หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 178 ควรมีเสียงปรบมือ
“ก็เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ถามว่าเมื่อใดทางการจะแจกจ่ายเสบียงเพื่อบรรเทาทุกข์หรอกหรือ ? ข้าจึงกำลังคิดว่าจะทำเช่นไรให้ทางราชสำนักสังเกตเห็นเมืองจงโจวของพวกเราอย่างรวดเร็วกว่านี้…” เจียงโม่หานตกใจจึงรีบดึงมือเข้าไว้ในแขนเสื้อทันที คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวแสบที่ภายนอกดูเป็นคนไม่ละเอียดอ่อนจะช่างสังเกตถึงเพียงนี้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สังเกตว่ามีจุดอ่อนนี้อยู่ !
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ้าทำได้แล้วไงเล่า ! การสร้างกังหันวิดน้ำทำให้เจ้าได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ รอให้รางวัลมาถึง แล้วเจ้าก็แค่แสร้งพูดว่า…เจ้าสามารถเปลี่ยนรางวัลเป็นอาหารบรรเทาทุกข์จากภัยแล้งได้หรือไม่ ถือว่าตนพยายามทำดีที่สุดในปีแห่งภัยธรรมชาตินี้แล้ว…ว้าว ! ดูสูงส่งจะตายไป ! ขุนนางที่ทางราชสำนักส่งมาจะต้องซาบซึ้งในความเสียสละและเห็นแก่ส่วนรวมของเจ้าแน่…”
“ไม่แน่ว่าอาจมีรางวัลของเจ้าด้วยก็ได้ ! หรือเจ้าทำใจยอมสละได้จริง ? ”
เสียงหัวเราะของหลินเว่ยเว่ยหยุดลง เหมือนมีความขัดแย้งบางอย่างเกิดขึ้นในใจ แต่ท้ายที่สุดนางก็เลือกได้ “หากการบรรเทาภัยแล้งในภาคเหนือทำให้ชาวบ้านมีทางรอดเพิ่มอีกหน่อย แม้จะเป็นรางวัลที่ล้ำค่าเพียงใด ข้าก็สามารถเสียสละได้ !”
เจียงโม่หานค่อนข้างตกใจ นางเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งยังมีความคิดเช่นนี้ แล้วเขายังจะมีเหตุผลใดให้ลังเลอีก ?
“กู่เหนียง คุณชายผู้ใจดี ให้ของกินแก่ข้าหน่อยเถิด”
“พี่สาว พี่ชาย ให้อาหารแก่ข้าหน่อยเถิด ข้าหิวเหลือเกิน ! ”
“กู่เหนียง…”
ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีกลุ่มเด็ก สตรีและคนชราโผล่ออกมากลางถนนและยืนขวางเกวียนเทียมล่อเอาไว้ ซัวถัวรีบดึงเชือกค่าวจึงเลี่ยงเหตุพุ่งชนได้ทันเวลา
“หืม ? เหตุใดจู่ ๆ ก็มีผู้ประสบภัยปรากฎตัวขึ้นเยอะเช่นนี้ ? ตอนขามาก็ไม่เห็นนี่ ! ” ซัวถัวมองผู้ประสบภัยรูปร่างผอมแห้งติดกระดูกราวกับสามารถโดนลมพัดไปได้ทุกเมื่อด้วยความปวดใจ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหลินเว่ยเว่ยเสี่ยงชีวิตพาชาวบ้านขึ้นเขาไปเก็บเมล็ดสน ชีวิตของชาวบ้านฉือหลี่โกวก็คงไม่ต่างจากคนกลุ่มนี้ !
หลังเจียงโม่หานเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่และมีใบหน้าดุร้ายตรงด้านหลังของพวกเด็กและคนชราแล้วเขาก็ตกใจทันที เนื่องจากเขากลับชาติมาเกิดจึงได้รู้ว่ามีคนหลอกใช้ผู้ประสบภัยมาขอความเมตตาจากผู้คน จากนั้นก็ฉวยโอกาสฆ่าและปล้นชิงทรัพย์…
“ซัวถัว รีบขับต่อไป ไม่ต้องหยุด ! ”
ซัวถัวหันมามองเขา “แต่ว่าด้านหน้ามีคนอยู่ ไม่หยุดจะชนเอาได้ ! ”
เจียงโม่หานเห็นคนด้านหลังเหล่านั้นเริ่มเดินล้อมเข้ามาแล้ว จึงหยิบท่อนไม้บนเกวียนขึ้น แล้วเตือนหลินเว่ยเว่ยว่า “เสี่ยวเว่ย ระวังตัว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของผู้ประสบภัยกลุ่มนี้เหมือนกัน ทว่าคนชราและเด็กยังยืนขวางทางอยู่ ถ้าขับเกวียนพุ่งออกไปจะต้องสร้างบาดแผลไม่น้อย ส่วนชายฉกรรจ์ด้านหลังคนชราและเด็กมีใบหน้าที่น่ากลัว เห็นได้ชัดว่ากำลังควบคุมคนอ่อนแออยู่ !
นางใช้ความคิดอย่างหนัก จากนั้นก็คว้าเงินอีแปะออกมากำใหญ่แล้วกล่าวกับกลุ่มคนอ่อนแอที่กำลังขออาหารตรงหน้าเกวียนว่า “ข้าเห็นพวกเจ้าน่าสงสาร ข้ามีเงินอยู่ร้อยกว่าอีแปะ…ยกให้พวกเจ้าหมดแล้วกัน…”
เงินร้อยกว่าอีแปะสามารถนำไปซื้อข้าวได้เกิน 3 ชั่ง ! เด็ก สตรีและคนชราจึงหันมามองเงินในมือนาง แล้วเมินเฉยต่อสายตาชายฉกรรจ์ที่อยู่เบื้องหลัง
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ชูมือขึ้นแล้วโยนเงินในมือเป็นทางยาว ซึ่งพวกมันลอยไปยังพื้นที่โล่ง ๆ ข้างทาง ผู้หิวโหยกลัวว่าจะเก็บเงินได้แค่ไม่กี่เหรียญจึงรีบตะเกียกตะกายไปยังพื้นที่นั้นทันที
ทว่าชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนไม่ขยับตัวไปไหน หนึ่งในนั้นจับผู้หญิงคนหนึ่งไว้ หลังกระชากผมให้นางเดินกลับมา แล้วเขาก็ตะโกนไปทางกลุ่มผู้หิวโหยแต่ไม่สามารถหยุดการเก็บเงินของอีกฝ่ายได้
“ไม่ต้องสนพวกมันแล้ว ! พี่น้องทั้งหลาย ลุย ! ” หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดและมีใบหน้าดุดันออกคำสั่ง ทันใดนั้นชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนก็วิ่งเข้ามาหาเกวียนอย่างดุเดือด !
จู่ ๆ มือของเจียงโม่หานก็ว่างเปล่าเพราะท่อนไม้ในมือโดนหลินเว่ยเว่ยแย่งไปแล้ว นางแสดงท่าทางประหนึ่งสามีผู้ปกป้องภรรยา จากนั้นก็กวัดแกว่งท่อนไม้อย่างคล่องแคล่ว ชายฉกรรจ์ที่พุ่งเข้ามาคนแรกถูกนางใช้ท่อนไม้ตีจนกระเด็นออกไป แล้วมันก็นอนจับแขนเอาไว้พร้อมเสียงร้องโหยหวน
จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่กระเด็นออกไปก็มีเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดหัวหน้าชายฉกรรจ์ก็ถูกหลินเว่ยเว่ยตีแสกหน้าแล้วนอนเลือดไหลอาบเต็มใบหน้า ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ! ส่วนพวกที่โดนซัดกระเด็นออกไปถ้าไม่ได้แขนหักก็ขาหัก แต่ละคนนอนร้องโอดครวญบนพื้น
ส่วนพวกสตรี เด็กและคนชราที่เก็บเงินเหล่านั้นก็ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่ที่เดิม สุดท้ายแล้วพวกเขาก็แค่โดนบังคับอย่างไร้ทางเลือก หากติดตามคนชั่วแล้วอย่างน้อยถ้าปล้นของมาได้ แม้จะแบ่งของกินให้พวกตนแค่คนละคำก็ดีกว่าอดตาย
หลินเว่ยเว่ยจับท่อนไม้แล้วทำท่าทางองอาจ เมื่อหันกลับมาแล้วเห็นซัวถัวกำลังอ้าปากค้างและเจียงโม่หานที่มีสีหน้าเรียบเฉย นางก็ยิ้มแล้วถามว่า “เป็นเช่นไร ? เก่งหรือไม่ ? ตอนนี้ควรมีเสียงปรบมือไม่ใช่หรือ ! ”
ซัวถัวปรบมือแปะแปะเยี่ยงคนโง่เขลา แต่เขาก็กลับมาได้สติเพราะเสียงปรบมือของตนนั่นเอง “เสี่ยวเว่ย เจ้าไปเรียนศิลปะป้องกันตัวมาจากผู้ใด ? สง่า สง่างาม ! สง่างามมาก ! ! ”
เรียนกับใครน่ะหรือ ? ก็ต้องเป็นหลีชิงอยู่แล้ว ! หลีชิงอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลินด้วยฐานะบุตรชายของพี่สาวนางหวง ด้านหนึ่งเพื่อพักรักษาอาการบาดเจ็บและอีกด้านหนึ่งคือต้องการสืบหาข่าวของน้องสาว
โรงงานแปรรูปเมล็ดสนและธุรกิจผลไม้อบแห้งกับเนื้อแผ่นของตระกูลหลินต้องใช้ฟืนจำนวนมาก เมื่อก่อนหลินเว่ยเว่ยหาเวลาว่างขึ้นเขาไปเก็บฟืน แต่ตอนนี้ยกให้เป็นหน้าที่หลีชิงแล้ว !
ทุกวันนี้ชาวบ้านฉือหลี่โกวต่างเห็นคนรูปร่างสูงใหญ่กับฟืนกองโตเดินลงเขาเสมอ เขาเป็นชาวยุทธ พละกำลังต้องมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว เพื่อลดความหวาดระแวง เขาจึงพยายามท้าทายขีดจำกัดของตนตลอดเวลา ชาวบ้านในฉือหลี่โกวจึงยิ่งเชื่อในตัวตนของเขามากกว่าเดิม ที่แท้พละกำลังของบุตรสาวคนรองตระกูลหลินก็สืบทอดมาทางตระกูลมารดานี่เอง !
ตกเย็น หลินเว่ยเว่ยจะให้หลีชิงช่วยสอนศิลปะป้องกันตัวให้นางและน้องชายทั้งสองเพื่อถือเป็นค่ากินค่าอยู่ในบ้านตระกูลหลิน หลินจื่อเหยียนและเจ้าหนูน้อยโอดครวญยิ่งกว่าสิ่งใด แต่หลินเว่ยเว่ยกลับมีความสุข
นี่ก็เพิ่งเรียนวิธีใช้ไม้เป็นอาวุธมาจากหลีชิง วันนี้ก็มีสถานการณ์จริงให้ใช้แล้ว นางจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางยั้งแรงไว้แล้ว เพราะถ้าออกแรงสุดกำลังก็ต้องตัดต้นไม้ขนาดสองคนโอบได้แน่นอน…
“น่าเสียดายที่อาวุธนี้จับไม่ถนัดมือ ประเดี๋ยววันหลังให้เถ้าแก่โรงตีเหล็กทำท่อนเหล็กให้ข้าสักอัน ถือเป็นอาวุธประจำกายของข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยเก็บท่อนไม้แล้วมองไปที่เด็ก สตรีและคนชราซึ่งกำลังยืนเงียบอยู่อีกด้านหนึ่ง
หญิงชราคนหนึ่งตื่นตัวเร็วกว่าหน่อยจึงรีบคุกเข่าขอร้องทันที “ไว้ชีวิตด้วย จะ…จอมยุทธหญิงไว้ชีวิตด้วย ! เป็นพวกเขาที่บังคับให้เรามาขวางเกวียนไว้ ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะโดนทุบตี พวกเราล้วนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้แล้ว ท่านจอมยุทธหญิงฝีมือสูงส่ง…”
“พวกเจ้าไปในตัวอำเภอสิ ! ที่นั่นมีคนแจกโจ๊กข้าวทุกวันแล้วยังมีหมอคอยตรวจรักษา นายอำเภอก็สร้างสถานที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัยไว้นอกเมือง…แดนเหนือแห้งแล้ง ราชสำนักไม่มีทางเพิกเฉยหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยมองผู้อ่อนแอกลุ่มนี้ แล้วนางก็ชี้นิ้วบอกทางให้แก่อีกฝ่าย