หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 123 ชื่อเสียงจอมปลอม
ตอนที่ 123 ชื่อเสียงจอมปลอม
หลินเว่ยเว่ยยังคงย้ำขอบเขตในการทำงานอีกรอบ หลังมั่นใจว่าเขาจำได้ทั้งหมดแล้ว นางก็ปล่อยให้เขาคุมงานก่อสร้าง ส่วนตัวนางก็ออกมาดูเกวียนเทียมวัวกับบัณฑิตหนุ่ม
ระหว่างทางไปดูเกวียนเทียมวัว เจียงโม่หานก็อดถามไม่ได้ว่า “ตัวเลขที่เจ้าสอนหลิวว่ายจื่อเหล่านั้น…คงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดค้นเองใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้าลองเดาสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขาอย่างขี้เล่น
ส่วนเจียงโม่หานใช้มือข้างหนึ่งเขียนเลขอารบิกตัวหนึ่งออกมา ลักษณะเหมือนตัวเลขที่พวกผู้ใหญ่ใช้กัน ถ้าเด็กตัวแสบคิดออกมาเองจริง ๆ เช่นนั้นเขาก็ขอชื่นชมสติปัญญาของนางด้วยใจจริง แต่ถ้าไม่…นางประสบพบเจอมาจากที่ใด ? คราวนี้ไม่ใช่ความรู้สึกอยากสอบสวนหรือหวาดระแวง แต่เป็นความรู้สึกสงสัย !
เวลาใกล้เข้าสู่ช่วงเที่ยงวันแล้ว ในตลาดค้าวัวจึงมีคนไม่มาก วัวมีเพียงสองสามตัวและท่าทางผ่ายผอมจนเห็นกระดูก ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาดูไม่พอใจมาก ส่วนล่อมีถึงเจ็ดแปดตัวซึ่งพวกมันเป็นล่อที่ทำหมันแล้วทั้งสิ้น เจ้าพวกนี้มีแรงทำงานไม่เท่าวัวก็จริง แต่มันกินจุมากและให้กำเนิดล่อรุ่นต่อไปไม่ได้ด้วย ดังนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยอมเสียเงินอีกเล็กน้อยเพื่อซื้อวัวมากกว่าล่อ
หลินเว่ยเว่ยเดินเข้าไปถามราคา วัวไม่กี่ตัวทั้งผอมทั้งแก่ ราคาก็สูงจนน่าใจหาย ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ 30 ตำลึง ส่วนล่อแข็งแรงหนึ่งตัวมีราคาอยู่ที่ 18 ตำลึงเท่านั้น
หลินเว่ยเว่ยไม่ลังเลจึงเลือกล่อสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งมา นางบอกว่าล่อมีรูปร่างใกล้เคียงกับม้า ร่างกายแข็งแรงและสวยงาม กล้ามเนื้อได้สัดส่วนมีกำลัง ดวงตาอ่อนโยนและสดใสเหมาะกับนางมากเหลือเกิน
หลินเว่ยเว่ยต่อรองราคาจนเหลือ 16 ตำลึงและเมื่อนำมารวมกับเกวียนแล้วก็มีราคาอยู่ที่ 20 ตำลึง
เมื่อใช้เกวียนเทียมล่อกลับมาที่ท่าเรือก็เป็นเวลาช่วงพลบค่ำ พอเห็นเกวียนเทียมล่อแล้ว ดวงตาของหลิวว่ายจื่อก็แทบจะโดนผูกติดกับมันทันที เพราะไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตบุรุษก็คล้ายกันทั้งสิ้น ล้วนมีความหลงใหลในยานพาหนะอันเหนือจินตนาการ สำหรับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแล้ว เกวียนเทียมล่อคันหนึ่งก็ไม่ต่างอันใดจากรถยนต์แบรนด์หรู
“หลานสาว เจ้าซื้อจริงหรือ ? นี่คือล่อไม่ใช่หรืออย่างไร ? ท่าทางแข็งแรงกว่าม้าเสียอีก ! ใครเป็นคนเลือก ตาแหลมใช้ได้เลย ! ” หลิวว่ายจื่อเดินวนรอบเกวียนเทียมล่อสองสามรอบ จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบขนอันมันเงาของล่อเบา ๆ
หลินเว่ยเว่ยปีนขึ้นไปบนเกวียน จากนั้นก็พูดกับหลิวว่ายจื่อพร้อมรอยยิ้ม “อาว่ายจื่อ เลิกลูบได้แล้ว ท่านยังมีโอกาสได้เข้าใกล้เจ้าล่อนี้อีกเยอะ ! มาเถิด ถึงเวลาทดสอบทักษะการขับเกวียนของท่านแล้ว ! ”
