หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 210 เกิดมาเพื่อเป็นดาวอัปมงคลของเขา
ตอนที่ 210 เกิดมาเพื่อเป็นดาวอัปมงคลของเขา
“พวกท่านกินข้าวกันแล้วหรือ ? เมื่อคืนพักผ่อนเป็นอย่างไรบ้าง ? ” หนิงตงเซิ่งนำคนเข้ามาส่งอาหารเช้าที่นี่ เขามองถ้วยโจ๊กที่ว่างเปล่าบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดที่ตนมาช้าเกินไป
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พอใช้ได้ ดูแค่พลังที่ข้ามีก็รู้แล้ว ! ”
หนิงตงเซิ่งหันไปมองหลินจื่อเหยียนที่หาวอยู่บ่อยครั้ง หลินเว่ยเว่ยจึงรีบอธิบาย “เขารักสบาย ชอบตื่นสาย ! ”
หลินจื่อเหยียนอยากจะหันไปเถียงแต่ก็โดนพี่รองใช้สายตาขู่ไว้ เขาจึงได้แต่ก้มหน้าพลางกัดซาลาเปาด้วยความหงุดหงิด
หนิงตงเซิ่งพูดกับหลินเว่ยเว่ย “หลินกู่เหนียงจะออกนอกเมืองเลย หรือคิดจะเดินเล่นในเมืองต่ออีกหน่อย ? ”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “ต่อไปมีโอกาสก็ค่อยมาเดินเล่นใหม่ ! พอได้อาหารบรรเทาทุกข์แล้วต้องรีบกลับบ้านเพราะในหมู่บ้านเหลือแค่เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ที่อ่อนแอ ทำให้ข้าไม่วางใจเลย ! ”
หนิงตงเซิ่งเผยท่าทางเข้าใจ “ข้าจะเรียกรถม้ามาที่นี่เพื่อส่งพวกท่านออกนอกเมือง ! ”
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เนื่องจากเมื่อคืนนี้ไข้ขึ้นร่างกายจึงยังล้าอยู่บ้าง พอนั่งรถม้าออกจากเมืองแล้ว นางก็เห็นพวกชาวบ้านฉือหลี่โกวกำลังขนข้าวสารขึ้นเกวียนหรือรถเข็นล้อลากหมดแล้ว
“นี่…รับอาหารกันหมดแล้วหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยประเมินปริมาณของข้าวสาร ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ผู้ใหญ่บ้านตอบด้วยสีหน้าดีใจ “ท่านนายอำเภอรับประกันให้พวกเรา ผู้ที่ไม่ได้มาเอาข้าวด้วยตัวเองก็สามารถรับแทนได้ ต้องขอบคุณท่านนายอำเภอ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องพาพวกชาวบ้านมาอีกรอบ ! ”
หลิวต้าซวนเบียดเข้ามาแล้วยื่นกล่องเล็ก ๆ ใส่มือนาง “นี่เป็นของที่ใต้เท้าซื่อจื่อส่งคนมามอบให้โดยบอกว่าต่อไปถ้าเจ้าเจอปัญหาอันใดก็นำมันไปที่จวนหมินอ๋องประจำชิงอันหรือไม่ก็จวนหมินอ๋องที่เมืองหลวง…”
หลินเว่ยเว่ยเปิดกล่องแล้วหยิบป้ายหยกเนื้อใสออกมาจากด้านใน “ว้าว ! ดูจากสีแล้วน่าจะมีราคาไม่น้อยเลย ด้านบนสลักลูกสุนัขเอาไว้ ดูมีชีวิตชีวาใช่ย่อย…”
“มันคือกิเลน ! ” เจียงโม่หานถึงขั้นมองสายตาลุกวาวของเด็กตัวแสบอย่างหมดถ้อยคำที่จะกล่าวออกมา แต่แล้วเขาก็กลัวว่านางจะเล่นพิเรนทร์นำป้ายหยกไปขาย “ป้ายหยกชิ้นนี้แสดงถึงตัวตนของหมินอ๋องซื่อจื่อ หากนำไปที่จวนหมินอ๋อง ไม่ว่าเจ้าเผชิญปัญหาที่ยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็จะช่วยเหลือเจ้า ! ”
“ถ้าเช่นนั้น…หากไม่มีปัญหาอันใดก็สามารถนำมันไปแลกเงินสักหมื่นตำลึงที่จวนหมินอ๋องได้หรือ ? ” ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยเป็นประกาย
เจียงโม่หานมองเข้าไปในส่วนลึกของดวงตานาง เขาอยากยืนยันว่านางกำลังคิดจริงจังหรือไม่ “เจ้าขาดแคลนเงินมากเลยหรือ ? ” คำมั่นสัญญาเพียงชิ้นเดียวของหมินอ๋องซื่อจื่อสามารถปกป้องชีวิตได้ในยามเข้าตาจน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะนำไปแลกเป็นเงิน !
