หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 146 ความรู้สึกของหนุ่มสาว
ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าใจผิดว่าเจียงโม่หานพุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลิน หรือจะกล่าวได้ว่าทำเพื่อหลินเว่ยเว่ยนั่นเอง ! อย่าเอ็ดไป ! บัณฑิตเจียงเคยสนใจเรื่องของใครบ้าง ? หรือสุดท้ายจันทราสว่างไสวนี้จะโดนเด็กโง่เขลาดึงลงมาจากนภา ?
เรื่องที่หลานสาวชื่นชอบบัณฑิตเจียงนั้น ผู้ใหญ่บ้านทราบดี แน่นอนว่าบัณฑิตเจียงเป็นตัวเลือกดีที่สุดของทุกคน เด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์น่าภาคภูมิใจคนหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำตัวสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง บัณฑิตเจียงไม่เคยสนใจมองเด็กสาวในหมู่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว…ทว่าบุตรสาวคนรองตระกูลหลินสมองมีปัญหากลายเป็นข้อยกเว้น หรือนี่จะเป็นโชคของคนโง่เขลาที่มักเอ่ยถึงกัน ?
“วันนี้รดน้ำในแปลงนาบ้านนางหนูรองก่อนแล้วกัน ! ” ผู้ใหญ่บ้านหันไปมองหลินเว่ยเว่ยที่กำลังยืนยิ้มอยู่อีกด้านหนึ่ง “ทุกคนคงไม่มีข้อโต้แย้งใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่มี ! ”
“ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ! ”
“นางหนูรองออกแรงเยอะที่สุด ตามหลักแล้วเราควรรดน้ำที่นาของนางก่อนอยู่แล้ว ! ”
พวกชาวบ้านต่างพยักหน้ารับ
ซัวถัวเห็นบิดาลงมาจากกังหันวิดน้ำแล้วจึงกะโดดขึ้นไปพร้อมรอยยิ้ม “ตระกูลหลินไม่มีผู้ชายที่แข็งแรง ข้าจะช่วยน้องรองเอง ! ”
“ไอหยา ! ซัวถัว เจ้าช่วยนางในฐานะใดหรือ ! ” หญิงคนหนึ่งเห็นเป็นเรื่องสนุกจึงเอ่ยเย้าขึ้นมา
ซัวถัวหน้าแดงก่ำพลางแอบเหลือบมองหลินเว่ยเว่ยที่กำลังยืนอยู่พร้อมร่างสะโอดสะองดั่งดอกกุหลาบผุดขึ้นทางด้านหนึ่ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอายว่า “ท่านแม่ของข้าสนิทกับป้าหวง สองบ้านจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็สมควรอยู่แล้ว ยังต้องใช้ฐานะอันใดอีก ? ”
“ไอหยา ! ซัวถัว หากเจ้าไม่ได้คิดอันใดแล้วทำไมหน้าแดง ? เจ้าคงไม่ได้…คิดอันใดกับนางหรอกนะ ? ” สหายที่เติบโตมาด้วยกันคนหนึ่งสะกิดไหล่เขาและขยิบตาให้
“เจ้า…อย่าพูดเหลวไหล ! จะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย…” แววตาของซัวถัวค่อนข้างสับสน เขาเงยหน้ามองท่าทีของหลินเว่ยเว่ย
ในชาติก่อน ถ้อยคำหยอกเย้าเช่นนี้ หลินเว่ยเว่ยเคยเจอมาเยอะแล้ว มันเป็นเพียงคำพูดสนุกสนานไร้สาระ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่นางจะไม่เก็บมาใส่ใจ
