หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 129 สืบเนื่องจากการเกิดใหม่
หลินจื่อเหยียนเอ่ยด้วยความมั่นใจว่า “เจ้าสวมเสื้อผ้าสีดำประหนึ่งพวกที่ชอบออกมาทำเรื่องชั่วช้ายามราตรี แค่มองก็รู้ว่าเป็นการกระทำที่จะให้ผู้อื่นพบเห็นไม่ได้ บนกระบี่ก็มีคราบเลือด ข้าเดาว่าต้องเป็นเลือดมนุษย์ เจ้าจะต้องมีคดีติดตัวเป็นแน่ แถมร่างกายของเจ้ายังได้รับบาดเจ็บสาหัส ย่อมเป็นเพราะเมื่อครู่เจ้าเพิ่งต่อสู้อย่างดุเดือดมา…”
หลีชิงเอามือปิดบาดแผลและเท้าค่อนข้างยืนไม่มั่นคง “น้องชาย เจ้าพูดจาในแง่ลบไปหน่อย ชุดดำไม่ได้แปลว่าต้องใส่ในเวลาค่ำคืนเท่านั้น ส่วนคราบเลือดบนกระบี่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เลือดของคนชั่ว ? บาดแผลบนร่างกายก็สามารถเกิดจากการโดนคนร้ายตามสังหาร หรือฝ่าจากวงล้อม…”
หลินจื่อเหยียนพูดสิ่งใดไม่ออก หลินเว่ยเว่ยจึงเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์แทน “พอแล้ว พอได้แล้ว ! เจ้าคิดว่าบาดแผลบนตัวยังสาหัสไม่พอหรือ ! ถึงมีเวลามาเถียงกับเด็กน้อยอยู่ได้ ! ต้าฮว๋า พวกเราก็คิดเสียว่าทำบุญแล้วกัน ช่วยประคองเขาลงจากภูเขาเถิด ! ”
“พี่รอง ถ้าเขาเป็นคนเลวจะทำอย่างไร ? จะไม่เป็นการเปิดประตูรับหมาป่าเข้าบ้านหรือ ? ” แม้ปากของหลินจื่อเหยียนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ก็ยังเข้าไปประคองแขนของหลีชิงอย่างเชื่อฟัง
หลีชิงทิ้งน้ำหนักไปที่ตัวของหลินจื่อเหยียนซึ่งมีรูปร่างเป็นเด็กน้อยยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะแบกรับร่างกายอันสูงใหญ่ของอีกฝ่ายได้อย่างไร ? เมื่อเห็นทั้งสองคนเซจนจะล้มลงไปอีกด้านหนึ่ง หลินเว่ยเว่ยจึงเข้าไปคว้าเข็มขัดของหลีชิงเอาไว้แล้วดึงมันเบา ๆ ด้วยมือข้างเดียว บัณฑิตหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็ถือโอกาสนี้เข้าไปประคองตัวหลินจื่อเหยียนเอาไว้
หลีชิงโดนคนที่ตัวเตี้ยกว่าและยังเป็นสาวน้อยคนหนึ่งดึงขึ้นมาราวกับลูกไก่ในกำมือ สีหน้าของเขาจึงมืดมนทันที…ข้ายังหลงเหลือศักดิ์ศรีอันใดอีกหรือ ?
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็เข้ามาจับแขนของเขาเอาไว้และส่งสัญญาณให้หลินจื่อเหยียนเข้ามาจับอีกข้าง สีหน้าของหลีชิงจึงเริ่มดีขึ้นบ้าง “คาดไม่ถึงว่าคุณชายท่านนี้ภายนอกดูท่าทางเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่นยิ่งนัก ขอบคุณมาก ! ”
เจียงโม่หานเหลือบตามองอีกฝ่าย ในชาติที่แล้วตอนหลีชิงติดตามเขาก็นับว่าเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก หรือจะกล่าวได้ว่าเงียบขรึมกว่าตัวเขาด้วยซ้ำ คาดไม่ถึงว่าจะพูดเก่งเสียด้วย ! หรือว่าเด็กตัวแสบจะช่วยหลีชิงตัวปลอมมา หรือหัวใจของหลีชิงจะโดนสับเปลี่ยน ?
ตั้งแต่กลับชาติมาเกิดใหม่ เขาก็เห็นทุกคนเปลี่ยนไปเหมือนได้เกิดใหม่เช่นกัน หรือนี่จะเป็นผลสืบเนื่องจากการเกิดใหม่ ?