หลิวว่ายจื่อขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับอย่างมีความสุข หลังสะบัดเชือกค่าวเบา ๆ แล้วเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ยะ ! ”
ทันใดนั้นล่อตัวสีน้ำตาลเข้มก็สะบัดหางของมันแล้วเริ่มก้าวเดินไปยังประตูเมืองอย่างมั่นคง หลังออกมาจากประตูแล้ว หลิวว่ายจื่อก็เริ่มสะบัดเชือกค่าวแรงขึ้น ล่อจึงเริ่มเปลี่ยนจังหวะมาวิ่งเหยาะ…แต่มันเคลื่อนตัวได้เร็วกว่าเกวียนเทียมวัวของหมู่บ้านด้านข้างมาก
“ช้าหน่อย ช้าหน่อย ! ” เนื่องจากเกวียนเทียมล่อสมัยโบราณทำจากไม้ ไม่ได้มี ‘โช้คอัพ’ เอาไว้รองรับแรงกระแทกแต่อย่างใด หลินเว่ยเว่ยจึงแทบล้มทับตัวบัณฑิตหนุ่ม สวรรค์ ถ้าเร็วกว่านี้ก็เกรงว่าอวัยวะภายในจะไหลไปกองผิดทิศทางเสียแล้ว
หลิวว่ายจื่อทำราวกับว่ากำลังขับรถสปอร์ตระดับไฮเอนด์ จิตวิญญาณของเขากำลังโบยบินอย่างอิสระ ไม่พูดก็คงไม่ได้ว่าเมื่อนักเลงเกิดความจริงจังขึ้นมาก็ดูได้เรื่องได้ราวไม่น้อย เขาเพิ่งเรียนรู้การขับเกวียนได้ไม่นานแต่ดูมีแววมาก หลังทำความคุ้นเคยกับมันแล้ว หลิวว่ายจื่อก็สามารถควบคุมเกวียนได้ดีและเกวียนก็เคลื่อนที่ได้อย่างราบรื่น
เมื่อเกวียนเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว พวกเด็กที่เล่นอยู่หน้าหมู่บ้านต่างก็วิ่งมาหา เวลาเจ้าหนูน้อยเล่นกับสหาย ในมือของเขาจะไม่มีตะกร้าและที่ขุดดิน…ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญของคนดูแลให้อาหารกระต่ายหลายสิบตัวในสวนหลังบ้าน !
“คนบนเกวียนคือพี่รองของข้ากับพี่โม่หาน ! ” เจ้าหนูน้อยเห็นร่างคนบนเกวียนอย่างชัดเจน เขาจึงยืดอกด้วยความภาคภูมิใจแล้วก้าวขาอวบอ้วน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเกวียนเทียมล่อ ส่วนสหายที่เล่นอยู่ด้วยก็วิ่งตามหลังเขามาพลางจับจ้องล่อตัวสูงใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินเว่ยเว่ยอุ้มเจ้าหนูน้อยที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยมือข้างหนึ่ง “น้องสี่ วันนี้เจ้าทำอันใดที่บ้านบ้าง ? ”
เจ้าหนูน้อยอยู่ท่ามกลางสายตาอิจฉาของเด็กคนอื่น เพราะในขณะอยู่บนเกวียนเขาได้ลูบโน้นลูบนี่ ดวงตาก็เปล่งประกาย ปากยิ้มไม่หุบ หลังได้ยินเช่นนั้นเขาก็ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข “วันนี้ตัดหญ้าให้กระต่ายได้ 5 ตะกร้าแล้วยังจับตั๊กแตนกับแมลงให้แม่ไก่ พี่สามยังสอนตัวอักษรให้ข้าหลายสิบตัว…วันนี้อาหารกลางวันที่พี่ใหญ่ทำไม่อร่อยเท่าของพี่รองเลย ! ”
“เด็กน้อย เจ้าพูดเช่นนี้ไม่กลัวพี่ใหญ่ได้ยินหรือ ? ” เมื่อเห็นคนในหมู่บ้านแล้ว หลิวว่ายจื่อก็รีบโบกมือทักทายชาวบ้านตั้งแต่ระยะไกลราวกับกลัวผู้อื่นไม่เห็นว่าตัวเองขับเกวียน
เจ้าหนูน้อยทำหน้าทะเล้น “ข้าพูดเรื่องจริงนี่ ไม่มีสิ่งใดที่คนอื่นฟังไม่ได้หรอก พี่รอง พี่สามบอกว่าตอนอยู่ในเมืองท่านทำปลาให้เขากิน ข้าโตถึงเพียงนี้แล้วยังไม่เคยได้กินปลามาก่อนเลย ! ”
“เจ้าทำตัวน่าสงสารให้มันน้อย ๆ หน่อย คูน้ำหรือแม่น้ำคงแห้งหมดแล้ว เจ้าจะให้ข้าหาปลามาจากที่ใด ? ” หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มอวบอ้วนของอีกฝ่าย…ในที่สุดก็เริ่มมีเนื้อขึ้นมาแล้ว รู้สึกประสบความสำเร็จมาก !
