หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 149 เสี่ยวกวนยังดีกว่าเจ้า
หลีชิงออกไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมนกขี้บ่นสามตัว
หลินเว่ยเว่ยรับช่วงต่อ นางนำนกขี้บ่นสามตัวไปทำความสะอาดแล้วใช้เกลือถูล้างสักพักหนึ่ง หลังจากน้ำในหม้อดินเผาเดือดแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งจับ ‘มังกรบิน’ ไว้เหนือน้ำแล้วใช้มืออีกข้างถือกระบวยตักน้ำเดือดจัดราดบนตัว ‘มังกรบิน’ ขณะเดียวกันก็หมุนตัวนกอย่างต่อเนื่อง เมื่อสุกได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้วก็ใส่นกขี้บ่นและต้นหอมสับลงในหม้อ จากนั้นก็รอเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้ได้แล้ว
เจียงโม่หานไม่เคยเห็นวิธีทำเช่นนี้มาก่อน เขาจึงไม่กล้าลองชิม ‘อาหารอันโอชะแสนเลื่องชื่อ’ หลินเว่ยเว่ยจึงหัวเราะแล้วบอกว่าเขาไม่รู้จักของดี
เวลาอาหารกลางวันผ่านมาได้พักใหญ่แล้ว ในที่สุดผู้คนที่ไปดูเรื่องสนุกบนภูเขาก็ต้องกลับมาเพราะเสียงท้องร้อง แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าประตูบ้านของตนก็ได้กลิ่นอันหอมหวนลอยมาแต่ไกล
พวกสหายของเจ้าหนูน้อยน้ำลายไหลและหันมามองเขาด้วยสายตาอิจฉา…นี่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลแต่ก็ได้กินเนื้อ นอกจากตระกูลหลินก็ไม่มีบ้านไหนทำได้
“เอ้อร์ฮว๋า บ้านเจ้าทำของอร่อยอันใด หอมมาก…” โกวต้านที่แก่กว่าเจ้าหนูน้อย 2 ปี ลูบจมูกของตนแล้วสูดน้ำลายที่กำลังจะไหลออกมา จากนั้นก็สูดกลิ่นที่หอมฟุ้งในอากาศ
เจ้าหนูน้อยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “น่าจะเป็นหน่อไม้ที่พี่รองขุดมาจากบนเขาแล้วก็ไก่ป่าที่ล่าได้เมื่อวาน น้ำแกงไก่ที่พี่รองทำอร่อยมากเลย ! ”
“หากข้ามีพี่รองที่เก่งกาจเช่นนี้บ้างก็คงดี ! ” โกวต้านจำแทบไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กินเนื้อคือเมื่อไร
เจ้าหนูน้อยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ ถ้าเจ้าช่วยข้าเกี่ยวหญ้ากระต่าย 10 วัน คราวหน้าตอนที่บ้านข้าต้มน้ำแกงอีก ข้าจะแบ่งเนื้อไว้ให้เจ้าสองชิ้น ว่าอย่างไร ? ”
เพราะกระต่ายสองตัวใหญ่ที่บ้านจะคลอดลูกหนึ่งครอกในระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ตอนนี้ในบ้านมีกระต่ายประมาณ 60 ตัวแล้ว ถ้าให้เขาเป็นคนเกี่ยวหญ้าให้อาหารทั้งหมดก็คงทำไม่ไหว !
เจ้าหนูน้อยเห็นพี่รองจ้างคนมาช่วยทำเนื้อแผ่นจึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง…เขานำเนื้อที่เหล่าสหายอิจฉามาเป็นตัวล่อในการให้อีกฝ่ายมาช่วยเกี่ยวหญ้ากระต่าย !
“เอ้อร์ฮว๋า หากข้าช่วยตัดหญ้าให้กระต่ายวันละ 1 ตะกร้า เจ้าก็จะแบ่งเนื้อให้ข้าสองชิ้นหรือ ? ” เฮ่ยจื่อยกมือสีคล้ำขึ้นมา ทันใดนั้นเพื่อนห้าคนที่เหลือก็ส่งสัญญาณว่าจะช่วยด้วย
เจ้าหนูน้อยยิ้มหน้าบาน “จริง ๆ แล้วบ้านข้าไม่ได้ใช้หญ้ากระต่ายมากถึงเพียงนั้นหรอก แต่พวกเจ้าล้วนเป็นสหายที่สนิทของข้า จะให้ฝนตกไม่ทั่วฟ้าก็ไม่ดี ดังนั้นข้าจะรับหญ้าที่พวกเจ้าเกี่ยวมาทั้งหมด ! ”
หญ้ากระต่ายที่ได้รับทุกวัน แม้กระต่ายจะกินไม่หมดก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถนำไปตากแห้งแล้วเก็บไว้ทำเป็นอาหารกระต่ายในฤดูหนาวได้ ! แต่…กระต่ายโตเต็มวัยในบ้านมีเยอะเกินไปแล้ว ตัวที่กินเยอะเกินไปก็ควรจะแบ่งขายสักส่วนดีหรือไม่ ?
