หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 190 โยนให้บัณฑิตน้อยอีกแล้ว
ตอนที่ 190 โยนให้บัณฑิตน้อยอีกแล้ว
หลินเว่ยเว่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้แก้ไขง่ายมาก ตอนกลางคืนพวกเราผลัดกันเข้าแถวสองคนต่อหนึ่งกลุ่ม กลุ่มหนึ่งต่อแถวเป็นเวลา 2 เค่อ หากทำเช่นนี้ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนและยังไม่ทำให้การรับอาหารล่าช้าด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านค่อย ๆ พยักหน้ารับ “ยังเป็นนางหนูรองที่สมองดี ! เอาตามนี้ก็แล้วกัน เจ้ากับบัณฑิตเจียงไปต่อแถวก่อน ส่วนจื่อเหยียนกับหยาเอ๋อร์ค่อยต่อรอบสอง…”
ในเวลานี้ก็แน่นอนว่าคนต่อแถวก่อนย่อมได้เปรียบเพราะไม่ต้องลุกขึ้นมาต่อแถวกลางดึก
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดมิด คนต่อแถวรับอาหารก็ขยับไปด้านหน้าไม่หยุด หลินเว่ยเว่ยรับหน้าที่ต่อแถวครู่เดียวก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว นางอยากไปดูกลุ่มคนข้างหน้าแต่ก็โดนทางการหยุดไว้ “ต่อแถว ห้ามแซง ! ถ้าไม่ทำตามลำดับจะหมดสิทธิ์รับอาหาร ! ”
หลินเว่ยเว่ยยังยืดคอต่อไป นางมองไปยังสถานที่แจกอาหาร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบทะเบียนบ้าน คนหนึ่งจดบันทึก อีกคนชั่งน้ำหนักข้าว การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ช้าแต่อย่างใด
หากมองไปยังบริเวณโดยรอบซึ่งห่างจากการรักษาความปลอดภัยของทางการก็ยังมีนายทหารอีกจำนวนไม่น้อย ดูจากอาวุธบนตัวแล้วน่าจะเป็นคนที่องค์ชายเจ็ดทิ้งไว้ กองทหารรักษาการณ์ในชุดเกราะเต็มยศ ท่าทางน่าเกรงขามกว่าทหารของทางการมาก
หลินเว่ยเว่ยยังไปดูค่ายพักแรมของหมู่บ้านอื่นด้วย หลังได้รับอาหารบรรเทาทุกข์แล้ว คนส่วนใหญ่จะนำไปต้มโจ๊กเป็นมื้อเย็นและกลิ่นหอมของข้าวสุกก็หอมฟุ้งไปทั่ว นำพามาซึ่งความหวังแก่ชาวประชา
ตอนที่หลินเว่ยเว่ยเข้าไปดู แววตาของชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หรือบางคนถึงขั้นไล่นางออกมาอย่างดุร้าย…ถ้าไม่แกร่งจริงคงอยู่รอดในปีแห่งภัยพิบัติได้ยาก !
กระทั่งฟ้ามืดสนิท การแจกอาหารก็หยุดลง ผู้คนที่มารอรับยังไม่แยกย้าย พวกเขาก็เป็นเหมือนชาวฉือหลี่โกวที่รวมตัวเป็นหมู่บ้านและจัดกลุ่มเข้าแถว ส่วนคนอื่นก็ไปพักตามลำดับ
หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศในตอนกลางวันและกลางคืนจะแตกต่างกันมาก กองไฟผุดขึ้นไม่น้อยในค่ายพักแรม หลินจื่อเหยียนสวมเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายบุนวมหนาซึ่งบิดาทิ้งไว้และเดินเข้ามากับหยาเอ๋อร์ผู้มีรูปร่างผอมแห้ง “พี่รอง ศิษย์พี่เจียง พวกท่านไปพักผ่อนเถิด เรามารับช่วงต่อ ! ”
“พวกเจ้าได้กินข้าวกันหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยถาม
หลินจื่อเหยียนพยักหน้า “กินอาหารที่นำมาด้วยแล้ว เพียงแต่น้ำ…ไม่ค่อยพอดื่มสักเท่าไร…”
แต่ละคนพกน้ำมาคนละ 2 กระบอก ตอนเดินทางมาก็ดื่มแล้วหนึ่งกระบอก ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ได้กลับ พวกเขาก็จะไม่มีน้ำให้ดื่มแล้ว พอมองแหล่งน้ำที่คนอื่นตักมาบริโภคก็เห็นว่าน้ำในสระเหลือแค่ชั้นตื้น ๆ เท่านั้น ด้านบนยังเต็มไปด้วยใบไม้ เศษซากของสิ่งต่าง ๆ สกปรกยิ่งกว่าอะไรดี…ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นดื่มลงได้อย่างไร
“ที่ข้ายังมีอีกหลายกระบอก ประเดี๋ยวแบ่งให้เจ้า 2 กระบอก ต้องบอกคนในหมู่บ้านว่าให้ต้มน้ำก่อนเท่านั้นถึงจะดื่มได้” ใครจะรู้ว่าแถวนี้มีสัตว์หรือสิ่งอื่นตกไปตายในแหล่งน้ำหรือไม่ หากดื่มเข้าไปก็เสี่ยงจะเกิดเรื่องได้ไม่ยาก !
