หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 138 มีเสน่ห์เกินห้ามใจ
ตอนที่ 138 มีเสน่ห์เกินห้ามใจ
หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มเป็นเชิงขอโทษไปทางหวังอันชิง…เด็กหนุ่มไม่รู้ความ ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด
ทว่าในสายตาของหวังอันชิงกลับเห็นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน นางโมโหจนแทบจะปาถ้วยชาลายครามในมือใส่หน้าหลินเว่ยเว่ย…เจ้ามีสิ่งใดดี ? ท่านพ่อบอกว่าบัณฑิตเจียงมีอนาคตสดใส หากคราวก่อนไม่ใช่เพราะปัญหาสุขภาพ เขาก็คงเป็นซิ่วไฉวัยเยาว์ไปแล้ว ! ภายภาคหน้าการสอบจู่เหรินจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน !
หญิงโง่ ! หากเจ้าครอบครองเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใด ? วันหน้าหากบัณฑิตเจียงทะยานขึ้นฟ้าแล้ว เจ้าจะทำสิ่งใดให้เขาได้ ?
ผิดกับข้าหวังอันชิงผู้นี้ ! แม้บัณฑิตเจียงจะมีความสามารถมากมาย แต่ก็ยังเหมือนทหารหลายพันนายข้ามสะพานไม้แผ่นเดียวกัน1 ในชีวิตคนผู้หนึ่งอาจยากที่จะผ่านด่านนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ทว่าครอบครัวของนางร่ำรวย หากบัณฑิตเจียงเป็นจู่เหรินแล้ว ครอบครัวนางก็สามารถช่วยผลักดันให้เป็นขุนนาง…และเมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะเป็นฮูหยินของขุนนาง !
เมื่อพรมน้ำให้ชุ่มผ้าเช็ดหน้าแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยื่นให้บัณฑิตหนุ่ม “เช็ดหน้าสิ ! ” จากนั้นก็หยิบหมวกฟางมาใส่ที่ศีรษะให้เขา
เจ้าหนูน้อยถือตะกร้าเดินผ่านหมู่บ้านด้วยศีรษะที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ในขณะเดียวกันหลิวว่ายจื่อก็เดินตามมาพร้อมเคียวที่กวัดแกว่งในมือ หลังตามเจ้าหนูน้อยทันแล้วเขาก็เข้ามาช่วยถือตะกร้า
“พี่รอง ! ท่านแม่ต้มซุปถั่วเขียวมาให้ ท่านรีบดื่มสักถ้วยเพื่อคลายร้อนสิ ! ” เจ้าหนูน้อยวิ่งเหยาะเข้ามาหาหลินเว่ยเว่ยพร้อมดวงตากลมโตเบิกกว้างที่รอคำชม
เป็นอย่างที่คิดไว้ หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะอันเปียกโชกของเขา จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าหนูน้อยเก่งมาก ! ร้อนหรือไม่ ? เหนื่อยหรือเปล่า ? ”
“ไม่เหนื่อย พี่รอง พี่โม่หาน พวกท่านรีบดื่มเถิด น้าเฝิงเติมน้ำตาลลงไปด้วย หวานสุด ๆ เลยล่ะ ! ” ราวกับว่าเจ้าหนูน้อยกลัวคนอื่นจะได้ยิน เขาจึงกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
หลินเว่ยเว่ยหยิบถ้วยออกมาจากตะกร้าแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่…ถูกแช่เย็นมาด้วย…อือ สดชื่นมากเลย !
เจียงโม่หานมองไปทางหลิวว่ายจื่อ เจ้ามาทำอันใด ? แปลงนาของตระกูลหลิวว่างเปล่าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?
หลิวว่ายจื่อส่งยิ้มให้เขา “พวกคนงานก่อสร้างต่างลาหยุดเพื่อกลับไปเก็บเกี่ยวที่บ้านหมดแล้ว ข้าว่างอยู่…พอคิดว่านางหนูรองน่าจะขาดแรงงาน ข้าจึงมาช่วยอีกแรง ! ”
งานที่เขาทำในตอนนี้คืองานที่หลินเว่ยเว่ยแนะนำให้ เกวียนเทียมล่อที่ขับเข้าไปในเมืองก็เป็นของนาง ในแต่ละวันเขาไม่ต้องทำงานหนักก็ได้เงินกว่า 40 อีแปะแล้ว ตอนนี้มีคนในหมู่บ้านไม่น้อยที่กำลังอิจฉาเขาอยู่ ! เขาโตจนป่านนี้เพิ่งเคยได้ลิ้มรสชาติของการเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจเป็นครั้งแรก…มันช่างรู้สึกดีเหลือเกิน !
