หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 182 เขาจะเลี้ยงนางเอง
มื้อเย็นมีอาหารหลักเป็นข้าวสองชนิด ในโถใหญ่คือข้าวหุง จานใบใหญ่อัดแน่นไปด้วยข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงที่หนักถึง 5 ชั่ง อาหารจานผักคือถั่วแขกผัดพริกแห้ง ผัดบวบและซุปคือซุปผักใบเขียวใส่ไข่
เสี่ยวร่างช่วยยกอาหารขึ้นโต๊ะ หลังจัดเรียงตะเกียบและถ้วยชามเสร็จแล้วเขาก็ถอยออกมา ขณะมองโถใส่ข้าวหุงใบใหญ่ ข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงจานโตแล้วยังมีหม้อขนาดใหญ่กว่าหม้อที่บ้านของตนใช้ต้มซุปไก่ตอนฉลองปีใหม่กว่าครึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข…พี่สาวเคยบอกว่าอาหารที่บ้านเจ้านายกินไม่หมดจะยกให้บ่าว อาหารเยอะแยะมากมายเช่นนี้น่าจะเหลือสักสองสามคำให้เขาได้ชิมบ้าง
เจ้าหนูน้อยเรียกให้เขาไปล้างมือเพื่อกินข้าว เสี่ยวร่างจึงรีบวิ่งเข้าไปและยื่นผ้าเช็ดมือให้นายน้อย ทว่าตอนที่จะขึ้นไปนั่งรับประทานอาหารกัน เขากลับถอยออกไปยืนห่าง ๆ อย่างรู้งาน จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นายน้อยกินข้าวเถิดขอรับ บ่าวเพิ่งกินข้าวผัดไป ยังไม่หิว…”
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าถ้าฝืนให้เขามาร่วมโต๊ะด้วยกัน เจ้าถั่วงอกน้อยจะต้องอึดอัดแน่นอน นางจึงไปหยิบชามใบใหญ่มาจากห้องครัวแล้วตักข้าวหุง ซี่โครงสามชิ้นและพวกอาหารจานผัก จากนั้นก็ยื่นใส่มือเสี่ยวร่าง “บ้านเราไม่ได้มีกฎอันใดมากมายเพียงนั้น ถ้าเจ้าไม่อยากกินพร้อมพวกเราก็ไปกินในห้องครัวเถิด กินเสร็จแล้วก็ตักซุปเอง…”
“นะ…นี่ให้บ่าวหรือขอรับ ? ” เสี่ยวร่างทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเสียงดัง เขาไม่ทันได้เขินอาย ดวงตาก็จับจ้องไปที่ซี่โครง…นี่…นี่คือเนื้อเลยนะ !
บ้านเจ้านายช่างดีเสียจริง ถึงขั้นยอมให้เขากินเนื้อ นี่เขาได้มาเจอกับครอบครัวคนดีซึ่งพี่สาวเคยกล่าวไว้แล้ว ! ต่อไปเขาต้องขยันทำงาน รับใช้นายน้อยอย่างรอบคอบ และกลายเป็นบ่าวรับใช้ที่มีคุณภาพให้ได้ !
ต่อจากนั้นเสี่ยวร่างก็กินอาหารที่ยากจะลืมที่สุดในชีวิต แม้ว่าในอนาคตเขาจะได้เป็นหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งมีอำนาจที่สุดในจวนช่างชูแห่งกรมคลัง แต่ละมื้อไม่เคยอยู่ห่างจากอาหารจานเนื้อและได้แวะเวียนไปเยือนตามร้านอาหารชั้นยอดเป็นครั้งคราว แต่ถ้าถามเขาว่าอาหารใดอร่อยและดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา เขาก็สามารถตอบโดยไม่ลังเลว่าข้าวหุง ข้าวเหนียวนึ่งซี่โครง ถั่วแขกผัดพริกแห้ง ซุปผักใบเขียวใส่ไข่…
อาหารมื้อนี้จึงกลายเป็นความทรงจำแสนอบอุ่นและมีค่าที่สุดในชีวิต !
เจียงโม่หานเคยได้กินข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงมาก่อนแล้วจึงหยิบซี่โครงชิ้นแรกขึ้นมาพร้อมความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ซี่โครงที่นึ่งออกมาไม่มันหรือเลี่ยนแต่อย่างใด เนื้อนุ่มอร่อย เนื้อซี่โครงแต่ละชิ้นผสานกับข้าวที่นุ่มละมุน รสสัมผัสนุ่มลิ้น หอมเผ็ดและสดชื่น เรียกได้ว่ามีรสดั้งเดิม มันเทศซึ่งดูดซับกลิ่นและรสของเครื่องปรุงเอาไว้ก็อร่อยเหนือความคาดหมาย !
ข้าวเหนียวนึ่งซี่โครงที่นางทำช่างแตกต่างจากพ่อครัวในอดีตชาติของเขาพอสมควร รสชาติเข้มข้นกว่าและเขาชอบมาก !
เจียงโม่หานตัดสินใจแล้วว่าหากวันหน้านางไม่คิดออกเรือนจริง ๆ เขาก็จะ…เขาก็จะเลี้ยงนางไว้ในจวน อาศัยฝีมือทำอาหารของนางแล้วให้เลี้ยงคนว่างงานไว้ในจวนเพิ่มอีกคนก็คงไม่เป็นไร ? ทว่านิสัยของเด็กคนนี้ต้องถูกขัดเกลาเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นนางต้องสร้างเรื่องปวดหัวให้แน่
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ถึงสองชาติแล้ว เขาจะยังไม่สามารถปกป้องคนที่อยากปกป้องได้อีกหรือ ?
“อ้า ! อิ่มมากเลย ! ” เจ้าหนูน้อยลูบท้องด้วยความพอใจ
หลินเว่ยเว่ยตีหน้าท้องเจ้าหนูน้อยเบา ๆ “ไอหยา ! แตงโมสุกแล้ว รีบไปหยิบมีดมาเร็ว พวกเราจะได้กินผลไม้ล้างปากกันสักสองสามชิ้น ! ”
เจ้าหนูน้อยรีบกุมท้องเอาไว้พลางหัวเราะอย่างมีความสุข “ไม่ใช่แตงโมนะ เป็นท้องข้าต่างหาก ! จะใช้มีดผ่าไม่ได้ ! ”
นางหวงกลัวบุตรชายหัวเราะแล้วหายใจไม่ทันจึงรีบดึงตัวเขาเข้ามาและช่วยลูบท้องให้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความตำหนิ “แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่ามื้อเย็นให้กินน้อยหน่อย ประเดี๋ยวก็ไม่ย่อยแล้วปวดท้องกลางดึกอีก”
เจ้าหนูน้อยทำหน้าน้อยใจ “เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ขอรับ ! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพี่รองเพราะนางทำอาหารอร่อยเกินไป ข้าแค่ไม่ทันระวังก็เผลอกินเข้าไปเยอะแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงดัง ฮึ จากนั้นก็เข้ามาบีบก้อนเนื้อน้อย ๆ บนใบหน้าของน้องชาย “เหตุใดไม่พูดว่าตัวเองตะกละ ? ยังกล้าโทษว่าข้าทำอาหารอร่อย ! ข้าขอประกาศไว้เลยว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป งานทำอาหารยกให้พี่ใหญ่…”
“อย่า…” เจ้าหนูน้อยกล่าวด้วยเสียงคร่ำครวญและเผยท่าทางหวาดกลัวออกมา “พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว ท่านเป็นผู้อาวุโสไม่ควรถือสาผู้น้อย อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กเลยนะ ท่านแสนดีที่สุดในโลกแล้ว…”
หลินเว่ยเว่ยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย นางยังกล่าวต่อ “จริงสิ โกดังของบ้านเราตรงท่าเรือต้องมีคนคอยดูแล ต้องมีคนคอยต้อนรับลูกค้าอีก ไหนจะเรื่องต่อรองราคาอะไรทำนองนั้น ผู้ใดในครอบครัวของเราสามารถทำได้บ้าง ? แน่นอนว่ามีเพียงข้า ! ดังนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าจะไปพักอยู่ในเขตเริ่นอัน…”
“แต่…แต่บ้านเรายังต้องทำเนื้อแผ่น อีกอย่างเนื้อหมูป่ากับกวางในห้องใต้ดินก็น่าจะใช้ได้อีกไม่กี่วัน ยังมีเรื่องโรงงานแปรรูปเมล็ดสนอีก ท่านไม่ได้เพิ่งซื้อกระทะมาอีกสองใบหรือ ? ไม่ได้บอกว่าภายในสิบวันต้องคั่วให้ได้สองหมื่นชั่งหรืออย่างไร ? หากท่านไม่อยู่แล้วเราจะทำเช่นไร ? ” เจ้าหนูน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมให้พี่รองลบความคิดที่จะไปอยู่ในเขตทิ้ง