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็บอกลาบรรดาสหายอย่างกะทันหันแล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องครัวของบ้านทันที หลินเว่ยเว่ยหันมามองเขาแล้วแกล้งหยอกเย้าว่า “จมูกเจ้าหนูน้อยของเราดีมาก ! แกงมังกรบินใกล้เสร็จแล้ว เจ้าไปล้างมือเถิด ประเดี๋ยวข้าทำอาหารอีกสองอย่างก็กินข้าวได้แล้ว ! ”
เจ้าหนูน้อยไม่ได้รีบออกไป เขากล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “พี่รอง ข้าอยากแบ่งกระต่ายที่อยู่ในบ้านครึ่งหนึ่งไปขายได้หรือไม่ ? ”
“ได้สิ กระต่ายของเจ้า เจ้าตัดสินใจได้เลย ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ เขาก็คิดที่จะขายกระต่าย นางถามเขาว่า “เจ้าอยากขายกระต่ายตัวเป็น ๆ เลย หรือจะเอามันไปแปรรูปเป็นอาหารก่อน ? ”
“แปรรูปก่อนหรือ ? จะเอามาแปรรูปอย่างไร ? เอาไปทำเป็นเนื้อกระต่ายแผ่นเหมือนกันหรือ ? ” เนื้อหมูป่าที่ถูกแปรรูปเป็นเนื้อแผ่น หลังจากหักต้นทุนแล้วก็จะได้กำไรเกือบเท่าตัวซึ่งเจ้าหนูน้อยรู้เรื่องนี้ดี จุดประสงค์ของเขาในการเลี้ยงกระต่ายก็เพื่อหารายได้และแบ่งเบาภาระแก่ครอบครัวไม่ใช่หรือ ? ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ได้เงินเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี !
หลินเว่ยเว่ยยิ้มและส่ายหน้า “พวกเราไม่ทำเนื้อกระต่ายแผ่นหรอก แต่เราจะทำเป็นเนื้อกระต่ายผัดห้าเครื่องเทศ ! ”
“เช่นนั้น…เนื้อกระต่ายผัดห้าเครื่องเทศก็เหมือนเนื้อแผ่นที่ขายออกไปในราคาดีใช่หรือไม่ ? ” เจ้าหนูน้อยไม่กังวลเรื่องรสชาติของเนื้อกระต่ายผัดห้าเครื่องเทศแต่อย่างใด หากพี่รองพูดว่าได้ก็ต้องไม่เลวร้ายแน่นอน สิ่งที่เขาเป็นห่วงในตอนนี้คือกระต่ายที่เลี้ยงมา 4 เดือนกว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินได้เท่าไหร่ !
