หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 232 บัณฑิตน้อยสวมชุดสตรีต้องงามมาก
ตอนที่ 232 บัณฑิตน้อยสวมชุดสตรีต้องงามมาก
หลินเว่ยเว่ยสวมเสื้อผ้าแล้วรีบไล่ตามออกมา “เจ้าหนูน้อย รีบวางเจ้าดำลงเดี๋ยวนี้ ! ”
“เจ้าดำ ( เสี่ยวเอ้อร์เฮย )? เป็นชื่อของลูกหมาหรือ ? ชื่อนี้คงตั้งมาจากเจ้าหนูน้อย ( เสี่ยวเอ้อร์ฮว๋า ) ใช่หรือไม่ ? ” เจ้าหนูน้อยหยุดยืนอยู่กับที่พลางอุ้มลูกหมาป่าผู้น่าสงสารไปวางข้างหลินเว่ยเว่ย
“โฮ่ง ! ” ลูกหมาป่าตัวน้อยที่กลับมาหาหลินเว่ยเว่ยแล้วก็รู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นมาทันที มันจึงส่งเสียงร้องออกมาพร้อมค่อย ๆ ลืมตาคู่เล็ก
หลินเว่ยเว่ยนั่งลงแล้ววางเจ้าตัวน้อยลงบนตัก จากนั้นก็ลูบศีรษะน้อย ๆ ของมัน “ไอหยา ! ลืมตาแล้ว ลูกหมาป่าแข็งแรงตัวหนึ่งแค่ 5-6 วันก็ลืมตา แต่เจ้าผ่านไปครึ่งเดือนแล้วเพิ่งลืมตา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงโดนแม่ทอดทิ้ง โชคดีที่พ่อเจ้าสามารถพึ่งพาได้…ไม่ถูกสิ ! ทั้งตัวเจ้าไม่เห็นมีตรงไหนเหมือนหมาป่าเลย เหมือนหมาบ้านมากกว่า หรือว่า…หมาใจกล้าตัวใดบังอาจสวมเขาให้จ่าฝูงหมาป่า ? ”
เจ้าหนูน้อยมองหลินเว่ยเว่ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย หลังเกยคางไว้บนเข่านางแล้วก็โดนเจ้าดำเลียจมูก เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข “พี่รอง ท่านคงไม่ได้ดูผิดไปหรอก เจ้าดำเป็นเพียงหมาดำตัวหนึ่ง ! แล้วจะเป็นหมาป่าได้อย่างไร ? ตอนที่ข้ากับเสี่ยวร่างให้อาหารกระต่ายก็เห็นมีซากกวางตัวหนึ่งอยู่หลังบ้านด้วยล่ะ เป็นเจ้าเทาเอามาให้ ถูกหรือไม่ ? ”
“หืม ? เมื่อวานตอนที่เจ้าเทาเอาลูกมาส่งก็โยนกวางทิ้งไว้ด้วยหรือ ? คงไม่ได้เอามาเป็นค่าตอบแทนให้พวกเราเลี้ยงเจ้าดำหรอกกระมัง ? เจ้าเทาเกรงใจเกินไปแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยเกาคอเจ้าดำแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
เจ้าหนูน้อยวางมือลงไป บางทีอาจเพราะเขาเพิ่งล้างมือมา บนมือจึงยังมีกลิ่นน้ำจากน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ เจ้าตัวน้อยจึงเลียมือเขา เสี่ยวร่างก็คุกเข่าอยู่ข้างเจ้าหนูน้อย เขามองด้วยแววตาอิจฉา เจ้าหนูน้อยจึงดึงมือเขาไปไว้ตรงหน้าเจ้าดำซึ่งให้เกียรติเลียมือเขาเหมือนกัน เด็กทั้งสองคนจึงยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข !
เจ้าหนูน้อยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่รอง ตอนเจ้าดำยังไม่ได้มาอยู่บ้านเรา เจ้าเทาก็เอากวางมาให้พวกเราไม่ใช่หรือ ? เจ้าเทาคือหมาป่าเป็นมิตรที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอแล้ว ! ”
“เด็กอย่างเจ้าเคยเจอหมาป่ามากี่ตัว ? จงจำไว้ ไม่ใช่หมาป่าทุกตัวจะไม่โจมตีมนุษย์เหมือนเจ้าเทา ต่อไปหากพวกเจ้าเจอหมาป่าอยู่ในระยะไกลก็วิ่งให้เร็วเท่าที่ทำได้ ! ถ้าหนีไม่พ้นก็ปีนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตัว เข้าใจหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยใช้โอกาสนี้สอนเด็กทั้งสอง เวลาสัตว์ป่าเข้าใกล้มนุษย์แล้ว ท้ายที่สุดอาจทำร้ายมนุษย์ หากมนุษย์เผลอเข้าใกล้สัตว์ป่าเอง ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน !
