลูกสาวคนรองของนางหวงมาอธิบายเรื่องนี้”
“ผู้ใดเรียกหาข้า ? หลีกไป เจ้าหลีกไปสิ ! เจ้าขวางทางข้าอยู่ ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้แรงที่มีอย่างมหาศาลแหวกฝูงชนเข้ามาและในตอนที่นางเดินผ่านมารดาของเจ้าอ้วนซานก็จงใจสะบัดไหล่ของตนจึงทำให้เลือดที่ชุ่มตัวกวางกระเด็นไปโดนอีกฝ่าย
“พวกเจ้ากำลังทำอันใด ? ถือโอกาสตอนข้าไม่อยู่มารังแกน้องชายของข้าใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยจงใจใช้ถ้อยคำที่เหมือนอันธพาลย้อนถามพวกเขาเหล่านั้น ทั้งยังเชิดอกใส่มารดาของเจ้าอ้วนซานอีกด้วย
แม้ว่านางควบคุมแรงแล้ว ทว่ามารดาของเจ้าอ้วนซานยังเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวพลันขาอ่อนแรงล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
“นางตีข้า เจ้าเด็กโง่ผู้นี้ทำร้ายข้าแล้ว ! ” มารดาของเจ้าอ้วนซานตีที่ต้นขาของตนแล้วคร่ำครวญขึ้นมา
“เจ้าใส่ร้ายผู้อื่นให้มันน้อยหน่อย ! มีคนมองอยู่ตั้งมากมาย เจ้าคิดว่าพวกเขาตาบอดหรือไร ? สองมือของข้ากำลังแบกสัตว์ป่าที่ล่ามาอยู่ หรือเจ้าคิดว่าข้ามีมือที่สามงอกออกมาตีเจ้าได้หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยวางกวางที่ล่ามาได้ไว้บนโต๊ะหิน จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้ามารดาของเจ้าอ้วนซานพร้อมแกว่งสองมือที่ชุ่มเลือดกวางไปตรงหน้าอีกฝ่าย
ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาห้ามมารดาของเจ้าอ้วนซานที่กำลังตั้งท่าจะเอาเรื่อง จากนั้นเขาก้มลงถามหลินเว่ยเว่ยว่า “มีคนบอกว่าวันนี้เจ้าแบกวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลับมาเป็นจำนวนมาก มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ? ”
มารดาของเจ้าอ้วนซานก็ยังมิวายที่จะพูดแทรกขึ้นมา “ยังมีพวกเนื้อหมูอีกด้วย เจ้าอ้วนซานบอกว่าเป็นเนื้อก้อนใหญ่มาก เป็นเนื้อก้อนใหญ่กว่าตอนที่ครอบครัวของข้านำมาทำอาหารฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่เสียอีก ! ”
หลินเว่ยเว่ยลุกขึ้นยืนแล้วสบสายตาในระดับเดียวกับผู้ใหญ่บ้าน ชักรู้สึกพึงพอใจกับความสูงของตนในชาตินี้เสียแล้วสิ หลินเว่ยเว่ยยิ้มแสดงให้เห็นฟันขาวแล้วกล่าวว่า “ใช่ ! วันนี้ข้าซื้อเนื้อและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลับมาเพื่อทำอาหารบำรุงร่างกายให้ท่านแม่ พวกเจ้ามีปัญหาอันใดหรือ ? ”
“แล้วเจ้าเอาเงินมาจากที่ใด ? ” มารดาของเจ้าอ้วนซานชิงถามตัดหน้าผู้ใหญ่บ้าน
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่กวางบนโต๊ะหิน “ก็ไปล่ามาจากบนภูเขาไงเล่า ! ฟ้ายังมิทันสว่างข้าก็หิวจนต้องตื่นมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงขึ้นไปบนภูเขาแล้วพบหมูป่าตัวใหญ่ ตัวของมันใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวนะ ! ”
นางใช้มือทำท่าบ่งบอกว่าตัวของมันใหญ่เท่าความสูงของมารดาเจ้าอ้วนซาน “จากนั้นข้าก็ก้มไปเก็บก้อนหินก้อนใหญ่ขึ้นมาแล้วทุบหมูป่าจนตาย ! ก่อนจะนำไปขายให้หอจุ้ยเซียนซึ่งทั้งหมดนี้ลุงหวังแนะนำข้ามา ! ”
“เหลวไหล! ขนาดผู้ชายหลายคนยังไม่สามารถต้านทานกำลังของหมูป่าได้เลย แต่เจ้าใช้หินทุบมันเพียงไม่กี่ทีก็ตายแล้ว เจ้าคิดจะโกหกผู้ใดกัน ? ” ระหว่างนี้ได้มีคนถามขึ้นมาด้วยความไม่ยอม
“มันเป็นเรื่องจริง ข้ามิได้โกหก ! ข้าใช้หินก้อนใหญ่เท่านี้ทุบหัวหมูป่า ! ” หลินเว่ยเว่ยมองไปรอบลานบ้านแล้วเห็นโต๊ะหินที่มีขนาดใหญ่กว่าหินโม่แป้งถึงสองเท่า นางจึงเดินไปยกมันให้สูงท่วมศีรษะพร้อมทำท่าเหมือนจะใช้โต๊ะหินทุบลงเพื่อหลอกชาวบ้าน ทำเอาทุกคนถึงขั้นตกอกตกใจยกใหญ่จนต้องถอยห่างออกไป
