หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 248 ว่าที่สามี นางตวาดข้า
ตอนที่ 248 ว่าที่สามี นางตวาดข้า
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินทำแก้มป่องอย่างโกรธเคืองคล้ายหาวจูหยีที่พองตัว จากนั้นก็ตวาดใส่น้องสาวโดยไม่ระวังกิริยา “เจ้าเด็กโง่ จะหาเรื่องกันใช่หรือไม่ ? คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ ? ”
“ว่าที่สามี นางตวาดข้า ! ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนมาชอบสตรีที่แผดเสียงสูงเช่นนี้ คงจะตาบอดจริง ๆ ใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองท่าทางของเจียงโม่หานและจู่ ๆ นางก็ตื่นเต้นขึ้นมา “ฮ่าฮ่า ! ชายตาเหล่ผู้นั้นจริงหรือ ?…ที่แท้เขาก็ไม่ได้ตาเหล่ แต่เพราะแอบชะเง้อมองสตรีที่ชอบแผดเสียงเกรี้ยวกราดของเรานี่เอง ! ”
“เจ้าว่าใครเป็นสตรีแผดเสียงเกรี้ยวกราด ? ” พี่สาวคนโตโกรธจนเกือบจะเอาจานที่อยู่ในมือโยนใส่หน้าของน้องรอง
แต่หลินเว่ยเว่ยมองข้ามนาง จากนั้นก็ซักถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “บัณฑิตน้อย รีบพูดมาสิ สหายของเจ้าชอบพี่สาวข้าใช่หรือไม่ ? เขาอายุเท่าไหร่ ? แล้วที่บ้านทำงานอะไร ? ปกติเขาเป็นคนอย่างไร ? รีบบอกมาสิ บอกมา ! ”
เจียงโม่หานดึงว่าที่ภรรยาของตนออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรสาวคนโตระบายความโกรธจนโยนจานใส่หน้าแล้วทำให้นางต้องอับอาย เรื่องนี้ต้องปรึกษากับป้าหวงเสียก่อน !
นางหวงเก็บสินสอดของหมั้นเรียบร้อย เมื่อเห็นบุตรสาวคนรองและว่าที่ลูกเขยเดินเข้ามาเคียงคู่กันคล้ายกิ่งทองใบหยก ใบหน้าจึงแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “เว่ยเว่ย เจ้ายั่วโทสะพี่สาวอีกแล้วหรือ ? ”
“ไม่ใช่เสียหน่อยเจ้าค่ะ ! ท่านแม่ บัณฑิตน้อยมีเรื่องจะคุยกับท่าน…” นางใช้ศอกกระทุ้งเจียงโม่หาน “พูดไปสิว่าสหายของเจ้าเป็นอย่างไร ? ”
นางหวงและนางเฝิงมองหน้ากันพลางเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือ ? ”
เจียงโม่หานเล่าเรื่องที่เผิงหยูเหยี่ยนชอบบุตรสาวคนโตให้ฟังและอยากเชิญพ่อสื่อแม่สื่อมาคุยเรื่องแต่งงาน จากนั้นก็แนะนำเผิงหยูเหยี่ยนผู้นี้ให้ทุกคนได้รู้จักแล้วก็ประเมินครอบครัวของฝ่ายชายและคุณสมบัติของว่าที่เจ้าบ่าวอย่างเป็นกลาง
“ศิษย์พี่เผิงเป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูล เขาเรียนไม่ค่อยเก่งหรอก แต่พี่ชายในตระกูลล้วนแต่งงานเป็นอิสระแล้ว หลังจากทั้งหมดแต่งงานแล้วเขาจึงอาศัยอยู่ในบ้านเพียงผู้เดียว ทรัพย์สมบัติในตระกูลได้มีการเจรจาแบ่งสรรปันส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากในอนาคตต้องแยกครอบครัวกัน อย่างน้อยก็ยังสามารถเลี้ยงดูทั้งตระกูลด้วยเงินทองจากร้านค้าและผลผลิตจากผืนนาได้” เจียงโม่หานเล่าในสิ่งที่เผิงหยูเหยี่ยนเคยบอกให้นางหวงฟังอย่างละเอียด
