หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 184 ของดีควรค่าแก่การลงทุน
ตอนที่ 184 ของดีควรค่าแก่การลงทุน
เมล็ดสนปากอ้านี้มีเพียงหมู่บ้านฉือหลี่โกวเท่านั้นที่ทำได้ แต่ละรสชาติก็เป็นสูตรเฉพาะ ต่อไปจะมีลูกค้ามากกว่าเดิมที่มาสั่งซื้อกับทางหมู่บ้าน พอลองคำนวณแล้วแค่รายได้จากเมล็ดสนปากอ้า แต่ละบ้านก็มีเงินประมาณ 50-60 ตำลึงต่อปี
ถ้าปล่อยให้สูตรหลุดออกไป เมล็ดสนปากอ้าของหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็จะมีคู่แข่งอันแข็งแกร่ง เมื่อเมล็ดสนขายไม่ออก คนทั้งหมู่บ้านก็จะสูญเสียรายได้ก้อนโต
ปีละ 50-60 ตำลึง หากผ่านไป 10 ปีก็เปลี่ยนเป็น 500-600 ตำลึง ถ้า 20 ปี 30 ปี…หรือแม้แต่ 100 ปีต่อจากนี้ ลูกหลานชาวฉือหลี่โกวจะมีความชำนาญในด้านนี้ ขอแค่อย่าถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ไม่กี่ร้อยตำลึงแล้วทำให้ดวงตามืดบอด ดังนั้นต้องมองการณ์ไกลเข้าไว้ !
ภายใต้ความหวังแสนสดใสที่หลินเว่ยเว่ยสร้างขึ้นมา ทุกคนทำเหมือนเห็นหมู่บ้านฉือหลี่โกวกลายเป็นหมู่บ้านร่ำรวยที่สุดในเมืองจงโจวหรือแม้แต่ทั่วแดนเหนือแห่งนี้ ไม่ว่าใครในหมู่บ้านก็สามารถกินอิ่ม มีเสื้อผ้าใส่อย่างอบอุ่น อยากกินเนื้อก็กิน อยากตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ตัด ! ในหมู่บ้านไม่ไร้ชายโสดเพราะสตรีจากหมู่บ้านอื่นล้วนแย่งกันมาแต่งงานกับเด็กหนุ่มในฉือหลี่โกว…
คนโง่เท่านั้นที่จะทำเพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดและทำลายอนาคตแสนสดใส ! เพราะนี่ถือเป็นผลประโยชน์ของลูกหลานสืบไป !
พ่อค้าแสวงหาเพียงผลกำไร ผ่านไปไม่นานก็มีพ่อค้าหน้าเลือดมาหาคนงานหญิงในโรงงานแปรรูปโดยเสนอราคาจาก 100 เป็น 500 ตำลึงเพื่อซื้อสูตรเมล็ดสนปากอ้า
ห้าร้อยตำลึง ! ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเว่ยเว่ยสร้างแนวป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าโดยการสร้างภาพขนมปังไส้เนื้อแสนหอมกรุ่นไว้ให้คนทั้งหมู่บ้าน คนงานหญิงผู้นี้ก็อาจหวั่นไหว ตอนที่พ่อค้าเสนอราคามา นางพยายามรักษารอยยิ้มแสนเย็นชาไว้ตลอดและใช้สายตาดูแคลนมองอีกฝ่าย…ห้าร้อยตำลึงเช่นนั้นหรือ ? ก็แค่รายได้ 10 ปีของบ้านข้าเท่านั้น เจ้าด่าใครอยู่ ? คิดว่าข้าโง่หรือไร ?
นางไม่เพียงไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ทว่ายังให้บุตรไปตามผู้ใหญ่บ้านมาด้วย
เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้ยินว่าพ่อค้าหน้าเลือดต้องการตัดช่องทางทำมาหากินของฉือหลี่โกว เขาจะทนนิ่งเฉยได้อย่างไร ? ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พาชายฉกรรจ์ทั้งหมู่บ้านเข้าปิดล้อมพ่อค้าหน้าเลือดเอาไว้ หลังทุบตีได้ยกหนึ่งแล้วก็โยนอีกฝ่ายออกไปจากฉือหลี่โกว
หลังจากนั้นตามทางแยกต่าง ๆ ที่ใช้เข้ามายังหมู่บ้านก็มีคนเดินลาดตระเวนตลอดเวลาและมีการตั้งเวรยามขึ้น ขอเพียงเห็นคนแปลกหน้าก็จะถูกดึงเข้ามาสอบถามทั้งหมด แม้แต่ชาวบ้านที่มาเยี่ยมญาติก็ไม่ถูกปล่อยเข้าไปโดยง่าย เพราะอาจถูกคนอื่นซื้อตัวได้เสมอ !
