หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 167 มีกลิ่นอายของแฟนหนุ่มหรือไม่
หลินเว่ยเว่ยบอกกับทุกคน “ข้าก็ชอบกินเมล็ดสนและเวลากินก็ไม่อยากปวดฟันเช่นกัน…วันหนึ่งข้าจึงเผลอค้นพบวิธีที่ทำให้เปลือกสีดำของเมล็ดสนเปิดออก ! ”
เจียงโม่หานคิดในใจว่า ‘เผลอ ? ถ้าเจ้าไม่เผลอคงคิดวิธีบินขึ้นฟ้าได้เลยสิท่า ! ’
“เปิดออก ? ถ้าเปลือกของเมล็ดสนเปิดออกก็แค่ใช้มือบีบเบา ๆ เมล็ดสีนวลด้านในก็จะหลุดออกมาสินะ เมล็ดสนพร้อมทานเช่นนี้ต้องเป็นที่ชื่นชอบของทุกบ้านแน่นอน ! ” ทันใดนั้นบุตรชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านก็มองหลินเว่ยเว่ยด้วยแววตาเป็นประกาย
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “ใช่ ! ข้าตั้งชื่อเมล็ดสนเช่นนี้ว่า ‘เปิดปากยิ้ม’ แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือถ้าเมล็ดสนมีรสชาติเหมือนเดิมหมด พอกินเข้าไปเยอะ ๆ แล้วจะรู้สึกเบื่อ ดังนั้นเราต้องทำให้มีรสหลากหลายคือนำไปปรุงรสกับเครื่องเทศ เกลือและพริก ครีม…เมื่อมีรสชาติที่หลากหลายแล้วจะกินมากเพียงใดก็ไม่รู้สึกเบื่อ ! ”
หลังได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกตื่นเต้นทันที ใช่ ยิ่งรสชาติหลากหลายมากเท่าไรก็แปลว่าโอกาสที่จะขายออกมีมากขึ้นเท่านั้น หากเก็บเมล็ดสนไว้อย่างเหมาะสมก็จะเก็บได้นานถึงครึ่งปี ขายช้า ๆ ไม่ต้องรีบ อย่างไรก็ต้องมีวันขายหมด !
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “นางหนูรอง สูตรลับของเจ้า…เช่นนั้น…ให้พวกเราขายเมล็ดสนในราคา 10 อีแปะต่อชั่งให้เจ้าดีหรือไม่ พอเจ้าทำเสร็จแล้วก็เอาไปขาย ไม่ว่าได้เงินมาเท่าไหร่ก็เป็นของเจ้า ว่าอย่างไร ? ”
คนอื่นก็เห็นด้วย พวกเขาล้วนพยักหน้ากันอย่างต่อเนื่อง…ถ้าตระกูลหลินทำเมล็ดสนสำเร็จรูปขายแล้วคนงานไม่พอก็ต้องจ้างคนเพิ่มแน่นอน ! เกือบทุกครอบครัวที่ประสบปัญหาล้วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความหวังทันที
แต่หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าลำบากใจ “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านก็เห็นแล้วว่าลานบ้านข้าใหญ่แค่นี้และแทบทุกเตาก็ใช้อบหรือเต็มไปด้วยเครื่องครัว ไหนเลยจะว่างให้ทำเมล็ดสนอีก…”
ผู้ใหญ่บ้านมีวิธีแก้ไข “บ้านตระกูลฝางยังว่างอยู่ไม่ใช่หรือ ? ตอนที่ตระกูลฝางออกไปก็บอกไว้แล้วว่ายกบ้านหลังนั้นให้หมู่บ้าน ข้าตัดสินเอง ข้าจะให้เจ้ายืมบ้านหลังนั้นใช้…ทุกคนมีความเห็นใดหรือไม่ ? ”
บ้านตระกูลฝางก็เหมือนตระกูลหลินที่เพราะสงครามจึงหนีมาทางเหนือและตั้งรกรากในหมู่บ้านฉือหลี่โกว ช่วงหลายปีก่อน ภายใต้การช่วยเหลือของตระกูลหลัก บ้านตระกูลฝางจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านเก่า เดิมทีพวกเขาคิดจะขายบ้านที่มีอยู่ แต่คนในฉือหลี่โกวที่มีเงินพอจะซื้อบ้านก็ไม่ได้สนใจจะซื้อ ส่วนคนที่ขาดบ้านก็ไม่มีเงิน ท้ายที่สุดตระกูลฝางจึงใจกว้างยกบ้านหลังนั้นให้เป็นสินทรัพย์ของหมู่บ้าน
บ้านตระกูลฝางมีขนาดพอ ๆ กับตระกูลหลิน บ้านหลังใหม่เอี่ยม คนในหมู่บ้านล้วนอยากเข้าไปอยู่ทั้งนั้น เพื่อบ้านหลังนี้แล้วมีหลายครอบครัวแย่งชิงกันจนแทบหมดแรง สุดท้ายก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าจะให้ใครอยู่ ดังนั้นบ้านจึงว่างมาจนถึงบัดนี้ !