“ถูกต้อง ! ตอนนี้บ้านเราไม่ขาดแคลนเงิน ดังนั้นต้องเก็บไว้ก่อน ! ” หลินเว่ยเว่ยนำป้ายหยกกิเลนเก็บเข้ากล่อง หลังจากนั้นก็ยัดใส่อ้อมแขนของหลินจื่อเหยียน “กอดไว้ในดี นี่เป็นเงินหมื่นตำลึงเชียวนะ ! ”
หลินจื่อเหยียนทำเหมือนกอดเผือกร้อน แต่ก็ค่อย ๆ ประคองกล่องราวกับของแสนเปราะบางเพราะกลัวหยกจะกระแทกกับตัวกล่องไปมา
ก่อนออกเดินทางมีทหารของทางการเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง ผู้บัญชาการพูดกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ใต้เท้าหวางให้พวกเราไปส่งพวกเจ้า ! ”
เพราะนายอำเภอหวางทราบว่าหมินอ๋องซื่อจื่อมอบป้ายหยกกิเลนแทนตนให้กู่เหนียงน้อยแซ่หลิน นับว่าตระกูลหลินช่างร้ายกาจ สามารถทำให้จวนหมินอ๋องติดหนี้บุญคุณได้…สู้ผูกสัมพันธ์ไว้ดีกว่า สร้างความประทับใจให้จวนหมินอ๋องได้เห็นเสียหน่อย !
การเดินทางกลับฉือหลี่โกวต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วยาม เป็นเส้นทางขึ้นเขาตลอด พวกเขานำข้าวสารกลับไปเยอะเช่นนี้ย่อมไม่ปลอดภัย ท่านนายอำเภอคิดได้รอบคอบเสียจริง !
ผู้ใหญ่บ้านและชาวฉือหลี่โกวต่างรู้แก่ใจดีว่าเท้าเปื้อนโคลนของพวกตนมีสิ่งใดให้นายอำเภอจดจำ สุดท้ายก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้านางหนูรองและบัณฑิตเจียงหรอกหรือ ?
ในระหว่างนั้นความศรัทธาที่พวกชาวบ้านฉือหลี่โกวมีต่อหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลินเว่ยเว่ยที่คราวนี้นางถึงขั้นช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อเอาไว้ !
ตอนที่มอบป้ายหยกให้ก็กล่าวแล้วว่าเจ้าป้ายหยกอันนี้สามารถสนองทุกคำขอของนาง หากนางเอ่ยปากให้จวนหมินอ๋องรับเป็นบุตรสาวบุญธรรม ฐานะจะไม่สูงขึ้นทันตาหรอกหรือ ? ไม่แน่ว่าฉือหลี่โกวของเราอาจมีจวิ้นจู่1ปรากฏตัวขึ้นก็ได้ !
สายตาของผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านฉือหลี่โกวที่ใช้มองหลินเว่ยเว่ยเปลี่ยนไปทันที ราวกับนางมีแสงอันล้ำค่าปรากฏออกมาจากตัว ควรค่าแก่การปกป้องและดูแลเป็นอย่างยิ่ง !
ระหว่างทางกลับนี้เหมือนหลินเว่ยเว่ยจะลืมคำมั่นสัญญาหรือป้ายหยกจนสิ้น นางลงไปช่วยผลักเกวียนเป็นครั้งคราวหรือช่วยแบกข้าวบ้าง นางยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดคือชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่สุด
ส่วนเจียงโม่หานที่ขับเกวียนเทียมล่อก็บอกจะเปลี่ยนหน้าที่กับนางหลายครั้งเพื่อให้นางมานั่งพักบนเกวียนบ้าง แต่นางไม่ฟัง ท้ายที่สุดเจียงโม่หานจึงโมโหขึ้นมาจริง ๆ นางถึงได้ปีนมานั่งบนเกวียนเยี่ยงเด็กดี…ที่จริงนางหายป่วยแล้ว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยพลังที่ใช้ไม่หมด !