ชาวบ้านฉือหลี่โกวล้วนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คนในหมู่บ้านสามัคคีกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เข้มงวดจนไร้ช่องโหว่ ! แต่ละคนเชื่อมั่นว่าการรักษาสูตรลับคือการรักษาความอยู่รอดของฉือหลี่โกว ! ข้างนอกมีผู้ประสบภัยแล้งนับไม่ถ้วนที่อดตาย ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องขายบุตรหลานเพื่อรักษาชีวิต ดังนั้นถ้าขายสูตรลับออกไป ชีวิตในวันนี้ของคนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นชีวิตในวันพรุ่งนี้ของฉือหลี่โกว !
วันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยยกสินค้าขึ้นเกวียนเทียมล่อเพื่อเตรียมเดินทางไปที่เขตเริ่นอัน ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงการโดนกระตุกชายเสื้อ นางจึงก้มมอง อ้อ ที่แท้ก็เจ้าหนูน้อยเป็นคนดึง
แม้เมื่อวานพี่รองจะบอกว่าแค่หยอกเล่น แต่เจ้าหนูน้อยยังกลัวว่าพี่รองจะ ‘ทอดทิ้ง’ ตนแล้วไปอยู่ในเขตเพียงลำพัง เมื่อเห็นดวงตาของพี่สาวเต็มไปด้วยความสงสัย เจ้าหนูน้อยจึงกล่าวอย่างเอียงอายว่า “พี่รอง ท่าน…ท่าน…กลับมาเร็ว ๆ นะ”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะขึ้นมาทันที นางย่อตัวลงแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นไปบนเกวียนเทียมล่อพลางพูดกับซัวถัวว่า “ไปเถิด ! ”
เจ้าหนูน้อยดีใจมาก…ไม่ได้เข้าเขตเริ่นอันกับพี่รองนานมากแล้ว ! แต่ว่า…ถ้าเขาไป แล้วกระต่าย ไก่และแพะในบ้านจะทำเช่นไร ?
เขาเห็นเสี่ยวร่างถือตะกร้าเดินเข้ามา ดวงตาจึงเป็นประกายทันที “เสี่ยวร่าง เจ้าไปเกี่ยวหญ้ากับพวกวังตงเฉียงนะ กลับมาแล้วข้าจะจดบันทึกงานของพวกเขาเอง ! ”
เจ้าหนูน้อยเห็นสมุดบัญชีของพี่สาวจึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เขาใช้กระดาษด้านหลังที่พี่สามใช้คัดลายมือมาวาดตารางโดยใช้รูปร่างต่าง ๆ แทนสหายของตนแล้วจดจำนวนหญ้ากระต่ายที่อีกฝ่ายเกี่ยวลงไป เมื่อครบ 10 ครั้งก็จะสามารถแลกไก่ได้หนึ่งขา หรือหมูตุ๋นน้ำแดง 2 ชิ้น หรือเป็นพวกเนื้อกระต่ายอะไรทำนองนั้น
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้าก็ตระหนี่เกินไป ! ตั้งสิบครั้งถึงจะแลกเนื้อได้ แม้แต่สหายตัวน้อยก็ถูกเจ้าเล่นเล่ห์ใส่ พวกเขายังไม่ปริปากเถียงอีกด้วย ! ”
เจ้าหนูน้อยเอ่ยอย่างมีความสุข “สิ่งใดเรียกว่าข้าเล่นเล่ห์ ? ข้าไม่ได้เล่นเล่ห์เสียหน่อย ! ข้าให้ของตอบแทนแล้วนี่ ! วังตงเฉียงชอบกินหมูตุ๋นน้ำแดงที่สุด เขาทำเกือบครบสิบครั้งแล้ว พี่รอง วันนี้พวกเราซื้อหมูกลับมาทำหมูตุ๋นน้ำแดงดีหรือไม่”
“เป็นเจ้ามากกว่าที่อยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง” หลินเว่ยเว่ยบีบจมูกน้องสี่
เจ้าหนูน้อยหัวเราะอย่างมีความสุข “จะโทษว่าข้าตะกละไม่ได้หรอก เพราะพี่รองทำอาหารอร่อยเกินไปต่างหาก ข้ากินจนจะอ้วนแล้วนะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเกี่ยวหญ้าให้กระต่ายทุกวัน เหนื่อยหรือไม่ ? ประเดี๋ยวก็จะมีกระต่ายออกมาอีกครอกแล้ว ? เจ้าจะมีเงินเพิ่มอีกด้วย ตัวเจ้าไม่ต้องไปเกี่ยวหญ้าเองหรอก เจ้ารับซื้อหญ้าหนึ่งตะกร้าจากพวกเด็กในหมู่บ้านเป็นเงินหนึ่งอีแปะก็ได้ ! ”
“แต่พวกเขาอยากได้เนื้อมากกว่า ! ” สหายที่เล่นกับเจ้าหนูน้อยล้วนมีอายุไม่มากทั้งนั้น สำหรับเด็กน้อยที่ไม่สามารถขึ้นเขาไปเก็บของป่าหรือผลไม้ป่าได้ย่อมไม่คิดเรื่องเงินทอง เด็กในสมัยนี้โลภอยากกินเนื้อที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือเนื้อที่บ้านตระกูลหลินทำ บ้านอื่นยังทำรสชาตินี้ไม่ได้ด้วย !
“หลังฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศก็จะหนาวขึ้นทุกวัน ดังนั้นจ่ายเงินซื้อหญ้าให้กระต่าย พวกมันก็จะผ่านฤดูหนาวไปได้ อาศัยแค่สหายตัวน้อย ๆ ของเจ้าอย่างมากสุดก็พอให้กระต่ายกินไปวันต่อวัน ดังนั้นเจ้าสามารถรับซื้อหญ้าจากพวกเด็กที่โตกว่าหน่อยได้ เวลาไปเก็บผลไม้ป่า พวกเขาก็สามารถเกี่ยวหญ้ากลับมาสักตะกร้าพร้อมกันเลย” หลินเว่ยเว่ยชี้แนะ
เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็จะรับซื้อไว้มากเกินไปไม่ได้ พี่รอง ท่านไม่ได้บอกว่าจะจัดการกระต่ายให้หมดก่อนเข้าฤดูหนาวหรอกหรือ ? ”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าตัดสินใจเองเถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยจงใจให้เขาฝึกคิดเอง สำหรับคอกกระต่ายของเขาแล้วนางออกคำสั่งน้อยมาก เพียงออกความคิดเห็นในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
เจ้าหนูน้อยคำนวณในใจ เขาจะแอบไปบอกพี่ชายพี่สาวที่ตนชื่นชอบเงียบ ๆ สำหรับหลิวเสี่ยวอิงที่เขาไม่ชอบหน้าก็ไม่ควรรับซื้อแม้แต่ผลไม้ป่าของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ !
ระหว่างทาง ซัวถัวก็ใจเต้นแรงตลอดเพราะกลัวว่าจะเจอชาวบ้านที่มาก่อความวุ่นวายอีก แต่บางทีอาจเพราะเมื่อวานเพิ่งจัดการโจรกลุ่มนั้นไป การเดินทางครั้งนี้จึงไม่เจอสิ่งที่ทำให้ต้องกังวล
เมื่อมาถึงเขตเริ่นอัน ซัวถัวก็ต่อแถวยื่นเงินค่าผ่านทางแล้วขับเกวียนเทียมล่อมาที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็พาเจ้าหนูน้อยมาที่ท่าเรือ
“นางหนูรอง เจ้ามาได้เสียที ! ” เมื่อหลิวว่ายจื่อที่กำลังสนทนากับผู้อื่นอยู่ได้เห็นหน้านาง เขาก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที
“ช่วงสองวันนี้มีคนอยากเช่าโกดังบ้างหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยถามขณะยื่นของกินที่ห่อมาด้วยให้เขา
หลิวว่ายจื่อตอบ “ข้ากำลังอยากคุยเรื่องนี้กับเจ้าพอดี ! โกดังของเรามีคนเข้ามาถามไม่น้อยเลย ทว่าพอได้ยินเรื่องค่าเช่าแล้วก็ถอยออกไปหมด เช่นนั้น…เจ้าไปคุยกับเจ้านายให้ลดราคาลงมาหน่อยดีหรือไม่ ? ”
“ท่านรู้จักคำพูดที่ว่า ‘ของดีควรค่าแก่การลงทุน’ หรือไม่ ? ผู้ที่คิดว่าราคาแพงไม่ยอมเช่า ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้ารายย่อยที่ไม่มีกำลังจ่าย ถ้าปล่อยให้พวกเขาเช่า เราก็อาจดูแลได้ไม่ง่ายเพราะแต่ละห้องเก็บสินค้าคนละชนิด ท่าเรือเขตเริ่นอันของพวกเราถือเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งทางน้ำซึ่งเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก เรายังต้องกังวลว่าจะไม่มีลูกค้ารายใหญ่อีกหรือ ? ใจร้อนไปจะไม่ได้กินเต้าหู้ร้อน ๆ ต้องอดทนหน่อยสิ…ผู้ดูแลหลิว ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายพร้อมรอยยิ้มราวกับมีแผนอยู่ในใจแล้ว