ซัวถัวเห็นท่าทางของหลินเว่ยเว่ยไม่ได้เปลี่ยนไปก็เข้าใจผิดว่านางไม่ได้ยินจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ทว่าเจียงโม่หานสามารถอ่านความคิดในใจของซัวถัวออกทันที…ความรู้สึกของหนุ่มสาวจะแปรผันไปเรื่อย ๆ…ผักกาดขาวเน่าข้างบ้านมีหมูคิดจะเข้ามากินแล้ว แต่ก็พูดเถิด หมูตัวนี้ไม่คู่ควรกับผักกาดขาวเน่าของเขา…ไม่ใช่สิ ผักกาดขาวเน่าข้างบ้านต่างหาก พูดผิดไป พูดผิดไปแล้ว !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ถามหลินจื่อเหยียนที่กำลังอยากรู้อยากลองอยู่ข้าง ๆ ว่า “ทำไม ? เจ้าอยากลองบ้างหรือ ? ถีบกังหันวิดน้ำต้องใช้แรงเยอะมาก เจ้าสามารถไปลองได้ครู่หนึ่ง ถ้าเหนื่อยก็บอกข้า อย่าฝืนตนเอง เจ้ายังเด็กร่างกายยังโตไม่เต็มที่ ถ้าเหนื่อยจนล้มป่วยก็จะไม่โตเอานะ ! ”
“พี่รอง ท่านรู้หรือไม่ ? น้ำเสียงของท่านในตอนนี้ทำให้ข้าเข้าใจผิดว่าท่านแม่กำลังคุยกับข้าอยู่ ! รู้หรือไม่ว่าท่านอายุมากกว่าข้าแค่หนึ่งปี” หลินจื่อเหยียนกลอกตาใส่นาง
หลินเว่ยเว่ยไม่สนใจการทักท้วงของอีกฝ่าย นางลูบศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าตัวแสบ รู้จักหยอกล้อข้าแล้วหรือ ! แม้จะแค่หนึ่งปี ข้าก็เป็นพี่ของเจ้าอยู่ดี ! ”
หลินเว่ยเว่ยเรียกซัวถัวลงมา จากนั้นก็ผลักหลินจื่อเหยียน “ไปสิ ถ้าต่อไปปากร้ายใส่ข้าอีก เจ้าลองคิดแล้วกันว่าจะรับหมัดข้าไหวหรือไม่ ! ”
หลินจื่อเหยียนหันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่นาง เจ้าเด็กนี่ นับวันก็ยิ่งขี้เล่นและซุกซนเหมือนเด็กอายุ 13 ที่สมวัย เขายังเป็นเด็กในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ดังนั้นเขาควรจะมีพลังงานและกระฉับกระเฉงเช่นนี้ !
“สายตาที่เจ้ามองจื่อเหยียนตอนนี้ ราวกับมารดามองบุตร มันทั้งอ่อนโยนและใจดี ! ” เจียงโม่หานมายืนด้านข้างนางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทำให้สายตาและเสียงกระซิบจากชาวบ้านดังขึ้นอีกครั้ง
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองบัณฑิตหนุ่ม ทว่ารอยยิ้มตรงมุมปากของนางทำให้เจียงโม่หานรู้สึกแปลก…ในสมองของเด็กตัวเหม็นกำลังคิดเรื่องไร้สาระอีกแล้วกระมัง ?
ขณะมองบัณฑิตหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง หลินเว่ยเว่ยก็คิดว่าเจ้าหมอนี่อาการหนักยิ่งกว่า เนื่องจากเด็กหนุ่มอายุ 15 ปี ถ้าเป็นเมื่อชาติก่อนคือเด็กในชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามหรือสี่ แต่เขาทำตัวเหมือนคนแก่ที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกอย่าง ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหงุดหงิด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่นางอยากแกล้งเขา !
พอเห็นสีหน้าอันสงบนิ่งของเขากำลังแตกร้าวก็จะทำให้นางรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ! เหมือนการได้กินไอศกรีมสักถ้วยในวันที่อากาศร้อน !
บัณฑิตหนุ่มขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม…เด็กคนนี้ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ได้ นางกำลังคิดร้ายอันใดอยู่ ? อย่างไรก็ตามเขาภูมิใจในการยับยั้งชั่งใจและการควบคุมตัวเองมาโดยตลอด ทว่าพอมาอยู่ต่อหน้าเด็กตัวแสบแล้ว เขามักจะทำมันไม่ได้ หรือเด็กคนนี้จะเกิดมาเพื่อเป็นดาวอัปมงคลของเขา ?
