หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 249 บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
ตอนที่ 249 บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
แขนของหลินเว่ยเว่ยเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นานก็ยังสามารถสอนพี่สาวทำอาหารได้ แน่นอนว่าคงจะถือโอกาสนี้จู้จี้จุกจิกและเอาคืนอีกฝ่ายไปไม่น้อย
หากไม่มีการตำหนิติเตียนของตน พี่สาวก็คงไม่มีฝีมือทำอาหารที่ดีเช่นในตอนนี้ พี่สาวคนโตกลอกตาไปมาพลางกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ขอบใจ ! ”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ! แม้ว่าในอดีตเจ้าจะทอดทิ้งน้องสาวที่แสนโง่เขลาผู้นี้ คิดสาปแช่งให้ข้าถูกหมาป่าคาบไปกินจนใจจะขาด ! กระนั้นเราก็เป็นพี่น้องที่ลืมตาดูโลกจากท้องมารดาคนเดียวกัน ข้าคงจะทนเห็นเจ้าเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้ใช่หรือไม่ ? โชคดีที่ข้าไม่ใช่คนโง่เขลาอีกและยังมีพรสวรรค์ในการทำอาหารเป็นเลิศ ! ”
เมื่อได้ยินสองประโยคก่อนหน้านี้ พี่สาวก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ไม่นานใบหน้าก็หม่นหมอง “เจ้าจะตายถ้าไม่ได้ทำให้ข้าโกรธใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ ! ข้าจะตาย” หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง สำหรับพี่สาวคนโตแล้ว นางจะช่วยในเวลาที่สมควรช่วยและจะต่อสู้จนตายเมื่อสมควรทำ !
นักกินอย่างเผิงหยูเหยี่ยนผู้นี้เหมือนโดนตะปูตอกไว้บนที่นั่ง ในขณะที่มือก็ยังถือห่อเนื้อแผ่นและสุดท้ายเนื้อแผ่นเหล่านั้นก็ไม่มีเหลือสำหรับครอบครัว เขาเปิดปากโถกระเบื้องเคลือบออกและหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะโยนเข้าปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
เมิ่งจิ่งหงมองอีกฝ่ายอย่างหมดคำพูด กระทั่งได้กลิ่นนมอันหอมหวานลอยอบอวลอยู่ในอากาศ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าท้องอย่างลำบากใจพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่เผิง ท่านกินมื้อเที่ยงไม่อิ่มหรือ ? ”
“จะอิ่มได้อย่างไรเล่า ? ข้ายังไม่เคยกินอาหารที่ใดได้อิ่มหนำสำราญเช่นนี้มาก่อน ! ” เผิงหยูเหยี่ยนเป็นคนสายตาสั้น เขาหรี่ตามองจนกลายเป็นเส้นตรง ฝีมือการทำอาหารของพี่สาวตระกูลหลินยอดเยี่ยมนัก ! หากกินไม่อิ่ม ไม่เป็นการขาดทุนหรอกหรือ ? ไม่ได้ ต้องกลับไปบอกท่านแม่ให้รีบมาสู่ขอเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนผู้อื่นตัดหน้าเสียก่อน !
หลิ่วจงเทียนก็ชื่นชมกับปริมาณอาหารที่อีกฝ่ายกินเข้าไป “ท่านหิวอีกแล้วหรือ ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “นี่คือขนม กินขนมไม่เกี่ยวกับหิวไม่หิวหรอก ! ” เขากินไปเพียงสองชิ้น จากนั้นก็ปิดฝาด้วยความเสียดาย แท้จริงแล้วท้องของเขาไม่มีที่ว่างเพียงพอสำหรับบรรจุอาหารอีก
เฝิงชิวฟานเอ่ยถาม “พวกเจ้าจะกลับไปจัดงานเลี้ยงช่วงค่ำในเขตเริ่นอันหรือต่างคนต่างจัด ? ”