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ามีสองทางเลือก ทางแรกคือทำเหมือนที่ผู้ใหญ่บ้านเสนอคือพวกท่านขายเมล็ดสนให้ข้าในราคา 10 อีแปะต่อ 1 ชั่ง แล้วข้าก็ออกเงินจ้างคนในหมู่บ้านมาช่วยงาน ส่วนเมล็ดสนที่ทำออกมาแล้วไม่ว่าขายได้เงินเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกท่านอีก ส่วนอีกทางหนึ่งคือคนในหมู่บ้านสร้างโรงงานแปรรูปเมล็ดสนขึ้นมา ทุกคนลงแรงและออกเงิน เมื่อถึงเวลาทำเงินได้แล้วก็แบ่งกันอย่างเท่าเทียม…พวกท่านคิดเช่นไร ? ”
“เรื่องนี้…” ผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถตัดสินใจเพียงลำพังได้ เขาจึงหันไปมองพวกชาวบ้านที่อยู่โดยรอบแล้วกล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “นางหนูรอง พวกเราต้องกลับไปปรึกษากันก่อนแล้วค่อยมาให้คำตอบอีกที”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า แต่แล้วเสียงของเจียงโม่หานก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา “ช้าก่อน ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยความสงสัย ผู้ใหญ่บ้านก็ถามด้วยความประหลาดใจ “บัณฑิตเจียง มีเรื่องอันใดหรือ ? ”
“หลินเว่ยเว่ยร่วมทำธุรกิจกับร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ในเขตเริ่นอัน นางแค่บอกสูตรขนมก็ได้เงินปันผลสามในสิบส่วนแล้ว หากคนทั้งหมู่บ้านร่วมกันสร้างโรงงาน นางออกแรงและยังบอกสูตรด้วย ทว่าได้แบ่งผลประโยชน์เท่ากับทุกคน มันจะไม่ยุติธรรมต่อนางไปหน่อยหรือ ! ”
เจียงโม่หานหันมามองหลินเว่ยเว่ยปราดหนึ่ง ปกตินางไม่ได้ฉลาดนักหรือไร เหตุใดพอโดนเอาเปรียบแล้วถึงไม่พูดให้ชัดเจน…โดนเอาเปรียบแล้วเหมือนไม่ได้สิ่งใดเลย
ผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวว่า “ความหมายของบัณฑิตเจียงคือ…”
“ทุกคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เงินปันผลสามในสิบส่วนไม่ต้องกล่าวถึงก็ได้ แต่อย่างไรก็ควรให้สักสองในสิบส่วน ! เว่ยเว่ยพาพวกเจ้าขึ้นเขาไปเก็บเมล็ดสน บอกวิธีเปิดเปลือกเมล็ดสนแถมยังเอื้อสูตรเมล็ดสนปรุงรสเครื่องเทศ เมล็ดสนรสเกลือและพริก เมล็ดสนรสครีมอีก ดังนั้นกำไรสองในสิบส่วนของโรงงานแปรรูปต้องมอบให้นาง ส่วนที่เหลือพวกเจ้าก็ค่อยเอาไปแบ่งกันอีกที ! ”
หลินเว่ยเว่ยมีดวงตาเป็นประกายทันที หัวใจดวงน้อยก็ค่อย ๆ เต้นแรงขึ้น…บัณฑิตหนุ่มรูปงามกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของนาง ช่าง…เท่เหลือเกิน ! มีกลิ่นอายของแฟนหนุ่มหรือไม่ ?
เฮ้อ ! น่าเสียดาย แฟนหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบคนนี้ไม่ใช่ของตน ในภายภาคหน้าก็ไม่รู้จะถูกหมูบ้านไหนแย่งไป !
