หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 131 ต้องมีสักอย่างที่เจ้าชอบ
ตอนที่ 131 ต้องมีสักอย่างที่เจ้าชอบ
“บัณฑิตน้อย เจ้าชอบกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไร ? ” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็นึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะให้เขาโดยเฉพาะ เป็นสูตรที่ไม่มีทางขายให้คุณชายหนิงด้วย เป็นไปอย่างที่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้บัณฑิตหนุ่มอารมณ์เสียจะต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่ บาปกรรม บาปกรรมจริง ๆ
“อะไรก็ได้ ! ” ในที่สุดสายตาของเจียงโม่หานก็หยุดลงที่ตำราพร้อมมุมปากโค้งมนขึ้นอย่างงดงาม เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เฮ้อ พวกผู้ชายมีขนาดหัวใจเท่าเข็มใต้ก้นมหาสมุทรหรือไร !
หลินเว่ยเว่ยทำแป้งบัวหิมะไปพลางกล่าวไปด้วย “เช่นนั้นก็ทำไส้ถั่วแดง หมูฝอย งาดำและเนื้อหมูแล้วกัน มีทั้งเค็มทั้งหวาน ต้องมีสักอย่างที่เจ้าชอบ”
“อือ…” เห็นได้ชัดว่ามุมปากของเจียงโม่หานโค้งขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ตั้งใจทำแป้งบัวหิมะต่อ แป้งข้าวเหนียวและแป้งสาลีถูกผสมเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่กำหนด จากนั้นก็นำนมแพะมาผสมกับแป้ง หลังนึ่งในหม้อจนสุกแล้วนางก็เก็บไว้ในห้องใต้ดินและแช่เย็นด้วยก้อนน้ำแข็งเพื่อให้แป้งจับตัว
เจ้าหนูน้อยถามด้วยความสงสัย “พี่รองไม่ได้จะทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้บัวหิมะหรอกหรือ ? เหตุใดพี่รองจึงตั้งหม้อนึ่งด้วยล่ะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “แป้งเหล่านี้เรียกว่าบัวหิมะ ! ”
นางหวงที่กำลังช่วยทำไส้ก็กล่าวกับเจ้าหนูน้อยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ควรทำเช่นไรพี่รองของเจ้ารู้ดีแก่ใจ ส่วนเจ้าอย่าเข้ามายุ่งก็พอแล้ว ! ”
หลังจากทำงานจนหัวหมุนมานาน ขนมไหว้พระจันทร์แสนหอมกรุ่นชุดแรกก็เสร็จ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้สี่ชนิดถูกห่อด้วยกระดาษน้ำมัน จากนั้นนางก็มอบให้หยาเอ๋อร์ ป้ากุ้ยฮวาและแม่ของซัวถัว นอกจากขนมไหว้พระจันทร์แล้ว แต่ละบ้านยังได้เนื้อหมูป่าอีก 1 ชั่งด้วย…ฉลองเทศกาลถึงอย่างไรก็ต้องมีอาหารจานเนื้อกันบ้างไม่ใช่หรือ ?
ส่วนของหลิวว่ายจื่อนั้น นางได้มอบให้เขา 2 ชุด ชุดหนึ่งสำหรับหลิวว่ายจื่อ ส่วนอีกชุดถือเป็นของขวัญที่พี่สาวคนโตควรมอบให้มารดาของหลิวว่ายจื่อก็คือเนื้อหมูป่าอีก 2 ชั่ง
หลังจากครุ่นคิดแล้ว หลินเว่ยเว่ยยังห่อของขวัญเพิ่มอีกชุด…ขนมไหว้พระจันทร์ 2 ชั่ง ( 8 ชิ้น ) จากนั้นก็ให้หลินจื่อเหยียนนำไปส่งให้ท่านหมอเหลียงซึ่งมีฝีมือการแพทย์ไม่เลว ต้องขอบคุณเทียบยาที่เขาจัดให้เพราะตอนที่บ้านพวกนางลำบากและติดค่ายามากมาย เขาก็ไม่เคยมาทวงเลย !
หลังส่งของขวัญให้ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยกแป้งบัวหิมะแช่เย็นออกมาจากห้องใต้ดินแล้วเริ่มทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ นางค่อนข้างกังวล…เมื่อชาติก่อนนางเคยทำมาครั้งหนึ่งแต่ล้มเหลว ดังนั้นนางจึงรับประกันไม่ได้ว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ !
ต่อจากนั้นนางก็ทาน้ำมันถั่วลิสงลงบนเขียงแล้วใช้แป้งบัวหิมะในปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกดให้เป็นแผ่นบนเขียงแล้วใส่ไส้ถั่วแดงลงไป ใช้มือห่อช้า ๆ หลังห่อเสร็จแล้วก็คลึงให้เป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ ใส่ลงในแม่พิมพ์ที่นางวานให้บัณฑิตหนุ่มช่วยแกะสลักไว้นานแล้ว
ตอนที่แกะออกจากแม่พิมพ์ นางถึงขั้นต้องกลั้นลมหายใจแล้วเคาะแม่พิมพ์เบา ๆ ในชั่วอึดใจต่อมาขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะสีขาวนวลก็ค่อย ๆ ไหลออกจากแม่พิมพ์ตกลงสู่ถาด…
“ว้าว ! สวยมาก ! เหมือนดอกไม้สีขาวนวลไร้ที่ติ ! ” ทันใดนั้นข้างกายของนางก็มีศีรษะของคนสามคนปรากฏขึ้น ศีรษะเล็ก ๆ คือเจ้าหนูน้อย เขาใช้น้ำเสียงที่เกินจริงกล่าวชื่นชม
แต่หลินจื่อเหยียนชมได้สละสลวยกว่ามาก “ขาวนวลดั่งหยก ใสดุจก้อนน้ำแข็งไร้ที่ติในฤดูหนาว ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันถูกเรียกว่า ‘ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ’ ! ”
แม้บัณฑิตหนุ่มจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าเพียงสายตาก็บ่งบอกถึงความพอใจและความชื่นชมได้แล้ว
หลินเว่ยเว่ยจึงเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น นางทำไส้งาดำ หมูฝอยและเนื้อหมูเพิ่มอีก หมูฝอยทำจากเนื้อหมูป่ามีรสเค็มตัดหวานกำลังดีจึงทำให้มีรสชาติที่อร่อย เจ้าหนูน้อยก็ชอบนำหมูฝอยไปโรยใส่โจ๊กจนสามารถกินได้ถึงสองชาม…ไม่รู้จักกลัวว่าจะกินจนท้องแตกบ้างหรือ !
แต่มีไส้งาดำชิ้นหนึ่งที่นางทำออกมาไม่ค่อยน่าพอใจ หลินเว่ยเว่ยจึงแบ่งมันเป็นสี่ส่วน ชิ้นแรกสุดนางยื่นให้บัณฑิตหนุ่ม จากนั้นก็นำมาใส่ปากตนเองหนึ่งชิ้น…รสชาติหวานสดชื่น ถือว่ารสดีมาก ! ส่วนสองชิ้นที่เหลือถูกเจ้าหนูน้อยเข้ามาคว้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วหลินจื่อเหยียนก็คว้าคอเสื้อด้านหลังน้องสี่ไว้ได้ทัน “เจ้าหนูน้อย รู้จักเอาไปกินคนเดียวตั้งแต่เมื่อไร ? ”
“ข้าไม่ได้เอาไปกินคนเดียว อีกชิ้นหนึ่งข้าเอาไปให้ท่านแม่ ! ” เจ้าหนูน้อยพยายามดิ้น ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะในมือของเขาจึงเละเทะไม่เหลือชิ้นดี
พอหลินจื่อเหยียนเห็นเช่นนั้นก็ยอมปล่อยไปแล้วเข้ามานั่งยองอยู่ด้านข้างพี่รองอีกครั้ง “พี่รอง แบบนี้ก็กินได้แล้วหรือ ? ไม่จำเป็นต้องเอาไปอบอีกรอบหรือ ? ”
“เปลือกบัวหิมะข้างนอกกับไส้ข้างในสุกหมดแล้ว ดังนั้นหลังแกะออกจากแม่พิมพ์ก็สามารถกินได้เลย” หลินเว่ยเว่ยยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ ผ่านไปไม่นานทั่วทั้งถาดก็เต็มไปด้วยการผลิบานของ ‘ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ’ สีขาวนวล
หลินจื่อเหยียนถามอีกครั้ง “เช่นนั้น…หากใช้แป้งบัวหิมะห่อไส้เสร็จแล้วไม่กดลงในแม่พิมพ์ก็กินได้เหมือนกันใช่หรือไม่ ? ”
“กินได้สิ ! ” หลินเว่ยเว่ยนำแป้งก้อนกลมที่เพิ่งปั้นเสร็จยัดใส่ปากเขา “รสชาติเหมือนกัน แต่ถ้าขาดรูป รส หรือกลิ่นอย่างใดไปก็ทำให้ขนมออกมาไม่สมบูรณ์ วันนี้เราฉลองเทศกาลกัน ดังนั้นต้องทำออกมาให้สมบูรณ์แบบ จริงหรือไม่ ! ”
หลินจื่อเหยียนมองขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะรูปดอกไม้สีขาวนวลราวหิมะบนถาด จากนั้นก็หันมามองแป้งกลม ๆ ในมืออีกครา เขาไม่รู้สึกอยากกินแม้แต่น้อย เขาจึงหยิบแม่พิมพ์ของพี่รองมาลองกดบ้างแต่มันกลับมีรูปร่างที่บิดเบี้ยวและเผยให้เห็นไส้ด้านในด้วย เขาจึงโดนเจ้าหนูน้อยหัวเราะเยาะใส่อย่างไร้ความปรานีทันที !
