หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 212 ทำตัวติดคนอื่น
ตอนที่ 212 ทำตัวติดคนอื่น
ผู้ใหญ่บ้านไปดูพวกหัวขโมยไม่กี่คนในหอบรรพชน ท่านหมอเหลียงทำแผลจากลูกธนูให้พวกเขาแล้ว…อย่างไรก็จะปล่อยให้คนตายอยู่ในฉือหลี่โกวไม่ได้ โชคดีที่พวกเด็ก ๆ แรงไม่เยอะมาก ลูกธนูจึงแทงเข้าไม่ลึก คร่าชีวิตคนไม่ได้ อย่างมากก็แค่ต้องทนทุกข์ทรมานบ้างเท่านั้น
หลีชิงกล่าวว่า “ข้าตรวจสอบมาแล้วว่าหัวขโมยเหล่านี้ไม่ใช่พวกเดียวกับโจรอีกกลุ่ม ! พวกมันเป็นกลุ่มอันธพาลเร่ร่อนของหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ไม่รู้ได้ยินมาจากไหนว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวหาเงินได้จากโรงงานแปรรูปเมล็ดสนจึงเข้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมื่อกลางดึกของคืนก่อนโชคดีที่ข้าเตรียมการไว้แล้ว เมื่อเจ้าพวกนี้เข้ามาในหมู่บ้านก็ติดกับดักทันทีแล้วโดนทิ้งไว้อย่างนี้หนึ่งคืนเต็ม”
เจ้าหนูน้อยชี้ไปยังชายที่โดนห่อตัวราวกับ ‘มัมมี่’ เพราะบาดเจ็บเยอะที่สุด “เจ้านี่โดนแขวนห้อยศีรษะลงที่ใต้ต้นไม้จึงเป็นเป้าให้พวกเรายิง…”
“ส่วนอีกกลุ่มที่ตกใจหนีไปน่าจะเป็นโจรจากที่อื่น ! พวกมันมีจำนวนเยอะเกินไป ในหมู่บ้านเหลืออยู่แค่ผู้หญิง เด็กและคนชรา ข้ากังวลว่าพวกมันจะย้อนกลับมาโจมตีจึงไม่ได้ไล่ตามออกไป…” ศิลปะการต่อสู้ของเจ้าพวกนั้นสำหรับหลีชิงแล้วเป็นเพียงพวกหางแถวเท่านั้น แต่สำหรับหลักการไม่ไล่ตามให้ตนเองจนตรอก เขายังพอเข้าใจอยู่
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “หลีชิง โชคดีที่คราวนี้มีเจ้าอยู่ ! คนเหล่านี้ขังไว้อีกคืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปส่งทางการ ! ”
“ใช่ ใช่ เอาพวกเราไปส่งทางการเถิด ! ” หัวขโมยเหล่านั้นน้ำตานองหน้า เด็กเหล่านี้ทำตัวร้ายกาจเกินไปแถมยังชอบแหย่ชอบทิ่ม…เนื้อตัวจะโดนทิ่มจนเน่าหมดแล้ว !
ใครจะคิดว่าเด็กตัวน้อยอายุ 6-7 ขวบกลุ่มหนึ่งโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ หญิงชราหมู่บ้านนี้ก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน พร่ำบ่นสั่งสอนจนพวกเขาแทบจะออกบวชได้อยู่แล้ว…อมิตาพุทธ พระพุทธเจ้าทรงโปรดพวกข้าเถิด ขอแค่หลุดออกจากคนกลุ่มนี้ได้ พวกข้ายอมติดคุก !