“เจ้า…เจ้าวางโต๊ะหินลงเถิด วางลงเดี๋ยวนี้!” ผู้ใหญ่บ้านก็หลบไปด้านหลังเช่นกันเพราะกลัวว่านางมือลื่นจนทำโต๊ะหินหล่นทับตัวของเขา
หลินเว่ยเว่ยยกโต๊ะหินแล้วเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าวราวกับกลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่นางกล่าว จากนั้นนางก็พูดอีกครั้งว่า “มันเป็นเรื่องจริง จริง ๆ นะ ข้าใช้หินก้อนใหญ่เท่านี้ทุบที่หัวของหมูป่าจนมันตาย หัวของมันเละจนกะโหลกเปิดออกเลยล่ะ”
“พอ…พอแล้ว ! ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบวางโต๊ะหินลงก่อน ! ” ผู้ใหญ่บ้านยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วกล่าวออกมาอย่างอึกอักเพราะกลัวว่าจะไปยั่วโมโหเจ้าเด็กโง่เข้า
หลินเว่ยเว่ยวางโต๊ะหินไว้ที่เดิมแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ลุงหวังเป็นคนดีมาก หลงจู๊หานก็เป็นคนดีเช่นกัน ! ส่วนเจ้าหมูป่าก็ใช้ได้ ! มิเช่นนั้นครอบครัวข้าคงต้องพากันอดตายแล้ว ! ”
แม้นางมิได้ดูโง่เขลาเหมือนเมื่อก่อน แต่พอชาวบ้านได้ยินในสิ่งที่นางพูดด้วยท่าทีไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร พวกเขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่าอึดใจต่อมานางจะทำอันใด…
โต๊ะหินของนางต้องใช้แรงของผู้ใหญ่หลายคนถึงจะยกขึ้นได้ ทว่านางยกมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แม้แต่กวางที่ดูแล้วมีน้ำหนักกว่าร้อยชั่ง นางก็สามารถแบกขึ้นมาเหมือนมันคือปุยนุ่น พละกำลังเช่นนี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้ว หากนางเกิดบ้าขึ้นมาแล้วจะมีผู้ใดรับไหว ?
ผู้ใหญ่บ้านเคยไปถามพรานหวังมาแล้วว่าวันนี้บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินมาถามเรื่องขายสัตว์ป่าจริงและเรื่องทั้งหมดก็ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเงินที่ครอบครัวนี้นำไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารได้มาอย่างถูกต้อง ! เขายังจะกล้าเอาเปรียบพวกนางได้เยี่ยงไร ?
ผู้ใหญ่บ้านจึงถลึงตาใส่มารดาของเจ้าอ้วนซานทันที จากนั้นก็กล่าวเพียงว่ามันคือเรื่องเข้าใจผิดและหันหลังเดินออกไป
มารดาของเจ้าอ้วนซานจับจ้องไปยังกวางที่ถูกวางไว้บนโต๊ะด้วยแววตาเป็นประกาย ‘เนื้อเยอะเหลือเกิน ! เนื้อเยอะเช่นนี้ต้องทานกี่วันถึงจะหมด ! หากเนื้อพวกนี้เป็นของข้าก็คงดีไม่น้อย…’
ทันใดนั้นใบหน้าอวบอ้วนของมารดาเจ้าอ้วนซานก็โผล่มาตรงหน้าจนหน้าผากของหลินเว่ยเว่ยเกือบแตะกับหน้าผากของนางอยู่แล้ว ดวงตากลมโตของหลินเว่ยเว่ยจึงจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยความเคร่งขรึม มารดาของเจ้าอ้วนซานเห็นดังนั้นก็ตกใจจนเซถอยหลังไปอีกครั้ง
หลังจากคิดดีแล้วนางจึงแสร้งทำเป็นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง “เจ้าทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าเจ็บหน้าอกจนหายใจแทบมิออกแล้ว…หากเจ้าไม่ชดใช้ด้วยเงินก็ต้องแบ่งเนื้อให้ข้าสองสามชั่ง ! ”
ผู้ที่อยากเอาเปรียบตั้งแต่แรกพากันหนีหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ที่เหลืออยู่มีเพียงพวกชาวบ้านที่ชอบมุงดูเรื่องของผู้อื่นเท่านั้น มารดาของเจ้าอ้วนซานคิดอยากเอาเปรียบจึงใช้ข้ออ้างนี้เพื่อขอส่วนแบ่งเนื้อสัตว์จากตระกูลหลิน มารดาของเจ้าอ้วนซานเป็นคนขี้เหนียวและจิตใจคับแคบ คิดอยากขอเนื้อเปล่า ๆ ทั้งที่ไม่เกี่ยวอันใดด้วย ! พวกชาวบ้านที่มามุงดูจึงอยากรู้เหลือเกินว่าตระกูลหลินจะรับมือกับคนเช่นนี้อย่างไร !