“แน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยเกาจมูกของตน จากนั้นก็คลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้องสี่ของพวกเรารู้จักหาเงินให้ครอบครัวแล้ว ! ”
เจ้าหนูน้อยเกาหลังศีรษะด้วยความเขินอาย “ตอนนี้เงินยังไม่ถึงมือเลย…จะเทียบกับพี่รองได้เช่นไร ! ”
เมื่อคนในครอบครัวกลับมาหมดแล้ว ทุกคนก็นั่งล้อมวงที่โต๊ะหิน ‘แกงมังกรบิน’ หนึ่งหม้ออันหอมหวน ข้าวขาวสีละมุน หลังรวมกับผัดผักตามฤดูกาลอีกสองอย่างแล้วอาหารเลิศรสก็อร่อยเพิ่มขึ้นทันที
หลินเว่ยเว่ยตักแกงมังกรบินให้คนละถ้วย เนื้อของนกขี้บ่นเป็นสีขาวนวลละเอียด แม้ตัวน้ำแกงจะเป็นสีใสแต่มันก็เข้มข้นและเต็มไปด้วยกลิ่นหอม หลังจากค่อย ๆ ยกมาอังจมูก กลิ่นหอมละมุนก็ซึมลึกเข้ามาในโพรงจมูก หากเป่าครู่หนึ่งแล้วจิบช้า ๆ เมื่อน้ำแกงอยู่ในปากเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ต่อมรับรสได้สัมผัสแล้วก็จะมอบความอร่อยที่ไม่สามารถบรรยายได้
ผ่านไปไม่นานแกงมังกรบินเต็มหม้อก็เหลือก้นหม้อ เพื่อแกงถ้วยสุดท้ายนี้ เจียงโม่หานกับหลีชิงแทบจะต่อสู้กันเลยทีเดียว
หลีชิงจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เอ่ยออกด้วยเสียงทุ่มต่ำ “นกขี้บ่นนี้ข้าเป็นคนยิงกลับมา ดังนั้นแกงถ้วยนี้ข้าควรได้กิน ! ”
เจียงโม่หานมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่ยอมแพ้ “แกงมังกรบินนี้เว่ยเว่ยทำให้ข้า ! ”
หลีชิงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายมานานแล้ว “เจ้ามีฐานะอันใด มีสิทธิ์อันใดถึงให้เสี่ยวเว่ยทำโน้นทำนี่ให้ ? ขณะเพลิดเพลินกับความสุขที่ผู้อื่นทำให้ เจ้ากลับตระหนี่ในการกระทำของตน แม้แต่เสี่ยวกวน1ในซ่องยังดีกว่าเจ้า เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็รู้จักยิ้มให้ลูกค้า ! ”
‘ปัง ! ’ ทันใดนั้นโต๊ะหินก็สั่นสะเทือน คนที่นั่งข้างโต๊ะล้วนตกใจทันที…รวมถึงสองคนที่กำลังทะเลาะกันด้วย เมื่อเห็นคนที่ลงมือตบโต๊ะแล้ว พวกเขาก็มองด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าหลินเว่ยเว่ยจะตบโต๊ะอาหารเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวจนกลายเป็นก้อนกรวดแทน
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ! เพื่อแกงถ้วยเดียวมันคุ้มค่าหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้หลีชิงเพื่อบอกให้เลิกพูดได้แล้ว บัณฑิตหนุ่มมีนิสัยเย่อหยิ่ง หากพูดจนเขาหัวเสียแล้วก็ไม่ได้ง้อง่าย ๆ หรอกนะ !
เจียงโม่หานโกรธจนหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนสี เขานั่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์…หัวใจขนาดน้อยนิดของข้าถูกทำร้ายแล้ว ข้าไม่ควรได้แกงมังกรบินมาบำรุงสักถ้วยหรือ…เสี่ยวเว่ย เจ้าคิดเองแล้วกัน !
เจ้าหนูน้อยมองแกงมังกรบินถ้วยสุดท้ายด้วยความโลภ น่าเสียดายที่กระเพาะของตนเล็กเกินไป มันใส่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเข้าไปแย่งกับพี่หลีชิงและพี่โม่หานด้วย เจ้าหนูน้อยจ้องแกงมังกรบินแล้วถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “พี่รอง ซ่องคือสิ่งใด ? เสี่ยวกวนเป็นเจ้าหน้าที่ทางการหรือ ? ”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ถลึงตาใส่หลีชิงด้วยความโมโห “ดูเจ้าสิ ทำเด็กเสียคนหมด ! ข้าขอลงโทษโดยห้ามเจ้ามากินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วก็เร็วเลย รีบกลับไปทบทวนตนเองที่บ้านด้านข้าง ! บัณฑิตน้อย อีกประเดี๋ยวข้าจะทำเนื้อกระต่ายผัดห้าเครื่องเทศให้ เจ้าเก็บไว้กินตอนอ่านตำราตอนกลางคืน…”
เจียงโม่หานใช้นัยน์ตาสีรัตติกาลมองนางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ข้ามีฐานะอันใด ? ยังมีสิทธิ์ได้เพลิดเพลินกับความสุขที่เจ้าทำให้อยู่หรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเบนสายตาขอความช่วยเหลือไปทางนางเฝิงที่กำลังมองเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง…น้าเฝิง ช่วยข้าด้วย ช่วยปลอบบัณฑิตน้อยผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีและแสนเปราะบางของท่านหน่อยเถิด
1 เสี่ยวกวน แปลว่า คณิกาชาย