หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 136 ยังต้องแบ่งข้าแบ่งเจ้าอีกหรือ
ตอนที่ 136 ยังต้องแบ่งข้าแบ่งเจ้าอีกหรือ
เจ้าหนูน้อยนั่งยองอยู่ใต้บันไดพลางถามด้วยสีหน้างุนงง “พี่รอง เหตุใดท่านไม่เข้าทางประตู ? เพราะกลัวเจ้าหน้าที่ทางการเมื่อครู่มาเห็นเอาหรือ ? ”
“ข้าแค่ไม่ระวังจนทำกุญแจบ้านหายเท่านั้น ! บ้านเราไม่ได้ทำผิดกฎหมายอันใด เหตุใดต้องกลัวเจ้าหน้าที่ทางการด้วย ? เด็กน้อยอย่าพูดเหลวไหล เข้าใจหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเข้าไปบีบจมูกเล็ก ๆ ของเขา
ขณะเดียวกันเจียงโม่หานที่กำลังชี้แนะบทกวีให้หลินจื่อเหยียนก็หันมามองทางหลินเว่ยเว่ย ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นหน้าประตู หลินเว่ยเว่ยจึงชะโงกศีรษะออกไปมองแล้วเห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นไม่ได้เบาะแสใดจากหมู่บ้านนี้จึงออกไปอย่างเร่งรีบ
“เฮ้อ ! เทศกาลเช่นนี้ยังต้องทำงานกันอีก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ! สู้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้วมีอิสระเป็นของตนเองดีกว่า ! ” เมื่อลงกลอนประตูเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เจียงโม่หานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “แม้ผู้พิพากษาและนายอำเภอจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ก็สามารถใช้อำนาจสั่งทำลายบ้านเรือนราษฎรได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นเศรษฐีมีเงินคนธรรมดา ไร้อำนาจคอยสนับสนุนก็คงยากจะเลี่ยงการโดนกลั่นแกล้งได้ ! ”
“เจ้าพูดได้มีเหตุผล หากไร้อำนาจไฉนเลยจะได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรม ความหวังของบ้านเราถูกฝากไว้บนตัวเจ้าแล้วบัณฑิตน้อย พยายามเข้าล่ะ ! พี่สาวจะรอดูน้อง ! ” หลินเว่ยเว่ยตบบ่าเขาเพื่อให้กำลังใจ
หลินจื่อเหยียนแต่งบทกวีเสร็จแล้วจึงจะนำไปให้เจียงโม่หานชี้แนะ แต่เขามาได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พี่รอง ท่านเป็นคนบ้านไหนกันแน่ ? ”
“ความสัมพันธ์ของเราสองบ้านยังต้องแบ่งข้าแบ่งเจ้าอีกหรือ ? ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ก้าวไปข้างหน้า นางจ้องบัณฑิตหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ถ้าต่อไปเจ้าประสบความสำเร็จแล้วคงไม่ตายาวถึงศีรษะ1 ทอดทิ้งสหายที่ยากจนหรอกใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานลดระดับคางลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังอันเย่อหยิ่งให้นางคิดเอง !
ขณะถือบทกวีของตนนั้น หลินจื่อเหยียนก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่รอง ท่านเมินข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
“ข้าจะเมินเจ้าได้อย่างไร ? หากเทียบเรื่องคุณวุฒิกันแล้ว เจ้ายังห่างชั้นจากบัณฑิตน้อยอยู่ เจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง ? อีกอย่างเจ้าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของข้า ถ้าในภายภาคหน้าเจ้าประสบความสำเร็จแล้วจะจำพี่สาวอย่างข้าไม่ได้หรือ ? ทว่ากับบัณฑิตน้อยแตกต่างออกไป เพราะถ้าไม่ผูกสัมพันธ์เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้แล้วไปไล่ตามในภายภาคหน้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนมองว่าประจบสอพลอด้วยความโลภ เจ้าว่าจริงหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยอธิบายด้วยเหตุผลอย่างมั่นใจ