หลินเว่ยเว่ยลองนับ ตอนนี้มีขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะทั้งหมด 20 ชิ้น ต่อจากนั้นนางก็ยกขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะไปที่ห้องใต้ดิน…เจ้าขนมนี้รสชาติจะดียิ่งขึ้นหลังจากแช่เย็น
“พี่รอง พี่รอง ! ข้าเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว วันนี้ข้าตัดหญ้าให้กระต่ายได้ 2 ตะกร้าและยังจับหนอนมาให้ลูกไก่ด้วย…พี่รองจะไม่ตบรางวัลเป็นขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะสักชิ้นให้ข้าหรือ ! ” เจ้าหนูน้อยก้าวขาสั้น ๆ ของตนแล้ววิ่งตามติดหลินเว่ยเว่ยราวกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเจียงโม่หานครู่หนึ่ง ส่วนเจียงโม่หานก็หลบสายตาแล้วพลิกตำราในมือต่อไป
หลินเว่ยเว่ยเม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้าพูดกับเจ้าหนูน้อยว่า “เจ้าอยากกินขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะหรือ ? เช่นนั้นก็ไปถามพี่โม่หานของเจ้าสิ เพราะขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะนี้ ข้าสัญญาว่าจะทำให้เขาตั้งนานแล้ว ! ”
แม้สายตาของเจียงโม่หานจะยังจับจ้องอยู่ที่ตำรา ทว่าคิ้วเลิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มุมปากก็ยกยิ้มเบาบาง…เด็กตัวเหม็นยังจำถ้อยคำที่เคยกล่าวได้ เขาหลงเข้าใจผิดว่าตอนนั้นนางแค่พูดเพื่อเอาใจเล่น ๆ เสียอีก !
เจ้าหนูน้อยหันไปมองเจียงโม่หาน จากนั้นก็หันมามองพี่สาวของตนแล้วเบะปาก “พวกเขาพูดไม่ผิด พี่รองใกล้จะเป็นคนของตระกูลเจียงแล้ว หากมีของดีอันใด ท่านก็นึกถึงพี่โม่หานเป็นคนแรก ! ”
หลินจื่อเหยียนขมวดคิ้วทันทีพลางดุน้องชาย “พูดไร้สาระอันใด ? ผู้อื่นพูดว่าร้ายพี่รอง เจ้าไม่เถียง ทว่ายังเอากลับมาพูดให้พี่รองฟังที่บ้านอีก เสียแรงที่พี่รองรักเจ้า ! ”
“พี่สาม ท่านไม่คิดว่าพี่รองดีกับพี่โม่หานเกินไปหรือ ? ดีกว่าที่ทำกับพวกเราด้วย พวกเราเป็นน้องชายแท้ ๆ นะ ! ” เจ้าหนูน้อยทำปากมุ่ยจนเหมือนปากหมู
หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจแล้วทำสีหน้าสับสนราวกับต้องการที่จะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็พูดไม่ออก ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจได้จึงกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาบอกความจริงแล้ว…ที่จริง…เจ้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของท่านแม่ เจ้าเป็นเด็กที่ท่านแม่เก็บมาเลี้ยงระหว่างทางหลบหนีจากสงคราม ตอนนั้นเจ้ามีร่างกายซูบผอมราวกับลูกแมวป่วย จะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออกเลย…ท่านแม่ของพวกเราสงสารจึงเก็บเจ้ากลับมา…”