ครอบครัวของเมิ่งจิ่งหงอยู่ในชานเมือง เป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงในชนบทและเป็นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งร่ำรวย วันนี้เขาไม่พอใจกับการกระทำและถ้อยคำของเฝิงชิวฟานอย่างมาก เจ้าไปเพื่อแสดงความยินดีแล้วจะเอ่ยเรื่องยืมเงินยืมทองได้อย่างไร ? ทั้งยังเมินเฉยต่อตระกูลหลินที่เป็นชาวนาอีกด้วย…ในอดีตเขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายมีความกล้าหาญ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงการแสดงละครเท่านั้น กลายเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเลือกในเส้นทางที่ต่างกันย่อมอยู่ด้วยกันไม่ได้ เขาจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการที่บ้าน ต้องขอตัวก่อน มะรืนค่อยมาฉลองกันอีกครั้ง ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนก็รีบกล่าวขึ้นทันที “ข้าก็ต้องขอตัวกลับเช่นกัน ! ”
ตระกูลของหลิ่วจงเทียนอยู่ในเขตเริ่นอัน เขาจึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ค่อยมาฉลองวันมะรืน ! ”
เมื่อมาถึงสี่แยกหนึ่ง ทั้งสี่ต่างนั่งรถม้าของตนแล้วแยกกันไปตามทางของแต่ละคน
แม้ว่าเผิงหยูเหยี่ยนจะอาศัยอยู่ในเขตใกล้เคียง แต่เขตอันผิงที่เขาอาศัยอยู่นั้นห่างจากเขตเริ่นอันเพียงแค่ 10 ลี้ รถม้าใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึงจุดหมายแล้ว
ทันทีที่เข้าไปในเขตอันผิงก็เห็นลานกว้างสามทางเข้าซึ่งสร้างติดกันทั้งสองหลังของตระกูลเผิง ตระกูลนี้มีสองพี่น้อง หลังจากที่นางเผิงให้กำเนิดบุตรชายคนโตแล้วสุขภาพก็ไม่สู้ดีจนคิดว่าจะมีบุตรไม่ได้อีกตลอดชีวิต แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในปีที่พี่ใหญ่อายุได้ 18 ปี นางเผิงจะตั้งครรภ์เผิงหยูเหยี่ยน ซึ่งพี่ใหญ่ก็มีบุตรของตนเองแล้ว !
นางเผิงอายุมากแล้ว หลังจากที่คลอดเผิงหยูเหยี่ยนออกมาก็ต้องตื่นตกใจกันยกใหญ่เพราะน้ำนมของนางไม่ไหล บุตรชายคนเล็กหิวจนร้องไห้ยกใหญ่ ภายใต้ความจนปัญญาจึงต้องวิ่งมาหาพี่สะใภ้ใหญ่ของเผิงหยูเหยี่ยน หลานชายคนโตของเผิงหยูเหยี่ยนยังไม่หย่านม เขาจึงได้กินนมของพี่สะใภ้ใหญ่จนเติบโต เมื่อครั้งเยาว์วัยหลานชายคนโตไม่รู้ความจึงเรียกเขาว่า ‘น้องชาย’ ! ต่อมาก็โดนบิดาเคาะศีรษะไปหลายครั้งจึงเปลี่ยนมาเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ อย่างเชื่อฟัง
หลานชายคนโตของเผิงหยูเหยี่ยนเห็นท่านอาอุ้มโถกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งด้วยมือข้างเดียวจึงรีบเดินเข้าไปอย่างรีบร้อนพร้อมซักถามว่า “ท่านอาขอรับ ท่านไปร่วมงานแต่งของสหายมาใช่หรือไม่ ? เหตุใดจึงกลับบ้านเร็วเช่นนี้ขอรับ ? ”
หลานชายยื่นมือออกไปเพราะอยากช่วยถือของในมือท่านอา ทว่าเผิงหยูเหยี่ยนหลบเลี่ยง จากนั้นก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “งานแต่งจบแล้วก็ต้องกลับมาสิ พ่อกับแม่ของข้าอยู่ที่ใด ? ”
“ท่านปู่ท่านย่าน่าจะออกไปตกปลาในสวนดอกไม้ด้านหลัง…ท่านอามีเรื่องอันใดหรือขอรับ ? ” ปกติแล้วทันทีที่ท่านอากลับบ้านก็จะแทรกตัวเข้าไปในห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราไม่หยุดยั้ง ไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นถูกอ่านไปแล้วกี่รอบ มันมีสิ่งใดน่าสนใจนักหนา ! แล้วเหตุใดวันนี้ผิดแปลกไปจากเดิมคือถามหาท่านปู่และท่านย่าเสียได้ ?