หลินเว่ยเว่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขึ้นเขาล่าสัตว์ไม่ได้มี ‘ญาติผู้พี่’ ของเราแล้วหรือ ? วรยุทธเขาสูงส่งถึงเพียงนั้น ล่าหมูป่าสองสามตัวเป็นเรื่องง่ายใช่หรือไม่ ? ส่วนเรื่องโรงงานแปรรูปข้าก็จัดการไว้แล้ว จ้างคนงานชั่วคราวเพิ่มสองสามคน ทำงานสามกะต่อวัน แต่ละคนทำงานวันละสองชั่วยาม ทำงานกะกลางคืนได้เงินเพิ่มขึ้นสิบอีแปะ ถ้าคิดเป็นรายวันก็สามารถคั่วเมล็ดสนได้ 2,100 ชั่ง ถ้าสิบวันก็จะได้ 21,000 ชั่ง หากรวมกับที่เก็บอยู่ในคลังสินค้าก็มีเหลือเฟือ ! ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อการที่ข้าจะไปอยู่ในเขตเริ่นอัน ! ”
เจียงโม่หานวางตะเกียบแล้วกล่าว “ข้าเองก็มีปัญหาบางอย่างอยากไปปรึกษาอาจารย์ฟ่าน จะไปพักที่สำนักศึกษาสองสามวัน…”
หลินจื่อเหยียนมองน้องสี่ผู้มีใบหน้าโง่งมปราดหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยอีกคน “ข้าเองก็จะไปยกเลิกการลาหยุดที่สำนักศึกษา…พี่รอง รสชาติอาหารในสำนักศึกษาแย่มาก ท่านส่งข้าวให้ข้าทุกวันได้หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองใบหน้าที่ค่อนข้างกลมขึ้นของน้องสามแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า “เจ้ายังจะกินอีกหรือ ? เจ้ากลับสำนักศึกษาตอนนี้ อาจารย์จะคิดว่าเจ้าเข้าเรียนผิดชั้นเอาได้”
“ข้ามีเวลาอีกครึ่งปีก็จะสอบถงเซิงแล้ว ถ้าไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วเกิดหมดสติตอนสอบขึ้นมาจะไม่ส่งผลต่อคะแนนสอบหรืออย่างไร ? ” หลินจื่อเหยียนกล่าวด้วยความมั่นใจ
เขาจะไม่อ้วนขึ้นได้อย่างไร ช่วงเวลาที่เขากลับมาอยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าสบายขึ้นตั้งเท่าไร แต่ละมื้อมีของดีให้กินให้ดื่ม แล้วยังมีศิษย์พี่เจียงคอยอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังอีก พอนึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่สำนักศึกษา…มันง่ายเหลือเกินที่จะเปลี่ยนจากความประหยัดเป็นความร่ำรวย ทว่าเปลี่ยนจากความร่ำรวยเป็นการประหยัดนั้นยากยิ่งกว่า !
เจ้าหนูน้อยมองพี่ชาย จากนั้นก็หันไปมองเจียงโม่หาน ทันใดนั้นเขาก็แอบร้องไห้ในใจ ฮือฮือฮือ เขาถูกพี่รองทอดทิ้งแล้ว ต่อไปจะมีแค่พี่ชายทั้งสองที่ได้กินอาหารอร่อยฝีมือพี่รอง…
“พี่รอง ท่านพูดว่าจะส่งข้าไปเรียนที่สำนักศึกษา ท่านยังจะทำอยู่หรือไม่ ? ” เมื่อก่อนเจ้าหนูน้อยมีใจคิดเพียงเรื่องการเลี้ยงกระต่ายเท่านั้น สำหรับการเล่าเรียนไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร ตอนนี้กลับเอ่ยถึงเรื่องเข้าสำนักศึกษาขึ้นมาเอง นับว่าเพื่อของกินแล้วเขาสู้ตาย !
หลินเว่ยเว่ยจงใจขมวดคิ้ว “เช่นนั้นกระต่ายที่หลังบ้านแล้วยังมีไก่ไม่กี่ตัวจะทำอย่างไร ? เจ้าทิ้งธุรกิจเลี้ยงกระต่ายได้หรือ ? ”
ดวงตาเจ้าหนูน้อยกลอกไปมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นเสี่ยวร่างที่ยืนห่างออกไป เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน “ไม่ได้มีเสี่ยวร่างอยู่หรือ ? ข้าสอนงานเขาแล้วต่อไปก็ให้เขาเป็นคนดูแล ! ”
เสี่ยวร่างพยักหน้าด้วยความดีใจ ‘บ่าวทำได้ ยกให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเถิด ! ’ เมื่อเจ้านายมอบหมายงานให้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนไล่ออก เขาจะตั้งใจทำงาน สาบานได้เลย !