หลินจื่อเหยียนกระซิบเบา ๆ “แล้วถ้าตามไปตอนนี้จะไม่เรียกว่าประจบสอพลอหรือโลภ ถูกต้องหรือไม่ ? ”
“นี่เรียกว่าการลงทุนด้านความรู้สึก ! กินข้าวหม้อเดียวกันก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน ถ้าเรามีปัญหาอันใด เขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเลยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงครั้งแรกที่เจอกับบัณฑิตหนุ่ม ช่างเป็นเรื่องง่ายเสียจริงที่จะบอกว่าความอวดดีนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้เล่า นิสัยของบัณฑิตหนุ่มโดนขัดเกลาแล้ว เขามีชีวิตชีวาขึ้นมาก คงไม่น่าจะ…สะบัดหน้าหนีแล้วทำเป็นไม่รู้จักกันหรอก
วันไหว้พระจันทร์ผ่านพ้นไปได้ไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ป้ากุ้ยฮวา แม่ของซัวถัวและหยาเอ๋อร์ต่างก็ทำงานล่วงเวลากันในช่วงสองสามวันนี้ หลังทำสินค้าให้พอจัดส่งสำหรับ 10 วันแล้วพวกนางก็เริ่มลาหยุด 5 วันเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตของตน ช่วงทำงานล่วงเวลาสองสามวันนั้นแม้จะต้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่และกลับถึงบ้านเมื่อพระจันทร์ลอยเหนือฟ้า ทว่าเงินค่าแรงก็ได้เพิ่มถึง 2 เท่าและยังมีรางวัลเป็นเนื้อครึ่งชั่งในทุกวันด้วย
ตั้งแต่มาทำงานที่บ้านตระกูลหลิน อาหารของทั้งสามบ้านก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นบ้านของหยาเอ๋อร์ เมื่อก่อนพวกนางยังเก็บผักป่าเพื่อประทังชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้ตาบอดหรือน้องชายทั้งสองล้วนมีร่างกายผ่ายผอมทั้งสิ้น
ส่วนตอนนี้แม้เงิน 30 อีแปะต่อวันจะไม่มาก ทว่าก็สามารถใช้ซื้อธัญพืชหยาบได้ 2 ชั่ง เมื่อนำมารวมกับผักป่าที่พวกน้อง ๆ เก็บมาได้แล้ว ทั้งสี่คนไม่เพียงอิ่มท้องแต่ยังสามารถกักตุนไว้ได้บางส่วนด้วย สิ่งที่หยาเอ๋อร์รอคอยมากที่สุดคือการทำงานล่วงเวลา ! เพราะตระกูลหลินไม่เพียงให้เงินเพิ่มแต่ยังหั่นเนื้อให้อีกหลายชั่ง หากนำไปกินกับมันฝรั่งอบแล้วมันจะส่งกลิ่นหอมหวน ไม่เพียงอร่อยเท่านั้นแต่ยังช่วยประหยัดข้าวหรือแป้งได้ด้วย !
ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตระกูลหลินส่งขนมไหว้พระจันทร์มาให้ทั้งหมด 4 ชิ้นซึ่งในแต่ละชิ้นมีไส้แตกต่างกันไป ทุกคนในบ้านแบ่งกันกิน พวกน้องชายต่างก็กล่าวว่าไม่เคยกินขนมที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต ! และคนที่อาการหนักยิ่งกว่าพวกเขาคือมารดาของหยาเอ๋อร์ซึ่งใช้ชีวิตมากว่าครึ่งค่อนชีวิตไปแล้วยังไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์เช่นนี้สักครั้ง เนื้อหมูหนึ่งชั่งถูกหั่นครึ่งแล้วหมัก ส่วนอีกครึ่งถูกแล่เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วตุ๋น ในเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นทุกคนในครอบครัวจึงได้ฉลองกันจนยากที่จะลืมเลือน
ส่วนอีกสองครอบครัวที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกัน ก่อนวันหยุดป้ากุ้ยฮวานำเงินค่าแรงและเนื้อหมูป่าห่อกระดาษน้ำมันครึ่งชั่งกลับบ้านของตน หลังได้ยินพวกเด็ก ๆ ปรึกษากันว่าวันนี้จะกินเนื้ออย่างไร นางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เนื้อชุดนี้เก็บไว้ทำอาหารในฤดูเก็บเกี่ยวก็แล้วกัน กินของติดมันหน่อยถึงจะมีแรงทำงานกว่าปกติ ! ”