ตอนที่หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานมาถึงค่ายพักแรมหมู่บ้านฉือหลี่โกว พวกชาวบ้านก็เริ่มถกเถียงกันเรื่องน้ำ ผู้ใหญ่บ้านจึงหันมามองทั้งสองคนซึ่งมากความสามารถที่สุดในหมู่บ้าน “พวกเจ้ามีวิธีดี ๆ บ้างหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่เจียงโม่หาน “เมื่อครู่พวกเราลองปรึกษากันแล้ว บัณฑิตน้อยอธิบายวิธีกรองน้ำให้ข้า พวกเราลองทำกันเถิด ! ”
คิ้วแสนงดงามของเจียงโม่หานเลิกขึ้นเล็กน้อย…เฮอะ เอาอีกแล้ว เรื่องปวดหัวถูกโยนมาบนหลังของเขาอีกแล้ว เคยถามความเห็นกันหรือไม่ ? คิดว่าเขาไม่กล้าเปิดโปงนางจริงหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังหยิบกระบอกน้ำขึ้นมานางก็เจาะรูด้านล่างสองรู นำผ้าสะอาดยัดเข้าไปด้านใต้สุด ทับด้วยถ่าน ต่อมาเติมทรายละเอียด หลังจากนั้นเติมทรายหยาบเพื่อกรองสิ่งสกปรกขนาดใหญ่และเติมก้อนกรวดกับหินลงไปเป็นชั้นสุดท้าย
ซัวถัวไปตักน้ำโคลนมาจากสระที่ห่างไกล จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ตักน้ำใส่กระบอกที่เพิ่งทำใบนั้น น้ำค่อยๆ ไหลผ่านรอยแยกของชั้นหิน กรองสิ่งสกปรกชั้นแล้วชั้นเล่าจนถึงชั้นถ่านก็เหลือสิ่งสกปรกไม่มากแล้ว ถ่านนี้ยังสามารถกรองสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายด้วย
“เฮ้ ! น้ำใสแล้ว ! ” ซัวถัวร้องตะโกนด้วยความตกใจ ด้านล่างกระบอกน้ำมีถ้วยรองไว้ น้ำใสสะอาดราวกับน้ำแร่จากหุบเขา
ซัวถัวกำลังจะยกมาดื่ม แต่ก็ถูกหลินเว่ยเว่ยห้ามไว้ก่อน “ยังดื่มไม่ได้ ต้องนำไปต้มก่อน”
ผู้คนจากหมู่บ้านข้างเคียงให้ความสนใจกับชาวบ้านฉือหลี่โกวมาโดยตลอด…เพราะดูสะดุดตาเกินไป จะไม่ให้คนอื่นสนใจก็คงยาก !
พอคนในหมู่บ้านอื่นได้ยินเสียงทางฝั่งนี้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข ปีแห่งภัยพิบัติเช่นนี้การได้ดื่มน้ำสะอาดเปรียบเสมือนเรื่องเพ้อฝันอย่างหนึ่ง มีผู้คนจำนวนมากที่หากไม่ได้ขาดน้ำตายก็อดอาหารตาย การดื่มน้ำไม่สะอาดก็เป็นเหตุให้ท้องเสียจนตายได้ โดยเฉพาะคนแก่และเด็กที่มีลำไส้ไม่แข็งแรง
ถ้ามีวิธีกรองน้ำให้สะอาดได้จริง เช่นนั้นความอยู่รอดของคนทั้งหลายก็จะมีการรับประกันเพิ่มขึ้น ผู้ใหญ่บ้านอื่นได้ปรึกษากับลูกบ้านสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ให้หลานชายช่วยประคองเขาขึ้นมาและเดินตรงมาทางค่ายพักแรมของชาวฉือหลี่โกว
อายุของผู้ใหญ่บ้านคนนั้นดูจะแก่กว่าผู้ใหญ่บ้านฉือหลี่โกวไปสักหน่อย ไม่ว่าเส้นผมหรือเคราก็มีสีขาวทั้งสิ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอย หลานชายตัวน้อยของเขาเป็นเด็กอายุ 10 ขวบเท่านั้น ยามที่พวกตนเข้ามาในอาณาเขตเช่นนี้กลับไม่มีการข่มขู่หรือคุกคามจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจและทัศนคติของอีกฝ่ายแล้ว
“ข้าชื่อหวางเต๋อชุนเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านวังคานจื่อ เขตฝูหยุน อำเภอเป่าชิง” ผู้ใหญ่บ้านวังคานจื่อเข้ามาแนะนำตัวก่อน ท่าทางจริงใจน่าคบ ผู้มีมารยาทแล้วผู้คนย่อมไม่ถือสา !