ชาวบ้านทำงานยามพระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ตอนที่พวกนางกลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปเรียบร้อย บนถนนจึงไม่มีผู้คนให้เห็น
หลินเว่ยเว่ยไม่ทราบที่มาที่ไปของหลีชิงและกังวลว่าจะมีศัตรูมาตามล่าจึงไม่ได้พามาพักรักษาตัวที่บ้าน แต่ให้เขาพักอยู่ที่บ้านปู่เถียนด้านข้างแทน…เอาเถิด อย่างน้อยก็ได้ช่วยเหลือและยังทำให้ตนเองปลอดภัยด้วย !
อาหารเย็นเป็นฝีมือของบุตรสาวคนโตซึ่งไม่ได้เรียนรู้ฝีมือการทำอาหารมาจากนางหวงเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับหลินเว่ยเว่ยแล้วก็ต่างกันลิบลับ ดังนั้นอาหารที่ทำออกมาจึงกล่าวได้แค่ว่าพอกินได้ ส่วนรสชาติ…ยากเกินกว่าจะบรรยาย !
ในชาติก่อน การเติมท้องให้อิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกกินแต่อย่างใด แม้จะมีแค่ผักดอง นางก็สามารถผสมมันลงในชามบะหมี่จนกินได้ถึง 2 ชามใหญ่
เมื่อเห็นบัณฑิตหนุ่มฝืนกินไปแค่ครึ่งชามแล้ววางตะเกียบ นางจึงถามด้วยความสงสัยว่า “กินแค่นี้เองหรือ ? มันจะอิ่มหรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานมองนางสูดเส้นบะหมี่เข้าปากราวกับพายุด้วยสายตาแสนสับสน จากนั้นก็กล่าวว่า “มื้อเย็นกินน้อยจะดีต่อสุขภาพ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับ หลังเติมท้องจนอิ่มแล้ว นางก็นำไก่ป่าตัวหนึ่งออกมาจากห้องใต้ดิน เมื่อจัดการจนสะอาดแล้วก็เริ่มทำน้ำแกงโดยใส่โสมลงไปด้วยสองสามชิ้น
มุมปากของเจียงโม่หานค่อย ๆ ยกยิ้ม…เด็กตัวเหม็น เจ้ายังถือว่ามีมโนธรรม ! รู้ว่าข้ากินไม่อิ่มจึงแอบจุดเตาทำอาหารเพิ่มเพื่อข้า…
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย…เด็กตัวแสบมีความรู้สึกต่อเขาอย่างลึกซึ้ง เขาควรจะพูดกับนางเช่นไรดี ?
เพื่ออยู่รอน้ำแกงไก่ต้มเสร็จจึงทำให้หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เจียงโม่หานไม่ได้เดินกลับบ้านของตนทันที แต่แสร้งทำเป็นช่วยอธิบายตำราให้หลินจื่อเหยียนแทน
กลิ่นหอมอบอวลลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน เจียงโม่หานจึงเดาได้ว่าน้ำแกงใกล้จะเสร็จแล้ว เขาจึงตบบ่าของหลินจื่อเหยียนเพื่อให้พักผ่อนกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งอย่างสง่าผ่าเผยที่โต๊ะเขียนหนังสือของหลินจื่อเหยียนเพื่อรอให้นางยกน้ำแกงเข้ามา
แต่รอแล้วรอเล่าแม้ว่าหลินเว่ยเว่ยจะยกน้ำแกงออกมาจากห้องครัวจริง ทว่านางไม่ได้ยกมาทางนี้เพราะนางถือมันออกจากบ้าน
เจียงโม่หานจึงนั่งไม่ติดแล้วเดินตามนางออกจากบ้านไปด้วย นี่เด็กตัวแสบยกน้ำแกงที่ต้มให้เขาไปที่บ้านด้านข้าง…นางจะเอาไปให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งช่วยกลับมาจากหุบเขาเช่นนั้นหรือ !
ส่วนหลินเว่ยเว่ยที่กำลังจะผลักประตูเข้าไปก็สัมผัสได้ว่ามีคนมาใกล้ นางจึงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงออกมาด้วย ? ”
“จะเอาไปให้เจ้านั่นหรือ ? ” เจียงโม่หานถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “บาดแผลของเขาสาหัสและเสียเลือดมากเกินไป ช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระก็ต้องส่งให้ถึงสวรรค์1…เฮ้อ ข้าเป็นเทพธิดาผู้แสนดี ! ”
เมตตาก็ส่วนเมตตา แต่เจ้าอย่าทำหน้าหนาถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงชอบชมหน้าตาของตนให้ไปในทางเทพเซียนตลอด ?