“ท่านแม่เจ้าคะ เขาก็คือชายหนุ่มที่สวมชุดบัณฑิตสีเทาซึ่งยืนเหม่อลอยผู้นั้นเจ้าค่ะ…หน้าตาก็ธรรมดาแต่สะอาดสะอ้าน ดูสง่างามดี” หลินเว่ยเว่ยเห็นว่านางหวงเหมือนคิดไม่ออกว่าคือผู้ใดจึงอธิบายรูปร่างให้ฟัง
เจียงโม่หานชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง ‘เจ้าสังเกตละเอียดเช่นนี้เชียวหรือ’
นางหวงนึกขึ้นได้ เป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยและมีมารยาทผู้หนึ่ง ในเมื่อว่าที่ลูกเขยเป็นผู้เอ่ยปากเรื่องนี้เอง ย่อมหมายความว่าเขาประเมินคุณชายท่านนั้นไว้อย่างดีแล้ว คิดว่าพอคุยกันได้อยู่ แต่…ครอบครัวนี้ดีเหลือเกิน การแต่งงานกับคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สถานะของอีกฝ่ายดีเกินไปจึงกลัวว่าทางครอบครัวจะไม่ชอบพวกนาง…
หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นบางอย่าง หน้าต่างมีการเปิดแง้มอยู่เล็กน้อยซึ่งไม่รู้ว่าเปิดแง้มตั้งแต่เมื่อใดและมีเงาคนวูบไหวไปมาอยู่นอกหน้าต่าง…ที่แท้ก็เป็นพี่สาวคนโต ถ้าอยากฟังก็สามารถเข้ามาฟังอย่างเปิดเผยได้ อย่าทำตัวลับล่อแบบนี้สิ !
หลินเว่ยเว่ยรีบเดินออกไปแล้วดึงเจ้าตัวเข้ามา บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเขินอายจนหน้าแดงก่ำ นางออกแรงดิ้นอย่างสุดกำลัง แต่พละกำลังนั้นแตกต่างกันเกินไป นางเหมือนลูกไก่และสุดท้ายก็ถูกหิ้วเข้ามา นางหลุบตาต่ำ อายจนอยากจะร้องไห้เสียให้รู้แล้วรู้รอด !
“เจ้ารอง เจ้าจะทำอันใด ? ” นางหวงขมวดคิ้วมองบุตรสาวคนรองด้วยความฉงน
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็กำลังคุยเรื่องการสู่ขอนางอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? เช่นนั้นก็ถามความเห็นของนางเสียเลย ถึงอย่างไรเราก็ไม่ควรจับนางคลุมถุงชน ! ”
นางหวงถลึงตาใส่ จากนั้นก็ดึงตัวของบุตรสาวคนโตที่อยากแทรกตัวหนีออกมาจากการควบคุมของหลินเว่ยเว่ยแล้วลากมานั่งข้างกาย “ลูกแม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ”
บุตรสาวคนโตก้มหน้าลงอีกครั้งพร้อมดึงชายเสื้อของตน ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร สหายของบัณฑิตเจียงเหล่านั้น นางกลัวว่าจะทำให้น้องสาวต้องอับอายขายขี้หน้าไปด้วย ทำให้ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางไม่กล้ามองหน้าพวกเขาแม้แต่น้อย เดิมทีไม่ได้สังเกตว่าใครใส่เสื้อผ้าอย่างไรและไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร จะให้นางกล่าวอันใดได้ ?
อีกอย่างเขาก็ยังเป็นบัณฑิต นางแค่รู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัวจากน้องสาม ตระกูลของเขาจะไม่ดูถูกนางเอาหรือ ? ครอบครัวของพวกเขามีที่ดินหลายร้อยหมู่และมีร้านค้าอีกหลายสิบแห่ง จะมาชอบหญิงสาวในหมู่บ้านหลังเขาแห่งนี้หรือ ?
แต่ในใจของบุตรสาวคนโตก็ยังเต็มไปด้วยความคาดหวังมากมาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ต่อไปคงได้พบเจอยากขึ้น หากพลาดโอกาสนี้ไปก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก !
“เจ้าพูดมาสิ ! อยากแต่งหรือไม่อยาก ปกติแสบนักไม่ใช่หรือ พอเจอเรื่องจริงจังแล้ว เหตุใดจึงกลัวจนหัวหดเช่นนี้เล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยร้อนใจแทนพี่สาว
บุตรสาวคนโตเงยหน้ามองนางและเห็นว่าแม้แต่นางหวงกับนางเฝิงก็มองมาทางตนทั้งสิ้น นางจึงรีบก้มหน้าลงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้คล้ายเสียงยุงบินว่า “แล้วแต่ท่านแม่เจ้าค่ะ ! ”
นางหวงเห็นความกังวลของบุตรสาวจึงทอดถอนใจและเอ่ยว่า “ชายหนุ่มผู้นี้ อย่างอื่นดีพร้อม ! มีแต่…ฐานะที่ไม่เหมาะสมกัน แม่กลัวว่าครอบครัวของอีกฝ่ายจะดูถูกครอบครัวเรา หากเจ้าแต่งงานออกไปจะได้รับความลำบาก ! ”
บุตรสาวคนโตตัวสั่นเทาเล็กน้อยและก้มหน้าลงมากขึ้น
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดฐานะถึงไม่เหมาะสมกันเจ้าคะ ? ตระกูลของพวกเขามีร้านค้าหลายสิบร้าน เราเองก็มีโกดังเก็บสินค้าสิบกว่าห้องในท่าเรือไม่ใช่หรือ ? ผลผลิตจากผืนนาจำนวนหลายร้อยหมู่ของพวกเขาจะสร้างเงินได้มากกว่าโรงงานแปรรูปและร้านค้าของเราถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? เขาเป็นบัณฑิต เราก็มีบัณฑิตน้อยถึง 2 คนไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? แถมพี่ใหญ่ก็ยังมีฝีมือทอผ้าอีกด้วย ! หากจะพูดว่าใฝ่สูง ตระกูลพวกเขาต่างหากที่ใฝ่สูงอยากถีบตนเองมาเทียบกับพวกเรา ! ”
นางหวงครุ่นคิดอย่างหนัก…จริงสิ ! ตระกูลหลินไม่ใช่ครอบครัวที่ยากจนเหมือนครึ่งปีก่อน พวกนางไม่เพียงแต่มีทรัพย์สินของตนอยู่ในเขตเริ่นอันเท่านั้น ในครอบครัวก็ยังมีธุรกิจค้าขายที่สร้างเงินได้มหาศาลอีกด้วย ในมือของนางยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นางยังมีเงินในครอบครองอีกหลายพันตำลึง !
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เอวและหลังของนางก็ยืดตรงขึ้น รอยยิ้มได้แย้มออกมาจากมุมปากอีกครา “ลูกแม่ เรื่องการออกเรือนครั้งนี้เจ้าคิดอย่างไร ? ”
แผ่นหลังที่ค่อมของบุตรสาวคนโตค่อย ๆ ยืดตรง จากนั้นก็กล่าวอย่างเอียงอายว่า “แล้วแต่ท่านแม่เจ้าค่ะ ! ” นี่หมายความว่าเต็มใจแล้วใช่หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยทอดถอนใจและเอ่ยถามเจียงโม่หาน “เจ้าว่าหน้าตาพี่ใหญ่ก็ดูไม่ได้โดดเด่นมากนัก แถมวันนี้ก็ไม่ได้สร้างเรื่องอับอายอันใด เหตุใดสหายของเจ้าถึงได้ชอบนาง ? ”
พี่สาวคนโตได้ยินดังนั้นก็อดเขินอายไม่ได้ จากนั้นก็ถลึงตาใส่น้องสาวอย่างแรง “บัณฑิตเจียงชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจะมีคนมาชอบบ้างไม่ได้ ? ”
“อย่างบัณฑิตน้อยเรียกว่ามีสายตาแหลมคม แต่สหายของเขาเรียกว่าตาบอด ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างชั่วร้าย
บุตรสาวคนโตโกรธจนพูดไม่ออก “ท่านแม่ ท่านดูนางสิเจ้าคะ ! ”
นางหวงมองไปทางสองพี่น้องที่กำลังทะเลาะกันอยู่ “เอาเถิด ! เว่ยเว่ย เจ้าพูดให้น้อยหน่อย ! ”
หลินเว่ยเว่ยแลบลิ้นใส่พี่สาวและทำหน้าตาล้อเลียนอีกฝ่าย
เจียงโม่หานมองนางด้วยรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่ “สหายของข้าผู้นี้ไม่มีงานอดิเรกอื่นหรอก มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่อาจต้านทานได้คือความหลงใหลในอาหารรสเลิศ ! ”
“ที่แท้เขาชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเจ้า ! ไม่น่าล่ะ ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าถ้าอยากจะมัดใจชายก็จะต้องมัดด้วยเสน่ห์ปลายจวัก ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มมุมปากให้พี่สาว “พี่ใหญ่ เจ้าต้องขอบคุณข้า ! ”
แน่นอนว่าฝีมือการทำอาหารของบุตรสาวคนโตได้มาจากการโดนขัดเกลาและฝึกฝนของหลินเว่ยเว่ยผู้นี้