หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 185 ในสมองมีภาพละครฉากใหญ่
ตอนที่ 185 ในสมองมีภาพละครฉากใหญ่
หลังได้ฟังถ้อยคำของนางแล้ว ความกังวลภายในจิตใจของหลิวว่ายจื่อก็ค่อย ๆ สงบลง เขาพูดด้วยรอยยิ้มหวานหยด “หลานสาว ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณชายหนิงจึงมองเจ้าต่างออกไป แค่สายตาที่สงบนิ่งนี้ก็ไม่มีคนธรรมดาที่ใดสามารถเทียบได้แล้ว ! ”
“ท่านก็แค่อยากให้โกดังถูกเช่าโดยเร็วเพื่อลดความกังวลให้เจ้านาย ! อาว่ายจื่อ เวลาต่อรองธุรกิจจะเสี่ยงไม่ได้ จะให้อีกฝ่ายรู้ไพ่ตายในมือของท่านไม่ได้ มิฉะนั้นจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ท่านต้องกุมอำนาจของฝ่ายรุกเอาไว้ในมือ อย่าปล่อยให้ผู้อื่นมาจูงจมูกเด็ดขาด” หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะชี้แนะอีกฝ่าย
“พี่รอง ตรงท่าเรือมีทหารเยอะมาก พวกเขามาจับคนเลวกันหรือ ? ” เจ้าหนูน้อยจับมือหลินเว่ยเว่ยอย่างเชื่อฟัง ขณะที่ดวงตาก็มองไปทางท่าเรือ
หลินเว่ยเว่ยมองไปที่แม่น้ำก็พบว่าเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งกำลังเข้าเทียบท่า ทันใดนั้นนางก็หันไปฉีกยิ้มให้หลิวว่ายจื่อ “เตรียมตัวให้พร้อม ลูกค้ากำลังมาเยือนแล้ว ! ”
ท่ามกลางเหล่าทหาร ชายผู้ดูเหมือนผู้บัญชาการกำลังสอบถามแรงงานบนท่าเรือสองสามประโยค จากนั้นก็หันมามองทางพวกนาง แล้วพานายทหารกองใหญ่เดินตรงมาทางนี้ทันที
เจ้าหนูน้อยตกใจจนเข้าไปหลบด้านหลังของหลินเว่ยเว่ย
ผู้บัญชาการวางสายตาบนตัวหลินเว่ยเว่ยและหลิวว่ายจื่อครู่หนึ่ง หลังขมวดคิ้วแล้วเขาก็พูดกับหลิวว่ายจื่อว่า “โกดังของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ? พาข้าไปดูหน่อย ! ”
หลิวว่ายจื่อมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก นายทหารกองนี้มีท่าทางดุดัน ไฉนเลยชาวบ้านในหุบเขาเช่นตนจะเคยเห็นท่าทางเช่นนี้มาก่อน ?
“อาว่ายจื่อไม่ต้องกลัว ! คนเหล่านี้คือทหารรักษาการณ์ของทางราชสำนัก ไม่ใช่กองโจรภูเขา พวกเขาไม่มีทางทำร้ายท่านแน่ ! ” หลินเว่ยเว่ยนึกระอาในใจ…หลิวว่ายจื่อยังด้อยประสบการณ์อีกมาก !
ทันใดนั้นทหารหนุ่มนายหนึ่งที่อยู่แถวหน้าก็หันมามองหลินเว่ยเว่ย “กองโจรภูเขา ? เขตเริ่นอันไม่สงบสุขอย่างนั้นหรือ ? ”
“ในอดีตไม่มีหรอก ! ทว่าปีนี้ภัยแล้งรุนแรงมาก นอกเขตเริ่นอันจึงมีผู้ประสบภัยไม่น้อย…เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้านก็ได้เจอกับผู้ประสบภัยที่มาก่อความวุ่นวาย ข้ามีพลังเหนือธรรมชาติและเกวียนเทียมล่อก็เคลื่อนที่เร็วจึงไม่ถูกคนเหล่านั้นทำร้าย…” ภายใต้สายตาเค้นเอาความจริงของอีกฝ่าย หลินเว่ยเว่ยกลับทำตัวไม่เหมือนสาวน้อยผู้ตื่นตระหนก
“หืม ? เจ้ามีพลังเหนือธรรมชาติ พลังมากเพียงใดหรือ ? ” ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
นายทหารหนุ่มหันไปทำมือคารวะ “ถวายพระพรองค์ชายเจ็ด คารวะหมินอ๋องซื่อจื่อ ! ”
‘ตึก ! ’ ทันใดนั้นหลิวว่ายจื่อก็เข่าอ่อนจนคุกเข่าลงกับพื้น สวรรค์ ! ผู้ใดหรือ ? องค์ชายเจ็ด ? ซื่อจื่อ ? ตะ…ตัวละครเหล่านี้ล้วนได้ยินจากบทละครพื้นบ้านเท่านั้น เหตุใดมาปรากฏที่เขตเริ่นอันได้ ?