ผู้ใหญ่วังหันไปทำมือคารวะอีกฝ่าย “ข้าคือผู้ใหญ่บ้านฉือหลี่โกว เขตเริ่นอัน ไม่ทราบว่าพี่หวางมีอันใดหรือ ? ”
“มิกล้าหรอก ข้าบากหน้ามาขอให้น้องชายช่วยเหลือ ! ” หวางเต๋อชุนค่อนข้างละอายแก่ใจเหลือเกิน
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มาถามวิธีกรองน้ำใช่หรือไม่ ? ”
หวางเต๋อชุนพยักหน้าแล้วมองผู้ใหญ่วังอย่างเปี่ยมความหวัง ผู้ใหญ่วังจึงพูดกับเขาว่า “วิธีนี้บัณฑิตเจียงอ่านมาจากตำรา หากพวกท่านอยากเรียนรู้ก็ต้องให้เขาตัดสินใจก่อน”
สองปู่หลานหวางเต๋อชุนพากันหันไปมองบัณฑิตท่าทางเย็นชาและเมินเฉยต่อสิ่งรอบตัว ทันใดนั้นพวกเขาก็ดูระวังตัวขึ้นมาทันที หลินเว่ยเว่ยใช้ศอกสะกิดบัณฑิตหนุ่ม “เจ้าพูดบ้างสิ ! ”
“เจ้าอยากสอนก็สอนไปสิ ! ” เจียงโม่หานยืนอยู่ข้างกระบอกกรองน้ำ มองน้ำขุ่นที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นน้ำสีใสแล้วนึกในใจว่าเด็กคนนี้ซุกซ่อนขุมทรัพย์ไว้มากมาย ต้องเป็นครอบครัวเช่นไรถึงจะเลี้ยงเด็กผู้หญิงให้ออกมาเช่นนี้ได้ ?
หลินเว่ยเว่ยให้ผู้ใหญ่บ้านไปถามคนในหมู่บ้านข้างเคียง เผื่อว่ามีใครอยากเรียนวิธีกรองน้ำอีกจะได้มาเรียนพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นนางต้องสอนซ้ำเป็นสองสามรอบไม่มีสิ้นสุด
เครื่องกรองน้ำทำขึ้นมาง่ายมากและวัสดุที่ใช้ก็หาได้รอบตัว ผ่านไปไม่นานผู้คนจากหมู่บ้านอื่นก็ทำได้
หมินอ๋องซื่อจื่อสร้างค่ายพักแรมห่างออกไปไม่ไกล เขาเกิดในตระกูลนักรบและต้องยกทัพออกศึกบ่อยครั้ง การบริโภคน้ำที่สะอาดจึงมีความสำคัญต่อกองทัพ ตอนที่เขาได้ยินทหารมารายงานว่าบัณฑิตเจียงแห่งหมู่บ้านฉือหลี่โกวสามารถสร้างอุปกรณ์กรองน้ำได้ เขาก็ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
บัณฑิตเจียงแห่งหมู่บ้านฉือหลี่โกว ไม่ใช่คนที่ฮ่องเต้ตรัสว่าสามารถสร้างกังหันวิดน้ำพลังลมคนนั้นหรือ ? แท้จริงแล้วเขตเริ่นอันก็อยู่ในอำเภอเป่าชิง หากได้เจออีกฝ่ายในกลุ่มผู้ประสบภัยที่มารอรับอาหารก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด !
ทว่าเจ้าอุปกรณ์กรองน้ำนี้สามารถดึงดูดความสนใจของหมินอ๋องซื่อจื่อได้มาก เขาจึงออกจากค่ายพักแรมโดยพาทหารองครักษ์ไม่กี่นายติดตามมายังค่ายพักแรมของชาวบ้านฉือหลี่โกว