ตกเย็น ขณะยกชามข้าวเข้ามา หลีชิงก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “โจรกลุ่มนั้นไม่ได้ตกใจหนีไปเพราะข้าเลียนเสียงหอนของหมาป่าหรอก ในคืนนั้นมีหมาป่าเข้ามาที่หมู่บ้านจริง ๆ และยังเป็นฝูงที่มีจำนวนหลายสิบตัวด้วย โชคดีที่พวกมันแค่เดินวนรอบภูเขาหลังหมู่บ้าน หลังทำให้โจรตกใจหนีไปแล้ว พวกมันก็เดินจากไป พวกมันใช่ฝูงที่พาเจ้าไปเจอข้าใช่หรือไม่ ? ถือว่าได้ช่วยฉือหลี่โกวทางอ้อม ! ”
แม้จะเป็นโจรกระจอกทว่าก็มีจำนวน 40-50 คน อย่างไรสองมือก็สู้สี่มือได้ยาก แม้วรยุทธเขาจะสูงส่งเพียงใดก็ไม่มีทางไร้ช่องโหว่ ถ้าปล่อยให้พวกมันเข้ามาในหมู่บ้านจริงก็เลี่ยงได้ยากที่จะไม่ทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์…
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับ “หมาป่าของหุบเขานี้ฉลาด ไม่ทำร้ายมนุษย์ง่าย ๆ ตอนนั้นทั้งตัวของเจ้าเต็มไปด้วยเลือด สำหรับฝูงหมาป่าแล้วไม่ต่างจากขนมเลิศรสที่ยังมีชีวิต แต่พวกมันก็ยังอดทนไม่ขยับปากได้ ต่อไปถ้าเจ้าเห็นจ่าฝูงที่มีขนสีเทาดำและตรงหน้าอกมีขนสีขาว เจ้าอย่าทำร้ายพวกมันเชียวล่ะ”
“ถ้าเจอหมาป่าฝูงใหญ่ ข้าแทบจะหนีไม่ทันแล้ว จะไปจู่โจมพวกมันได้อย่างไร ? ฝูงหมาป่าฉลาดอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือ ? สามารถอดทนไม่ทำร้ายมนุษย์ได้จริง” หลีชิงคีบหมูทอดเข้าปากแล้วพุ้ยข้าวตามคำใหญ่
ช่วงสองวันนี้บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเป็นคนทำอาหาร น้ำมันขาด เกลือไม่ถึง กลืนยากสุด ๆ อย่างไรบุตรสาวคนรองก็ฝีมือดี…นางยังขาดพี่ชายหรือไม่ ? พี่ชายที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊แถมยังดูแลบ้านได้ด้วย
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าขึ้นเขาไปก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ? ในป่ายังมีหมีควายที่ขี้ขลาดอีกตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าปราบมันได้ก็็็HHจะสามารถบีบให้มันเอารังผึ้งมาประเคนได้ ! ”
“พี่รอง น้ำผึ้งของบ้านเรา…ท่านคงไม่ได้…ขโมยมาจากหมีควายตัวนั้นใช่หรือไม่ ? ” ตะเกียบของหลินจื่อเหยียนตกลงพื้น ดวงตาเบิกกว้างเหมือนระฆังทันที
หลินเว่ยเว่ยยักคิ้วให้เขาอย่างภาคภูมิ “หืม ? เจ้าคิดว่าน้ำผึ้งที่บ้านเรากินมาจากที่ใด ? ”
“พี่รอง…ข้าจะต่อว่าท่านอย่างไรดี ? เวลาคนอื่นเจอหมียังหนีกันแทบไม่ทัน ! แต่ท่านเก่งยิ่งนัก แม้แต่สัตว์ป่าก็ยังกล้าใช้กำลังข่มขู่ ใจกล้าไม่ธรรมดาเลย ! ” หลินจื่อเหยียนเก็บตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งพลางส่ายศีรษะ เผยท่าทางที่กำลังพยายามจะปรับมุมมองใหม่
นางหวงกล่าวด้วยแววตาวิตกกังวล “เวลาหมีควายบ้าคลั่งขึ้นมา แม้แต่เสือก็ยังตายได้ เจ้าอย่าอาศัยที่ตนแรงเยอะแล้วคิดว่าทำได้ทุกอย่าง ! ต่อไปนี้เจ้าขึ้นเขาให้น้อยหน่อย เข้าใจหรือไม่ ! ”
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ารับปากท่านว่าต่อไปจะไม่ยุ่งกับหมีควายตัวนั้นอีก ท่านพอใจหรือยัง ? แต่พรุ่งนี้ข้ายังคิดจะขึ้นเขาไปดูเสียหน่อยว่ามีเมล็ดต้นเจินกับพวกถั่วสมองหรือไม่ เพราะโรงงานแปรรูปของเรายังมีสินค้าน้อยเกินไป ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยพร้อมหัวเราะ
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็กล่าวขึ้นมาว่า “ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าขึ้นเขาเป็นเพื่อนเจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขา “ไอหยา ! บัณฑิตน้อย เจ้าเริ่มทำตัวติดคนอื่นตั้งแต่เมื่อใด ? ข้าขึ้นเขา เจ้าก็จะตามไปด้วย…”
“ตกลงตามนี้ ! ” เจียงโม่หานพูดแทรก การที่นางพูดคำเหล่านี้ก็ไม่ได้อยากให้เขาอายจนกลายเป็นโมโหแล้วยอมแพ้ไปหรือ ? เขามองอุบายของนางออกนานแล้ว จะทำให้นางสมปรารถนาได้อย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยเบะปาก บัณฑิตน้อยหลอกยากขึ้นทุกวัน !
วันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยยังไม่ทันตื่น เจียงโม่หานก็มาปรากฎตัวที่ลานบ้านตระกูลหลินแล้ว…หากมาช้าแล้วเด็กคนนี้จะทิ้งเขาและแอบขึ้นเขาคนเดียวแน่นอน
หลินจื่อเหยียนที่โดนเจียงโม่หานปลุกขึ้นมาอ่านตำราก็มองท้องฟ้าที่เพิ่งสว่างด้วยความงุนงงพร้อมสีหน้าสิ้นหวัง เจียงโม่หานจึงดุเขาทันที “สีหน้าอันใดของเจ้า ? เรื่องได้ยินไก่ขันลุกมารำดาบ1 เจ้าคงไม่เคยอ่านกระมัง ? ไก่บ้านเจ้าขันกี่รอบแล้ว ? ”
“ทั้งหมู่บ้านมีแค่บ้านเราที่เลี้ยงไก่แถมยังเป็นแม่ไก่ ใครจะรู้ว่ามันร้องเพราะเหตุใดกันแน่ ? ” หลินจื่อเหยียนบ่นไปพลางล้างหน้าไปด้วย เขาไม่อยากโดนศิษย์พี่เจียงดึงผมเปีย ลงโทษให้เขาต้องเขียนบทกวีหรือบทความอีก ! ด้านการเรียนนั้นศิษย์พี่เจียงเข้มงวดยิ่งกว่าอาจารย์ที่สำนักศึกษาเสียอีก !
หลินเว่ยเว่ยต้มโจ๊กหนึ่งหม้อ เกี๊ยวทอดไส้ต้นหอมผัดไข่และยังทำอาหารแห้งสองสามอย่างเพื่อเอาไว้เป็นอาหารกลางวันของตนกับบัณฑิตหนุ่ม
หลังมื้อเช้าจบลงนางก็สะพายกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลังแล้วหันกลับมามองบัณฑิตหนุ่ม “ไปกันเถิด ! ”
เจียงโม่หานเป็นคนรอบคอบมาโดยตลอด นางหวงจึงค่อนข้างวางใจในตัวเขาและพูดกำชับว่า “เจ้ารอง เจ้าฟังเสี่ยวหานเยอะ ๆ หน่อย อย่าอวดเก่งเด็ดขาด…”
“ท่านแม่เจ้าคะ มีครั้งใดที่ข้าไม่กลับมาอย่างปลอดภัยบ้าง ? ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยผลักเจียงโม่หาน จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที
นางหวงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมา “เด็กคนนี้เมื่อใดจะทำตัวสุขุมบ้าง ? ”
นางเฝิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าชอบนิสัยของเสี่ยวเว่ยจะตาย สดใสร่าเริงและแข็งแรง ! เห็นนางซุกซนเช่นนั้นแท้จริงมีแผนในใจอยู่แล้ว ! ท่านดูสิ เดิมทีไปรับอาหารบรรเทาทุกข์ แต่ยังหาลูกค้าให้โรงงานแปรรูปได้อีกหนึ่งราย ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้กังวลว่าเมล็ดสนจะขายไม่ออกหรือ ? ในสถานการณ์เช่นนี้ท่านควรกังวลว่าจะมีเมล็ดสนไม่พอขายต่างหาก ! ”
นางหวงเม้มปากแล้วยิ้ม “ข้ากลัวนิสัยไม่กลัวฟ้าดินของนางว่าจะนำพาอันตรายและความยุ่งยากมาสู่นางเอง…”
“ลูกหลานย่อมมีโชคลาภเป็นของตน พวกเขาก็โตกันหมดแล้ว ท่านน่ะ ! ควรปล่อยวางบ้าง ! ” นางเฝิงหยิบผลไม้ป่าออกมาจากห้องใต้ดินแล้วให้นางหวงช่วยล้างและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ…พอเริ่มทำงานแล้วจะไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านอีก !
1 ได้ยินไก่ขันลุกมารำดาบ หมายถึง ผู้ที่ขยันมากกว่าคนอื่น