“ฟ้ามืดแล้ว พวกเจ้าเป็นชายโสดหญิงโสดจึงไม่ควรอยู่กันตามลำพัง ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” เจียงโม่หานกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
แต่ชายสองหญิงหนึ่งจะดูไม่เหมาะมากกว่าเดิม ! หลินเว่ยเว่ยไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา เพราะบัณฑิตหนุ่มชอบเปลี่ยนสีหน้าเก่ง หลินเว่ยเว่ยจึงคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยังคงเป็นเจ้าที่คิดได้รอบคอบ ! เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยถ้อยคำเป็นทางการ แต่ทำให้เจียงโม่หานรู้สึกไม่คุ้นชิน นางเป็นอันใดไป ? คงไม่ได้เป็นไข้หรอกกระมัง ? หรือจะเป็นอันใดไปสักอย่าง ?
ส่วนหลีชิงที่กำลังนอนเงียบ ๆ และไม่รู้ว่าควรคิดอะไรดี จู่ ๆ เขาก็สูดหายใจเข้าสองสามครั้ง…หอม ! บ้านใครต้มน้ำแกงไก่หรือ ? บ้านที่กินน้ำแกงไก่ได้ในเวลาเช่นนี้จะต้องเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยแน่นอน ! แต่พวกเขาไม่กลัวภัยมาถึงตัวหรือโดนชาวบ้านเพ่งเล็งหรืออย่างไร
“ตายหรือยัง ? ” ทันใดนั้นเสียงของหลินเว่ยเว่ยก็ดังขึ้น “ถ้ายังไม่ตายก็ลุกมากินน้ำแกงไก่ ! ”
หลีชิงกลอกตา เด็กบ้า จิตใจก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก แต่ปากช่างไม่ไว้หน้าผู้อื่นเลย ระวังจะขายไม่ออก…
ช้าก่อน เด็กคนนี้พูดว่าอย่างไร ? กินน้ำแกงไก่ ? หรือนางจะต้มน้ำแกงไก่มาให้เขาโดยเฉพาะ ? เอ่อ เขาขอถอนคำพูดที่ไม่ดีทั้งหมดแล้วกัน…นางเป็นสาวงามที่มีจิตใจงดงาม ภายภาคหน้าจะต้องได้สามีดี ๆ แน่นอน
หลินเว่ยเว่ยวางถ้วยน้ำแกงไก่ลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นก็เอื้อมมือจะไปจับหน้าผากของเขาแต่ยังไม่ทันได้แตะตัวเขา นางก็โดนตีมือเสียแล้ว
ต่อจากนั้นก็มีมือเรียวยาวข้างหนึ่งเข้าไปสัมผัสหน้าผากของหลีชิงแทนนาง
“ไม่มีไข้ ! ” เจียงโม่หานหันมาพยักหน้าให้หลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็พูดกับหลีชิงว่า “ลุกขึ้นนั่งได้หรือไม่ ? หรือต้องให้ข้าป้อนเจ้า ? ”
หลีชิงใช้มือปิดบาดแผลไว้ขณะลุกขึ้นนั่ง หลังรับถ้วยน้ำแกงไก่จากมือหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็เป่ามัน จากนั้นตักชิมอย่างระมัดระวัง…คนในยุทธภพเยี่ยงข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนบัณฑิตเยี่ยงพวกเจ้าหรอก
“หืม ? ในน้ำแกงมีโสมด้วยหรือ ? ” หลีชิงซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่ กู่เหนียงคนนี้จริงใจเกินไปหน่อยหรือไม่ ? ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่เพียงฆ่าไก่แต่ยังเพิ่มโสมลงในน้ำแกงด้วย แถมอายุของโสมก็ดูไม่น้อยเลย คงมีราคาแพงใช่หรือไม่ ? เขาติดหนี้บุญคุณก้อนใหญ่เสียแล้ว
หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มจนตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ไก่ป่าถูกจับได้ในป่า ส่วนโสมก็ขุดได้บนภูเขา ไม่ได้ใช้เงินแต่อย่างใด…แน่นอนว่าหากเจ้ายืนกรานจะตอบแทน ข้าก็จะฝืนรับไว้เพราะบุญคุณที่ยากสุดในการตอบแทนคือน้ำใจใช่หรือไม่ ? ”
วัตถุดิบที่ใส่ในน้ำแกงคือยาที่เหลือของมารดา ในมือของนางยังมีโสมอายุมากกว่า 500 ปีซึ่งเป็นสิ่งที่เตรียมไว้ใช้ยามฉุกเฉินนั่นเอง
1 ส่งพระก็ต้องส่งให้ถึงสวรรค์ หมายถึง การทำความดีก็ต้องทำให้ถึงที่สุด