“ไม่ต้องมากพิธี ! ” องค์ชายเจ็ดโบกพระหัตถ์ให้นายทหารหนุ่มแล้วตรัสด้วยสุรเสียงแห่งความเกษมสำราญ “ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องให้เกียรติเสียยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ! ”
เสียงของหลิวว่ายจื่อค่อนข้างสั่นเครือ “เฉ่า…เฉ่าหมิน1…สม…สมควรทำแล้ว…”
องค์ชายไม่ใช่หรือ ? ไม่ใช่พระโอรสขององค์ฮ่องเต้หรืออย่างไร ? กลับไปมีเรื่องให้คุยโวอีกแล้ว พระโอรสของฮ่องเต้ตรัสกับข้า ดูทรงเกียรติมากเพียงใดกันเล่า !
“หืม ? ท่านไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ ( เจ้าโง่ ) ที่ซื้อแมวป่าจากข้าไปหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยจดจำสองคนนี้ได้ ! เขตเริ่นอันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ แม้จะมีเศรษฐีผ่านไปผ่านมาไม่น้อย ทว่าผู้ที่ดูสูงศักดิ์และมีรัศมีไม่ธรรมดาเช่นนี้ยังมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ดวงเนตรคู่นั้นขององค์ชายเจ็ดค่อย ๆ เบิกกว้างเพราะความตกพระทัย “เจ้า…เจ้าคือคนที่ขายแมวป่าผู้นั้นหรือ ? คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกู่เหนียงนางหนึ่ง ! ”
พระองค์จึงไม่ได้ยืนกรานที่จะให้นางแสดง ‘พลังเหนือธรรมชาติ’ แต่อย่างใด…เพราะสตรีที่สามารถจับแมวป่าได้ จะสู้กับผู้ที่มาก่อความวุ่นวายได้จริงย่อมไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอันใด !
องค์ชายเจ็ดยังตรัสถามต่อ “กู่เหนียง เล่าให้องค์ชายผู้นี้ฟังหน่อยเถิดว่าสถานการณ์ภัยแล้งของพวกเจ้าร้ายแรงถึงเพียงใดแล้ว ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงเล่าโศกนาฏกรรมของหมู่บ้านอื่นและยกตัวอย่างถึงเสี่ยวร่างเด็กกำพร้าที่นางเพิ่งรับกลับไปให้องค์ชายเจ็ดสดับตรับฟังเพื่อให้ได้เห็นภาพชัดเจนกว่าเดิม และทำให้องค์ชายเจ็ดกับหมินอ๋องซื่อจื่อเข้าใจสถานการณ์ในเขตเริ่นอันหรือแม้กระทั่งภัยแล้งทั่วเมืองจงโจว
องค์ชายเจ็ดขมวดพระขนงพร้อมฉายประกายเย็นชาในดวงเนตรทรงเสน่ห์ “ภัยแล้งในเมืองจงโจวหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดไอ้หม่าชิงฮุ่ยไม่ถวายฎีกาขึ้นไป ? ”
“หม่าชิงฮุ่ย ? ”
ใครหรือ ? หลินเว่ยเว่ยมีสีหน้างุนงงทันที
องค์ชายเจ็ดเห็นท่าทางงุนงงของนางจึงระงับไฟโทสะแล้วยกริมพระโอษฐ์ขึ้น “มันคือเจ้าเมืองจงโจว ! ”
“ไม่ได้รายงานเรื่องภัยแล้ง ? เพราะเหตุใด ? พวกชาวบ้านยังรอให้ราชสำนักเปิดคลังบรรเทาทุกข์ ! คราวก่อนตอนที่หม่อมฉันมาขายแมวป่าก็ได้ยินพวกเขาบอกว่าทางราชสำนักได้เปิดคลังแจกจ่ายเสบียงไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้งขั้นรุนแรงบางพื้นที่แล้ว หม่อมฉันหลงเข้าใจผิดว่าอีกไม่นานก็จะมาถึงพวกเราเสียอีก ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่รู้ว่าพวกขุนนางคิดอันใดอยู่ คิดปิดบังเรื่องภัยแล้งก็ปิดได้เลยหรือ ? นี่ไม่ได้เป็นการเอาเปรียบราษฎรหรืออย่างไร ?
“จินเฉิง เจ้าคุ้มกันเสบียงไปส่งทางทิศตะวันตก ส่วนที่นี่เปิ่นหวางจะอยู่จัดการหม่าชิงฮุ่ยเอง ! ” งานบรรเทาทุกข์เป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงอยากปัดความรับผิดชอบมานานแล้ว
หมินอ๋องซื่อจื่อยกมือกอดอกแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “องค์ชายเจ็ด ผู้ที่ทูลของานบรรเทาทุกข์จากฝ่าบาทเป็นพระองค์เองและตลอดทางนี้ผู้ที่หาเรื่องอู้งานตลอดก็ยังเป็นพระองค์ ! ข้าแค่ได้รับบัญชาให้ขนเสบียงมาทางตะวันตก ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่สนใจ ! ”
ความหมายชัดเจนมาก นั่นก็คือหากเจ้าละทิ้งงานบรรเทาทุกข์แล้วเกิดปัญหาอันใดขึ้นในระหว่างนั้นก็อย่าหวังว่าข้าจะตามล้างตามเช็ดให้เจ้า !
หลินเว่ยเว่ยมองไปยังใบหน้าของหมินอ๋องซื่อจื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตานี้ รอยยิ้มแสนเย็นชานี้ เหตุใดจึงดูเหมือนบัณฑิตน้อยมากเลย ? หรือผู้ที่ดูดีเวลาเยาะเย้ยคนอื่นก็จะเป็นเช่นนี้ทุกคน ?
องค์ชายเจ็ดเก็บพัดแล้วเคาะที่ฝ่าพระหัตถ์ จากนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ราวกับปิศาจร้าย “จินเฉิง เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ใส่กางเกงตัวเดียวกัน นอนบนเตียงและยังดื่มนมจากแม่นมคนเดียวกัน ยังจะแบ่งเจ้าแบ่งข้าด้วยเหตุใดอีก ? ”
“พี่น้องแท้ ๆ ยังต้องทำบัญชีให้ชัดเจน ! หน้าที่บรรเทาทุกข์ยิ่งใหญ่ดุจฟ้า ปัญหานี้ข้าไม่ช่วยแบกรับแทนพระองค์หรอก ! ” ตั้งแต่เด็กจนโตหมินอ๋องซื่อจื่อช่วยแบกปัญหาแทนองค์ชายเจ็ดน้อยครั้งเสียที่ไหน ? องค์ชายเจ็ดผู้แสนเจ้าเล่ห์พระองค์นี้ มีครั้งไหนที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยแล้วจะไม่ลากเขาไปรับกรรมด้วยบ้าง ?
องค์ชายเจ็ดทำสีพระพักตร์เป็นเชิงประจบสอพลอ “ทว่าสายสัมพันธ์ของเราสองคนแน่นแฟ้นกว่าพี่น้องแท้ ๆ ถูกหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยรับชมการโต้เถียงของบุรุษทั้งสองด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นในสมองก็มีภาพละครฉากใหญ่ปรากฏขึ้น…ซื่อจื่อจอมซึน vs องค์ชายตัวร้าย…
“สาวน้อย เจ้าหัวเราะอันใดอยู่ ? ” องค์ชายเจ็ดเหลือบมาเห็นรอยยิ้มผิดแปลกบนใบหน้าของหลินเว่ยเว่ย ทันใดนั้นพระองค์ก็รู้สึกหวาดกลัวและขนลุกไปทั่วพระวรกายทันที
หลินเว่ยเว่ยรีบจัดการสีหน้าของตน ดวงตาดุจตาลูกกวางดูบริสุทธิ์และใจดีขึ้นมา หลังกะพริบตาแล้วนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “ไม่ได้หัวเราะอันใดเลยเพคะ ! แค่คิดว่าหม่อมฉันได้สนทนากับองค์ชายและยังมีหมินอ๋องซื่อจื่อด้วย หม่อมฉันจึงตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก ! การที่องค์ชายทรงห่วงใยเรื่องภัยแล้งของเขตเริ่นอัน ราษฎรชาวเริ่นอันจะต้องมีทางรอดแน่นอนเพคะ ! ”
องค์ชายเจ็ดหรี่ดวงเนตรลง พระองค์มักรู้สึกว่านางเด็กคนนี้ไม่ซื่อสัตย์แต่ก็จับหางจิ้งจอกน้อย ๆ ของนางไม่ได้ ท่าทีหลังจากได้เห็นองค์ชายกับหมินอ๋องซื่อจื่อของเด็กสาวชนบทคนหนึ่งดูนิ่งเกินไปหรือไม่ ? แม้ปากจะพูดว่าตื่นเต้นแต่ไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นจากตัวนางเลย…นับว่าเป็นเด็กสาวประหลาดเสียจริง !
องค์ชายเจ็ดเสด็จไปที่หน้าโกดังแล้วเข้าไปสำรวจด้านในเพื่อดูความแห้ง ความสะอาด สิ่งสำคัญคือกว้างขวาง ย่อมเป็นทางเลือกดีที่สุดในการเก็บเสบียง !
“เอาล่ะ ! โกดังนี้พวกเราเช่าแล้ว ! ” องค์ชายเจ็ดโบกพระหัตถ์แสดงว่าได้ตัดสินพระทัยแล้วนั่นเอง
1 เฉ่าหมิน แปลว่า ราษฎรผู้ต่ำต้อยเสมือนต้นหญ้า