หลิวต้าหยามุ่ยปากแล้วกล่าวว่า “บ้านเรายังมีเนื้อหมูป่าตากแห้งอีกสองสามชิ้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? ”
“ตะกละเสียจริง ! เมื่อสองวันก่อนไม่ได้เพิ่งกินเนื้อไปหรือ ? ” ป้ากุ้ยฮวาตีบุตรสาวหนึ่งที
หลิวต้าหยาลูบไหล่ของตนพลางบ่นพึมพำว่า “หนึ่งคนได้กินอยู่สองชิ้น นั่นเรียกว่ากินเนื้อแล้วหรือ ? ได้ยินว่าตอนที่บ้านตระกูลหลินฉลองวันไหว้พระจันทร์ อาหารมื้อหนึ่งมีทั้งไก่ ปลา เนื้อ…เมื่อใดบ้านเราจะได้กินเนื้อมื้อใหญ่บ้างเจ้าคะ ! ”
“เมื่อใดเจ้าเก่งได้อย่างหลินเว่ยเว่ยที่หาหมูป่ากลับมาได้ทุกสองสามวัน เจ้าจะกินเนื้อเท่าไรก็ได้ตามที่ต้องการ ! ” หยินเหลียนพี่ชายของหลิวต้าหยาพูดหยอกเย้า
หลิวต้าหยามุ่ยปาก “ท่านคิดว่าทุกคนก็เหมือนนางหรือ แค่มือเดียวก็ฆ่าหมูป่าได้แล้ว ! ผู้ชายอย่างท่านยังทำไม่ได้ แล้วมีสิทธิ์อันใดมาฝากความหวังที่ข้า ? ”
“พอแล้ว เจ้าสองพี่น้องเลิกเถียงกันได้แล้ว ! ต้าหยา เจ้ามาช่วยแม่ทำกับข้าว ส่วนหยินเหลียนไปหยิบเคียวมาลับคมให้หมด ! ” ป้ากุ้ยฮวาตะโกนใส่บุตรชายและบุตรสาว
วันรุ่งขึ้น ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวต่างก็ถือเคียว แบกไม้คานหาบแล้วเป่าแตรเพื่อบ่งบอกว่าถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านและชายสูงวัยสองสามคนในหมู่บ้านเกี่ยวข้าวสาลีไปพลางถอนหายใจไปด้วย “ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในปีนี้เหลือเพียงครึ่งเดียวของปีที่แล้ว”
“ได้ยินว่าเพราะภัยแล้งทำให้ทางฝั่งตะวันตกของหยุนโจวได้ยกเว้นภาษี ปีนี้อำเภอเป่าชิงของพวกเราก็เจอภัยแล้งไม่เบาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทางราชสำนักได้ประกาศยกเว้นภาษีให้เราหรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้าพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปมกว่าเดิม “ไม่ได้ยินข่าวเลย ! ผลผลิตในปีนี้ก็มีไม่เพียงพอที่จะให้จ่ายภาษีหรอก เฮ้อ…ไม่รู้ว่าฤดูหนาวปีนี้จะมีคนต้องหิวตายอีกเท่าไร…”
หลังจากชายสูงวัยหลายคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดแล้ว ผ่านไปอีกพักใหญ่กว่าที่ผู้ใหญ่บ้านจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “หมู่บ้านของเรายังถือว่าดี ! บนภูเขามีน้ำให้ใช้ไม่ขาด ขอแค่ขยันหมั่นเพียรจะต้องมีให้เก็บเกี่ยวเพิ่มแน่ ได้ยินว่าบางหมู่บ้านน้ำใกล้จะแห้งเหือดเต็มทน แม้แต่การดื่มน้ำยังกลายเป็นปัญหา ผลผลิตในแปลงนาก็ไม่ได้เก็บเกี่ยว…”
“พวกเราอยู่ติดภูเขา ตอนนี้ทุกบ้านขึ้นไปขุดหาของป่า แม้จะเลวร้ายเพียงใดก็ยังกินผักป่า เปลือกไม้…หวังว่าปีหน้าสวรรค์จะสงสารและเมตตาช่วยประทานฝนลงมาอีกสักหน่อย…” พวกผู้สูงวัยถอนหายใจและส่ายศีรษะกันไปมา
ที่ดินของบ้านหลินเว่ยเว่ยอยู่ใกล้ภูเขามากที่สุด ในที่ดิน 3 หมู่ถูกแบ่งออกเป็นข้าวสาลีต้นอวบอ้วนสีเหลืองทองครึ่งหนึ่ง ภัยแล้งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อข้าวสาลีแต่อย่างใด ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นข้าวโพดสีเขียวขจี ดูมีชีวิตชีวา
หลินเว่ยเว่ยเป็นกำลังหลักในการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ตอนแรกเริ่มแม้จะรู้สึกไม่คุ้นชินต่อการใช้เคียว แต่นางก็เรียนรู้ที่จะใช้มันให้ชำนาญได้อย่างรวดเร็ว นางเกี่ยวข้าวสาลีได้เร็วจนไม่เห็นฝุ่น ทิ้งให้คนข้างหลังต้องอยู่ห่างออกไปจากระยะสายตา
1 ตายาวถึงศีรษะ หมายถึง เย่อหยิ่ง