บัณฑิตน้อยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นห่วงนางหรือ ? ขณะครุ่นคิดอย่างหวานชื่น หลินเว่ยเว่ยก็หันไปขยิบตาให้อีกฝ่าย
เจียงโม่หานสะดุดเท้าซ้ายของตนจนแทบล้ม แต่แล้วเขาก็รีบเดินต่อไป ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะของเด็กตัวแสบดังมาเป็นระยะ…นางเกิดมาเพื่อเป็นดาวอัปมงคลของเขา !
เมื่อขนข้าวเพื่อข้ามภูเขาลูกใหญ่มาแล้วสองลูก พวกเขาก็มาถึงเขตเริ่นอัน ระยะทางซับซ้อนและอันตรายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นายทหารหลายสิบนายกำลังจะเดินทางกลับอำเภอเป่าชิงทันที
พวกเขาช่วยคุ้มครองมากว่าครึ่งวัน อย่างไรก็จะให้กลับไปมือเปล่าไม่ได้ หลินเว่ยเว่ยจึงนำเงินออกมา 10 ตำลึงแล้วยัดใส่มือนายทหาร “พวกท่านลำบากกันมาก ! น้ำใจเล็กน้อยอาจไม่น่าพอใจสักเท่าไร ถือว่าเลี้ยงน้ำชาพวกท่านก็แล้วกัน ! ”
นายอำเภอให้พวกเขามาส่งชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง เดิมทีก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้วเพราะชาวบ้านที่พึ่งพาอาหารบรรเทาทุกข์จะมีดีอันใด ? คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำเงินออกมาทีเดียวได้ถึง 10 ตำลึง แต่มีเงินสิบตำลึงก็สามารถซื้อข้าวได้ตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ? เจ้ายังมารับอาหารบรรเทาทุกข์เพื่อเหตุใด ?
ต้องบอกก่อนว่านายทหารของทางการ เดือนหนึ่งได้เงินอยู่เพียง 1 ตำลึงกว่าเท่านั้น นายทหารเหล่านี้แบ่งเงิน 10 ตำลึงกันก็เท่ากับได้เงินครึ่งเดือนแล้ว ! การเดินทางครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า !
เมื่อพวกนายทหารรับเงินแล้วก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม
หลินจื่อเหยียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ “พี่รอง เหตุใดท่านต้องให้เงินพวกเขาด้วย ? ไม่ใช่นายอำเภอให้พวกเขามาส่งเราหรือ ? เงินสิบตำลึงนั้น สู้เราเอาไปซื้ออาหารมาตุนไว้ช่วงฤดูหนาวไม่ดีกว่าหรือ ! ”
หลินเว่ยเว่ยใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านี่นะ ! จะคิดเช่นนี้ไม่ได้ ! ข้าไปสืบมาแล้วว่าภูเขาสองสามลูกที่เราผ่านมามีโจรออกปล้นอยู่บ่อยครั้ง
เจ้าอย่ามองว่านายทหารมาส่งพวกเราแค่ไม่กี่นาย ทว่าบนตัวพวกเขาล้วนเป็นเครื่องแบบของทางการย่อมสร้างความหวาดกลัวแก่โจรภูเขา นอกจากหมดทางเลือกแล้วพวกโจรภูเขาไม่มีทางหันมาสู้กับทางการเด็ดขาด ! ถ้าไม่ได้ทหารเหล่านี้มาส่ง นอกจากเราจะรักษาข้าวสารเหล่านี้ไม่ได้ ทว่าอาจต้องบาดเจ็บล้มตายอีกด้วย !
นอกจากนี้ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง วันหน้าหากเราเจอปัญหาอันใดที่อำเภอ ถ้าแสดงตัวตนกับทางการแล้วอีกฝ่ายอาจยังจำเงินก้อนนี้ได้ เขาจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเลยหรือ ? พอลองคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเงินก้อนนี้ไม่ได้สูญเปล่าใช่หรือไม่ ? ”
ถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้หลินจื่อเหยียนคิดตก แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็พยักหน้าเห็นด้วย “พอกลับไปแล้วพวกเราสามสิบกว่าครอบครัวจะรวมเงินกันแล้วคืนให้เจ้า ที่คุ้มกันก็เป็นอาหารของทุกคน จะให้บ้านพวกเจ้าออกเงินฝ่ายเดียวไม่ได้ ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
1 จวิ้นจู่ คือ องค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดา ถือเป็นเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สาม