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงละอายใจ “เรื่องนี้…พวกเราต้องกลับไปปรึกษากันก่อนแล้วจะมาให้คำตอบพวกเจ้า…”
หลังออกมาจากบ้านตระกูลหลินแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็เรียกตัวแทนของทั้ง 38 ครัวเรือนออกมาประชุมหารือซึ่งหัวข้อในการประชุมคือขายเมล็ดสนให้ตระกูลหลินหรือจะสร้างโรงงานแปรรูปขึ้นมา !
ทุกคนแย่งกันพูดไม่หยุดปาก บางคนบอกว่าการขายเมล็ดสนชั่งละ 10 อีแปะให้ตระกูลหลิน แม้ได้เงินเข้ากระเป๋าเรื่อย ๆ แต่ก็ได้น้อยเกินไป ! เมื่อก่อนเมล็ดสนคุณภาพเช่นนี้ขายในราคาถึง 20 อีแปะเชียวนะ !
บางคนก็บอกว่าการสร้างโรงงานแปรรูปนั้นคนในหมู่บ้านไม่เคยทำมาก่อน หรือไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร พูดแค่ว่าผลกำไรสองในสิบส่วนต้องแบ่งให้ตระกูลหลิน…เมล็ดสนคั่วจะขายได้เงินสักเท่าไหร่ แล้วจะมีกำไรเหลือเท่าไหร่ ? ถ้าผลกำไรน้อย หลังตัดให้ตระกูลหลินแล้วก็จะไม่เหลืออีก ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะไม่เหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์หรือ ?
ในระหว่างนั้นชาวบ้านฉือหลี่โกวถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ทั้งสองฝ่ายล้วนมีเหตุผลพอ ๆ กันจึงทำให้ตัดสินไม่ขาด เนื่องจากจนปัญญาแล้ว ผู้ใหญ่บ้านจึงเชิญหลินเว่ยเว่ยมาคุยอีกครั้ง
“นางหนูรอง ได้ยินว่าเจ้าคำนวณเก่ง ช่วยคำนวณให้ทุกคนหน่อยว่าการขายเมล็ดสนให้เจ้าหรือสร้างโรงงานแปรรูปอันใดได้เงินมากกว่ากัน” ตอนเอ่ยถึงเรื่องนี้ผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย นางหนูรองอยากช่วยชาวบ้านด้วยใจจริง แต่พวกเขากลับสนใจแค่ผลประโยชน์ที่จะตามมา…
ทว่าผู้ที่รู้หนังสือในหมู่บ้านมีไม่มากนัก บุตรชายคนรองที่ไม่ได้เรื่องของตนแม้จะเข้าไปเรียนอยู่ในเมืองมาสองสามปี ทว่าด้านการคำนวณกลับพอถูไถ ! ผู้ใหญ่บ้านหันไปมองบุตรคนรองด้วยความรู้สึกไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้…วังเอ้อร์จู !
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ค้านอันใด นางยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานแปรรูปให้ทุกคนฟัง “หากจะสร้างโรงงานแปรรูปเมล็ดสนต้องซื้อกระทะอย่างน้อย 5 ใบ สร้างเตา 5 เตา คนงานก็ต้องมีอย่างน้อย 5 คน แล้วยังมีพวกวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ฟืน…”
“ตอนนี้ข้าส่งเมล็ดสนแบบเปิดเปลือกแล้วให้ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ในราคาชั่งละ 50 อีแปะ นอกจากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วก็จะได้กำไรต่อชั่งประมาณ 30 อีแปะ ยึดตามการผลิต 500 ชั่งต่อวัน ผลกำไรก็คือ…15 ตำลึง…”
นางยังไม่ทันกล่าวจบพวกชาวบ้านก็เริ่มกลับมาเสียงดังอีกครั้ง “ว้าว ! ได้กำไรวันละ 15 ตำลึงเชียวหรือ ? จริงหรือไม่ ? ”
“ถ้าอย่างนั้นสร้างโรงงานแปรรูปก็ได้เงินเยอะกว่าน่ะสิ ! ”
“แต่ว่า…ผลิต 500 ชั่งต่อวันจะขายได้หรือ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านกวาดสายตามองแล้วเคาะโต๊ะ “ให้นางหนูรองพูดจบก่อน ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวต่อ “15 ตำลึงนี้ ไม่รวมสองในสิบส่วนของข้าแล้วก็จะเหลือ 12 ตำลึง หากมี 30 ครัวเรือนที่ร่วมลงทุนและแบ่งให้อย่างเท่าเทียม…แต่ละครัวเรือนก็จะได้ประมาณ 400 อีแปะไม่ใช่หรือ ? ”