หลิวว่ายจื่อหันมามองพี่น้องคู่นี้แล้วหัวเราะ “ท่าเรือน่าจะมี ถ้าหลานอยากซื้อ ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะช่วยดูให้ ดีหรือไม่ ? ”
พอเจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้น ดวงตากลมโตมีชีวิตชีวาก็หันมามองหลินเว่ยเว่ยด้วยความตั้งตารอทันที ดวงตาที่ดูเหมือนลูกสุนัขน่าสงสารคู่นี้จะทำให้หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธได้อย่างไร ? นางจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าเจอปลาหลีหนักประมาณ 2 ชั่งก็ซื้อมาสักสองสามตัว แช่ไว้ในน้ำมาด้วยเพราะเนื้อปลาจะได้สดใหม่และอร่อยกว่า”
หลิวว่ายจื่อบังคับเกวียนมาที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เมื่อมองเข้าไปแล้วเห็นทุกหนทุกแห่งในลานบ้านเต็มไปด้วยผลไม้อบแห้ง เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “หลานสาว ดูบ้านเจ้าสิ ไม่ว่างเลย ถ้าเอาเกวียนเทียมล่อมาอยู่ในบ้านข้าก็รับประกันได้เลยว่าจะเลี้ยงให้เจ้าอย่างดี ! ”
“ได้ เช่นนั้นก็รบกวนอาว่ายจื่อด้วย” ในเมื่อเขายินดีช่วย หลินเว่ยเว่ยจึงรับไว้ทันที
นางหลงเข้าใจผิดว่าหลิวว่ายจื่อรู้สึกขอบคุณที่ช่วย ‘แนะนำ’ งานดี ๆ ให้ แต่เจียงโม่หานก็มาเปิดโปงเสียก่อน “แค่อยากสนองความต้องการของตนเท่านั้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปมองก็เป็นอย่างที่คิด หลิวว่ายจื่อเริ่มขับเกวียนเทียมล่อและคุยโวกับชาวบ้านว่า “แน่นอน คุณชายหนิงเห็นข้าเป็นคนฉลาดมีความสามารถจึงพอใจในตัวข้ามาก เขาไม่เพียงให้ข้าคุมงานก่อสร้างแต่ยังให้เกวียนเทียมล่อกับข้าคันหนึ่งด้วย…
ว่าอย่างไรนะ ? พวกเจ้าคิดว่าเกวียนคันนี้เป็นของตระกูลหลินหรือ ? ฮ่าฮ่า รู้หรือไม่ว่าเกวียนเทียมล่อคันนี้ราคาเท่าไหร่ ? 30 ตำลึงเชียวนะ! อย่ามองว่าบ้านตระกูลหลินทำงานยุ่งจนหัวหมุนและทำเงินได้มหาศาลสิ !
กล่าวถึงเนื้อแผ่นก็แล้วกัน รู้หรือไม่ว่าตอนนี้หมูตัวเป็น ๆ ราคาเท่าไหร่ ? ราคาขึ้นมากกว่าสามสิบอีแปะแล้ว ดังนั้นเนื้อหมูก็ขึ้นราคาเป็นห้าสิบหกสิบอีแปะแล้วด้วย เนื้อหมูสามสี่ชั่งสามารถทำเนื้อแผ่นได้แค่ชั่งเดียว แค่ต้นทุนก็ปาไป 200 อีแปะแล้วนะ
แม้ว่าเนื้อแผ่นจะมีราคาแพง แต่เงินเหล่านั้นก็ไปตกอยู่ที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ หลังจากหักค่าแรงงานแล้วตระกูลหลินทำเงินได้แค่สิบถึงยี่สิบอีแปะเท่านั้น ดังนั้นรายได้ตลอดทั้งปีจะสามารถซื้อเกวียนคันนี้ได้หรือ
นอกจากนี้พี่สะใภ้ตระกูลหลินยังต้องกินยาด้วย ! ได้ยินหมอเหลียงบอกว่าส่วนผสมมีโสมคนกับเขากวางอ่อนซึ่งราคาแพงจนน่าใจหาย ! แม้ตระกูลหลินจะขายเนื้อแผ่นกับผลไม้อบแห้งก็ยังเป็นหนี้ค่ายาหมอเหลียงอยู่เลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยพอใจต่อถ้อยคำของหลิวว่ายจื่อมาก เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงของการประสบภัยแล้ง ครอบครัวอื่นไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ แต่นางกลับได้เงินก้อนโตเข้าบ้านทุกวัน ถ้าไม่โดนผู้อื่นจับจ้องก็แปลกแล้ว !