เมื่อเผิงเจียเหลียงเห็นท่านอาตัวน้อยรีบวิ่งไปสวนดอกไม้ด้านหลัง เขาจึงรีบวิ่งตามไปทันที
“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ! ” เผิงหยูเหยี่ยนตะโกนเรียกหญิงชราที่กำลังตกปลาอยู่ริมสระน้ำจากระยะไกล “ข้าชอบกู่เหนียงผู้หนึ่งแล้ว ท่านแม่ต้องรีบไปสู่ขอให้ข้าประเดี๋ยวนี้ขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเผิงเจียเหลียงก็ลื่นไถลจนหน้าเกือบคว่ำลงดิน ‘ว่าอย่างไรนะ ? เหตุใดท่านอาถึงได้เปิดใจกะทันหันเช่นนี้ จะสู่ขอภรรยาแล้วหรือ ? ไม่หรอกกระมัง ? งั้นต่อไปข้าก็ไม่มีข้ออ้างปฏิเสธเรื่องแต่งงานกับท่านพ่อแล้วล่ะสิ ? ’
เผิงเจียเหลียงยกมือขึ้นค้างกลางอากาศ ไม่สิ ท่านอา ท่านหักหลังสัญญาว่าเราจะไม่แต่งงานได้อย่างไร ? แอบไปดูตัวสตรีเสียเองหรือ ? แต่เรื่องที่ทำให้เขายิ่งประหลาดใจก็คือสตรีแบบใดที่สามารถทำให้หัวใจของท่านอาเต้นแรงได้ ?
นายท่านเผิงตื่นตกใจกับเสียงของบุตรชายคนเล็กจนคันเบ็ดตกปลาหลุดจากมือไปในสระน้ำ ภรรยาของเขาก็ทิ้งสามีแล้ววิ่งตรงไปหาบุตรชายด้วยความกระตือรือร้น
นางเผิงมักชอบเอ่ยประโยคหนึ่งเสมอว่า “ลูกรัก แม่จะมีชีวิตได้เห็นเจ้าสู่ขอภรรยาใช่หรือไม่ ? ” ชาติที่แล้วนางไม่ได้เห็นบุตรชายสู่ขอภรรยาจึงร้องห่มร้องไห้ต่อการหายตัวไปของบุตรชายจนมีปัญหาด้านสายตาและตรอมใจอยู่ไม่นานก็…
“ลูกรัก เจ้าพูดว่าอย่างไร ? แม่ไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ ? ” นางเผิงจับแขนของบุตรชายคนเล็ก นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างมีความสุข
โถกระเบื้องเคลือบในมือของเผิงหยูเหยี่ยนเกือบจะหลุดร่วง เขาจึงรีบตอบว่า “ท่านแม่ ! ท่านแม่ขอรับ ! โถกระเบื้องเคลือบกำลังจะตก…”
นางเผิงตีไปบนแขนของเขาด้วยความร้อนใจ “ใช่เวลาที่จะมาสนใจของอีกหรือ ? รีบพูดมาสิว่าคนที่เจ้าชอบเป็นกู่เหนียงจากตระกูลใด ? อายุเท่าไหร่ ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนเดินเข้ามาในศาลาที่ใช้นั่งตกปลาของนายท่านเผิงแล้ววางโถกระเบื้องเคลือบในมือลงอย่างทะนุถนอมพลางทอดถอนใจและกล่าวว่า “วันนี้ข้าได้ไปร่วมงานหมั้นของสหายเจียงน้องรักไม่ใช่หรือขอรับ ? ”
“ใช่ ! สหายแซ่เจียงผู้นั้น เจ้าเคยบอกว่าเขาเรียนเก่งและยังช่วยชี้แนะเจ้าตั้งมากมาย ! พ่อจำได้ว่าเขาเพิ่งอายุ 15 ปีเท่านั้น…เจ้าดูสิ เขาอายุ 15 ปีก็หมั้นหมายแล้ว หันมาดูเจ้าที่อายุเกือบ 20 ปีแล้วยังไม่มีภรรยา เส้นผมของพ่อและแม่เจ้าขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะแล้ว ! ” นายท่านเผิงจ้องบุตรชายตาเขม็ง
นางเผิงเบียดเข้ามาด้านข้าง “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ! รีบพูดมา รีบพูดมาสิ ! เจ้าชอบเด็กสาวตระกูลใด ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนหัวเราะเบา ๆ พลางเกาศีรษะของตนเล็กน้อย “ข้าชอบว่าที่ภรรยาสหายเจียง…”
“ว่าอย่างไรนะ ? เจ้าชอบว่าที่ภรรยาของเขาหรือ ? ลูกรัก ภรรยาของสหายไม่อาจแตะต้องได้ สุภาพบุรุษไม่ควรแย่งคนรักของผู้อื่น เหตุผลนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ ? เรียนหนังสือก็ตั้งมากมาย ความรู้ตกสู่ท้องสุนัขหรือคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว ? ” นายท่านเผิงมีนิสัยใจร้อน ได้ยินแค่ครึ่งเดียวก็ตีโพยตีพายไปก่อน เขาโกรธจนต้องมองหาเก้าอี้ในศาลาเพื่อจะสั่งสอนเจ้าลูกอกตัญญูผู้นี้ให้จงได้ !