วันรุ่งขึ้น ผู้ใหญ่บ้านพาคนหนุ่มสาวและวัยกลางคนในหมู่บ้านขึ้นเขาด้วยพลังเปี่ยมล้น เมื่อเดินไปตามสัญลักษณ์ที่หลินเว่ยเว่ยทำไว้ พวกเขาก็เจอต้นสนแดงหลายสิบต้น ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็เก็บลูกสนจนหมด ครึ่งวันต่อมาพวกเขายังไปอีกสองสามแห่งซึ่งสามารถเก็บลูกสนได้ทั้งหมด 2,000 ชั่ง เมล็ดต้นเจิน 5,000 ชั่งและยังมีถั่วสมองอีก 3,000 ชั่ง
ถั่วสมองถูกกะเทาะเปลือกชั้นนอกออก เมล็ดสนและเมล็ดต้นเจินถูกนำไปตากให้แห้งแล้วส่งไปยังโรงงานแปรรูป เมล็ดสนยังคงรับซื้อในราคา 15 อีแปะ เมล็ดต้นเจินและถั่วสมอง 12 อีแปะ เมื่อคำนวณงานในหนึ่งวันนี้แล้วแต่ละครอบครัวจะได้เงิน 4 ตำลึง ! มากกว่าเงินที่ได้ในปีก่อนเสียอีก !
หลินเว่ยเว่ยอธิบายลักษณะของเครื่องหนีบถั่วสมองและวิธีใช้ ส่วนหลินจื่อเหยียนเป็นคนวาดออกมาเพื่อจะนำไปให้ช่างในเขตเริ่นอันทำ แต่ใครจะรู้ว่านางอธิบายอยู่นานสองนาน หลินจื่อเหยียนก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่นางอธิบายเสียที สิ่งที่วาดออกมาก็ไม่เหมือนเลยสักนิด หลินเว่ยเว่ยจึงเริ่มหงุดหงิดจนอยากทุบคนขึ้นมา
เจียงโม่หานที่อ่านตำราอยู่ด้านข้างทนมองไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงส่งสัญญาณให้หลินจื่อเหยียนเดินออกมา จากนั้นใช้มือซ้ายจับพู่กัน ฝนหมึกและเริ่มวาดสิ่งที่หลินเว่ยเว่ยต้องการออกมา นอกจากนี้ยังเขียนรายละเอียดไว้ด้านข้างด้วย
หลินเว่ยเว่ยดวงตาเป็นประกาย ต่อจากนั้นก็เข้าไปประจบเจียงโม่หานโดยไม่ลังเล “ไอหยา ! บัณฑิตน้อย เจ้าเป็นวีรบุรุษของข้าจริง ๆ เจ้าได้สลักเข้าไปในใจข้าแล้ว ! เช่นนี้เรียกว่าใจตรงกันหรือไม่ ? ท่าทางการจับพู่กันด้วยมือซ้ายของเจ้าสง่างามมาก คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถมากมายเช่นนี้ เจ้าเหมือนขุมสมบัติที่ยิ่งขุดเท่าไรก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจ ! ”
“ต่อไปยังมีเรื่องให้เจ้าประหลาดใจอีก ! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน พรุ่งนี้ให้หลีชิงเอารูปวาดเข้าเมือง ส่วนเจ้าพักรักษาตัวอยู่บ้าน ! ” เจียงโม่หานรู้ทันความคิดของนาง…หากไม่รีบปราม นางก็คงไม่หายป่วย !
หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก “เข้าใจแล้ว ! บัณฑิตน้อย เจ้าบ่นเก่งกว่าท่านแม่อีก ! ”
นางหวงพูดขึ้นจากด้านข้าง “หานเอ๋อร์ทำเพื่อเจ้า ฟังเขาไว้ รักษาตัวให้หายเร็ว ๆ เจ้าไม่อยากไปทำเรื่องที่อยากทำเร็วขึ้นหรือ ? ดูตัวเองเถิด ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย ! ”
“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ ! ท่านแม่พูดสิ่งใดก็ถูกทั้งนั้น ขาดข้าไป ท่านก็ไม่ไหวหรอก ! ข้าเชื่อฟังท่านแม่ พรุ่งนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้นและจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่าน ! ” หลินเว่ยเว่ยพุ่งเข้าไปสวมกอดนางหวงแล้วเอาศีรษะถูไถในอ้อมกอดมารดา !