เขาสามารถพูดได้ว่าหลินเว่ยเว่ยเป็นผู้มีพระคุณของตน ! หลิวว่ายจื่อผู้นี้แม้ทำตัวไม่ดีไปบ้างก็เป็นคนที่จงรักภักดี รู้จักสำนึกบุญคุณ ! ในเมื่อครอบครัวของผู้มีพระคุณขาดแรงงาน ถ้าไม่มาช่วยก็คงรู้สึกผิด !
หลินเว่ยเว่ยมองท่าทางเกี่ยวข้าวสาลีที่ดูแย่ยิ่งกว่าบัณฑิตหนุ่มของหลิวว่ายจื่อ มีสองสามครั้งที่เขาเกือบจะเกี่ยวน่องของตน แม้แต่กางเกงก็โดนเกี่ยวเป็นรอยยาว นางจึงอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดหน้าแล้วกล่าวว่า “อาว่ายจื่อ ข้าวสาลีในนาถูกเกี่ยวไปพอสมควรแล้ว ท่านไปขับเกวียนเทียมล่อมาช่วยข้าขนกลับไปเถิด ! ”
ตั้งแต่เด็กจนโต หลิวว่ายจื่อเคยทำงานด้านเกษตรที่ไหนเล่า ? ถ้าเขาจับงานด้านนี้ แปลงนาของครอบครัวก็คงไม่เหี่ยวเฉามานานแรมปี ตอนเกี่ยวข้าวสาลี ตัวเขาก็มีเหงื่อโซก ! หลังได้ยินหลินเว่ยเว่ยกล่าวเช่นนั้น เขาจึงรีบโยนเคียวทิ้งแล้วสะบัดมือที่ร้อนเป็นไฟ จากนั้นก็รีบกลับไปยังหมู่บ้านเพื่อขับเกวียนมาทันที…งานของเกษตรกรเป็นงานที่เขาทำไม่ไหวอย่างแท้จริง !
ต่อจากนั้นหลิวว่ายจื่อก็ทำหน้าที่ขับเกวียนและขนข้าวสาลีที่มัดแล้วกลับมาบ้านตระกูลหลิน หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นบัณฑิตหนุ่มถูกจ้องมองจนเหนื่อยหน่าย นางจึงรีบเกี่ยวข้าวสาลีที่เหลือในคราวเดียว
นางหวงและนางเฝิงพาเจ้าหนูน้อยไปเก็บข้าวสาลีที่ตกหล่นในนา พวกนางตัดสินใจเก็บมันกลับมาทั้งหมด เพราะสำหรับครอบครัวชาวนาแล้ว ข้าวทุกเมล็ดคือสมบัติล้ำค่าโดยเฉพาะในปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ ข้าวแค่หยิบมือเดียวก็สามารถช่วยชีวิตคนได้หนึ่งชีวิตแล้ว
หลังเหลือบมองใบหน้าสีแดงก่ำของบัณฑิตหนุ่มและน้องชายคนโตแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็รีบกล่าวว่า “ที่นี่ไม่มีงานให้พวกเจ้าช่วยแล้ว กลับไปล้างหน้าล้างตาและอ่านตำราของพวกเจ้าเถิด ! ”
หลินจื่อเหยียนกวาดสายตามองวังม่านเหนียงที่กำลังนั่งพักอยู่บนพื้น…ดูเจ้าสิ ไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านแต่วิ่งมานั่งในนาไม่กี่หมู่แทน !
เมื่อหันไปมองอีกทาง คุณหนูหวังกำลังทำตาหวานแลเหงื่อโซก แต่ก็ไม่อาจทำใจจากไปได้อีกคน…ศิษย์พี่เจียงมีเสน่ห์เกินห้ามใจเสียจริง ! ข้ากังวลแทนพี่รอง ดูจะเป็นการแข่งขันที่ไม่ได้ใช้แรงน้อยนิดเสียแล้ว !
เจียงโม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังวางเคียวในมือแล้ว เขาก็เดินเข้าหมู่บ้านโดยไม่เหลือบมองสาวน้อยทั้งสองแม้แต่น้อย ส่วนวังม่านเหนียงและหวังอันชิงก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างโง่งม…ท่าทางการเดินของบัณฑิตเจียงทำให้คนมองใจสั่นได้เลย !
ขณะที่เจียงโม่หานกำลังจะถึงหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า “หมูป่า ! ระวัง มีหมูป่าลงจากเขา ! ! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงตามมาติด ๆ เจียงโม่หานนึกถึงร่างกายอันอ่อนแอของนางเฝิงและนางหวงขึ้นมาทันที พวกนางล้วนอยู่ในนา แถมในนายังมีเด็กน้อยที่อายุไม่ห่างจากเจ้าหนูน้อยอีกหลายคนด้วย เขาจึงรีบหันหลังแล้ววิ่งกลับไปทันที
“กรี๊ด…ช่วยด้วย! ช่วยด้วย ! ! ” ใบหน้าที่โดนแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมของคุณหนูตระกูลหวังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนตื่นตกใจ นางกรีดร้องเสียงสูงจนทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบแสบแก้วหูทันที
หมูป่าที่ลงจากเขามีประมาณ 3-4 ตัว เห็นได้ชัดว่ามีหมูป่าตัวหนึ่งตื่นตกใจเพราะเสียงกรีดร้องของนาง มันย่อเท้าทั้งสี่ลงแล้วแผดเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหานางทันที
ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบต่างพากันวิ่งหนี หวังอันชิงถึงขั้นน้ำตาตก นางวิ่งไปทางชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งพร้อมกันนั้นก็กล่าวว่า “ช่วยข้าด้วย ! ช่วยหยุดเจ้าหมูป่า แล้วข้าจะบอกให้ท่านพ่อมอบเงิน 10 ตำลึงแก่เจ้า ! ”
ชาวบ้านคนนั้นมองหมูป่าที่วิ่งอยู่ข้างหลังนาง คมเขี้ยวสีขาวคู่หนึ่งเปล่งประกายยามกระทบกับแสงแดด ฝีเท้าของมันทำให้พื้นสั่นสะเทือนจนชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปถึงขั้นใจสั่น แม้เงิน 10 ตำลึงน่าดึงดูดใจไม่น้อย แต่เงินหรือชีวิตสิ่งใดสำคัญกว่ากัน ! ชาวบ้านคนนั้นจึงรีบวิ่งหนีทันที !
ในใจของหวังอันชิงรู้สึกสิ้นหวัง ไม่ว่านางจะวิ่งไปทางใด ชาวบ้านที่อยู่ทางนั้นก็จะวิ่งหนีกันหมด ไม่มีใครยอมช่วยนางแม้แต่คนเดียว !
เสียงฝีเท้าและเสียงคำรามของหมูป่าที่อยู่ด้านหลังเริ่มเข้ามาใกล้นางขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ตัวนางที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เวลาจะออกไปไหนก็นั่งรถม้าเสมอ เรี่ยวแรงจึงมีจำกัดและไม่มีทางยืนหยัดต่อไปได้เหมือนคนปกติ
น้ำตาผสมหยาดเหงื่อ สายตาของนางเริ่มพร่ามัว ลมหายใจอันหอบเหนื่อยก็เหมือนเครื่องสูบลม ปอดปวดร้าวจนแทบระเบิด ไม่ไหว นางจะไม่ไหวแล้ว !
ตัวนางเป็นบุตรสาวของเศรษฐีที่โดนเอาใจมาตั้งแต่เด็ก เหตุใดนางจึงคิดไม่ตกที่จะมายังแปลงนาหมู่นี้ ? ในสายตาของบัณฑิตเจียงไม่เคยมีนางอยู่เลย เหตุใดนางยังต้องดึงดันจะมาหาเขาให้ได้ ?
เมื่อใกล้ตายแล้ว มนุษย์ก็มักคิดตกเสมอ…รวมถึงสำนึกในความดื้อรั้นของตนด้วย !
หวังอันชิงรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับเต็มไปด้วยตะกั่ว นางไม่อาจขยับมันได้อีกต่อไป ส่วนหมูป่าที่อยู่ข้างหลังก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ นั่นคือความตายที่กำลังใกล้เข้ามาทีละก้าว…
ทันใดนั้นในระยะสายตาของนางก็ปรากฎร่างกายอันงดงามของใครคนหนึ่งขึ้นมา…บัณฑิตเจียงหรือ ? เขาไม่ได้กลับหมู่บ้านไปแล้วหรือ ? หรือว่า…หรือว่าเขาจะกลับมาเพื่อช่วยนาง ?
“บัณฑิตเจียงช่วยข้าด้วย ! ” พละกำลังที่แฝงอยู่ในร่างกายของนางถูกกระตุ้นขึ้นในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตาย หวังอันชิงเป็นเหมือนคนที่โดนฉีดเลือดไก่เข้าเส้นเลือด นางเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าหาเจียงโม่หานทันที !
1 ทหารหลายพันนายข้ามสะพานไม้แผ่นเดียวกัน หมายถึง มีคนจำนวนมากที่ต้องการบรรลุเป้าหมายบางอย่าง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถผ่านไปได้