ริมฝีปากของหลินเว่ยเว่ยเปิดขึ้นเล็กน้อย “บัณฑิตน้อย อย่าทำตัวเหมือนคนแก่ที่คอยขมวดคิ้วทั้งวัน แม้จะเป็นคิ้วหรือตาที่ดูดีมากเพียงใด หากขมวดบ่อย ๆ ระหว่างคิ้วของเจ้าจะเป็นริ้วรอย น่าเกลียดจะตาย ! ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง “บุรุษมองกันที่ความสามารถ ไม่ได้ดูที่หน้าตา ! ”
“ยอมรับว่าข้าคิดตื้นเขิน ! ห้ามขมวดคิ้ว ห้ามมุ่ยปาก ทำเหมือนข้านี่สิ ยิ้มให้มากหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้นิ้วจิ้มแก้มทั้งสองข้างของตน จากนั้นดวงตาของนางก็โค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว
“ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ! ” สายตาของเจียงโม่หานดูสับสนขึ้นมาทันที ท้ายที่สุดก็ยังเอ่ยปากถาม “ระหว่างหมอนปักที่งดงามแต่ยัดไส้ด้วยหญ้าฟาง กับคนที่หน้าตาธรรมดาแต่เป็นคนเก่งเปี่ยมพรสวรรค์และอนาคตสดใส เจ้าจะเลือกใคร ? ”
“เลือกอะไร ? ” หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยความสับสน
“แน่นอนว่าเลือกสามี เจ้าอยากเลือกเช่นไร ? ” เจียงโม่หานพ่ายแพ้ให้แก่สตรีนางนี้อีกแล้ว เขาอยากผ่าสมองนางดูจริง ๆ ว่าเหตุใดนางจึงไม่เหมือนคนอื่นเลย
หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่น เมื่อเอ่ยถึงการเลือกสามีแล้วคงบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย หน้าแดงไปนานแล้ว ทว่าหลินเว่ยเว่ยเป็นคนทั่วไปหรือไม่ ? นางหน้าไม่แดง ใจไม่เต้นรัวและตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า
“บัณฑิตน้อย เหตุใดเจ้าจึงเป็นห่วงเรื่องชีวิตคู่ของข้าได้ ? ทำไมหรือ ? กลัวว่าข้าจะเกาะเจ้าไปตลอดหรือไร ? วางใจได้ ข้าเคยบอกนานแล้วว่าชั่วชีวิตนี้ไม่คิดออกเรือน ! หากกังวลว่าข้าจะทำตัวใกล้ชิดกับเจ้าเกินไปแล้วส่งผลต่อชื่อเสียงของเจ้า ต่อไปข้าจะระวังหน่อย พยายามไม่อยู่ใกล้เจ้า…”
“เหตุใดไม่คิดจะออกเรือน ? ชีวิตของมนุษย์บอกว่ายาวก็ไม่ยาว บอกว่าสั้นก็ไม่ได้สั้น แล้วเจ้าคิดจะอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตหรือ ? ” เจียงโม่หานหันไปจ้องนาง…ถ้อยคำเหล่านี้ของนางเป็นความรู้สึกแท้จริงหรือว่าอยากพูดให้เขาตายใจเท่านั้น ?
หลินเว่ยเว่ยเลิกคิ้วพร้อมยกยิ้มที่มุมปากขึ้น “เจ้าจะเลือกสตรีที่แปลกแยกในสายตาผู้อื่นมาเป็นภรรยาหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ก็ไม่แน่ ! ”
“ฮ่าฮ่า ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ “บัณฑิตน้อย เจ้าพูดเช่นนี้ไม่กลัวข้ารู้สึกมีความหวังแล้วตามตื้อเจ้าไม่เลิกหรือ ? ”
“เจ้าจะทำหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานมองนางแล้วย้อนถาม
หลินเว่ยเว่ยยิ้มและส่ายหน้า “หากบุรุษไร้ใจ ข้าก็คงไม่ทำ ! เหมือนแตงที่ฝืนเด็ดมาก่อนเวลาก็จะไม่หวาน ! เจ้าอย่ามองว่าข้าหัวเราะมีความสุข ไม่จริงจังต่อสิ่งใด ทว่าข้าเป็นพวกคลั่งความสะอาดด้านความรู้สึกเชียวนะ ! ”
“ ‘คลั่งความสะอาดด้านความรู้สึก’ คือสิ่งใด ? ” เจียงโม่หานได้ยินคำพูดแปลก ๆ จากปากนางเพียงหนึ่งครั้ง ในใจก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในที่มาของตัวนางอีกแล้ว…ต้องมาจากสภาพแวดล้อมเช่นไรถึงจะสร้างบุคคลที่แปลกประหลาดและน่าสนใจเช่นนี้ได้ ?