“ระวังหน่อย ประเดี๋ยวก็โดนแขนหรอก ! ” นางหวงฉีกยิ้มแสนอบอุ่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จิ้มศีรษะน้อย ๆ ของนาง “เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวขี้อ้อนอยู่ได้ ! ”
นางเฝิงมองอยู่ด้านข้างด้วยความอิจฉา “แม้จะโตเพียงใดก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่ ลูกสาวดีกว่าจริง ๆ นุ่มนิ่มน่ารักแถมยังทำตัวขี้อ้อน ไม่เหมือนของข้าที่วันทั้งวันเอาแต่ทำหน้าไร้อารมณ์ราวกับมีคนไปติดเงินเขาหลายพันตำลึง”
เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก
นี่เรียกว่าหลบแล้วก็ยังโดนลูกหลงใช่หรือไม่ ?
ทว่าสิ่งที่เกินกว่านั้นคือเด็กน้อยหลินเว่ยเว่ยยังฉีกยิ้มร้ายกาจใส่เขา “น้าเฝิง ท่านอยากมีลูกสาวหรือ ? ง่ายนิดเดียว ! ถ้าบัณฑิตน้อยสวมชุดสตรี เกล้ามวยผมเหมือนสตรีแล้วแต่งหน้าอีกหน่อยก็ต้องงามเหมือนเขาอู่ไถ1แน่นอน ! ”
เจียงโม่หานถลึงตาใส่นางทันที…คิดบ้าอันใดออกมา ? เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง แต่งกายด้วยชุดสตรี จะเหมือนอะไรกันเล่า ? เมื่อเห็นท่าทางหวั่นไหวน่าดูของนางเฝิงแล้ว เขาก็ทุบโต๊ะ “แม้แต่คิดก็ห้ามขอรับ ! ”
หลังทิ้งประโยคนี้ไว้แล้ว เขาก็รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ขณะมองแผ่นหลังที่รีบเร่งออกไปของบัณฑิตหนุ่ม มารดาและว่าที่ภรรยาผู้ไร้คุณธรรมอย่างนางเฝิงและหลินเว่ยเว่ยก็หันมามองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม นางหวงทนมองไม่ไหวอีกต่อไป “พวกเจ้าพอได้แล้ว ! ดูสิ เขาโมโหแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าตนน่าจะเป็นลูกสาวของน้าเฝิง ส่วนบัณฑิตน้อยเป็นลูกของท่าน ท่านแม่ไม่พูดเพื่อข้าแต่ช่วยพูดให้บัณฑิตน้อยทุกครั้ง ! เมื่อก่อนพวกท่านคงไม่ได้เผลออุ้มลูกมาผิดคนหรอกนะเจ้าคะ ! ”
นางเฝิงถอนหายใจ “ข้าก็อยากอุ้มผิดอยู่หรอก ! แต่น่าเสียดายที่ตอนเจ้าสองคนเกิดมาทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความโกลาหล ตอนนั้นข้ายังไม่ทันได้รู้จักแม่ของเจ้าเลย ! แต่เจ้าไม่ใช่ลูกสาวข้าก็ไม่เป็นไร แม้จะเป็นลูกสะใภ้ของข้าแต่เราก็ยังเป็นคนบ้านเดียวกันไม่ใช่หรือ ข้าจะรักและปฏิบัติต่อเจ้าราวกับลูกสาวแท้ ๆ ! ”
หากเปลี่ยนเป็นเด็กสาวคนอื่น พอได้ยินคำหยอกเย้านี้แล้วจะต้องหน้าแดงพลางวิ่งไปหลบแน่นอน แต่หลินเว่ยเว่ยกลับเข้าไปพิงตัวนางเฝิงแล้วพูดอย่างหน้าไม่อาย “ถ้าเช่นนั้นข้าก็มีแม่ที่รักเพิ่มอีกคนแล้วสิ ชาติก่อนข้าจะต้องช่วยกอบกู้โลกไว้แน่ ถึงได้โชคดีและมีความสุขมากเพียงนี้ ! ”
1 เขาอู่ไถ คือ แหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในมณฑลส่านซี เป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของจีน