หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 251 บุตรชายอัปลักษณ์ช่างมีสายตาแหลมคม
ตอนที่ 251 บุตรชายอัปลักษณ์ช่างมีสายตาแหลมคม
“นี่คงเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลหลินใช่หรือไม่ ? ท่านแม่ของเจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า ? ” นางเผิงและนายท่านเผิงมองตากันด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตานายท่านเผิงผู้นี้อย่างฉับพลัน เพราะเผิงหยูเหยี่ยนมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดามาก เหมือนนายท่านเผิงตอนหนุ่มไม่มีผิด นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่คู่สามีภรรยาตระกูลเผิงรักบุตรชายคนเล็กมากนั่นเอง
หลินเว่ยเว่ยยิ้ม ตระกูลเผิงช่างใจร้อนเสียจริง เพิ่งเอ่ยเมื่อวาน วันนี้ก็มาถึงหน้าประตูตั้งแต่เช้า นางเอ่ยทักทายคู่สามีภรรยาตระกูลเผิงอย่างมีมารยาท “ลุงเผิงและป้าเผิงใช่หรือไม่ ? ข้าคือบุตรสาวคนรองของตระกูลหลิน ท่านแม่อยู่บ้านหลังข้าง ๆ เจ้าค่ะ เชิญเข้ามาด้านในก่อนเถิด ! ”
หลินเว่ยเว่ยตะโกนไปยังเรือนที่มีเสียงเครื่องทอผ้าดังอยู่ “พี่ใหญ่ มีแขกมาเยือน รีบยกชามาต้อนรับแขกหน่อยเร็ว”
นางเชิญทั้งสองเข้ามารอในบ้านด้วยความเคารพ เสียงเครื่องทอผ้าหยุดชะงักลง บุตรสาวคนโตจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ลูบผมที่ยุ่งเหยิงพลางบ่นพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มีแขกมา เจ้ามีมือมีเท้า เหตุใดไม่ยกชามาให้แขก ต้องเรียกใช้คนอื่นให้เสียเวลา ! ”
นางเผิงชะเง้อมองอย่างคาดหวัง ไม่นานก็มีกู่เหนียงตัวน้อยแต่งกายด้วยชุดกระโปรงธรรมดา ใบหน้างดงามสะอาดสะอ้านผู้หนึ่งยกถาดน้ำชาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
กู่เหนียงผู้นี้เตี้ยกว่านางสาวเล็กน้อย องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้ามองผิวเผินไม่ได้งดงามโดดเด่นสักเท่าไรนัก ทว่ามีความติดตาตรึงใจ บุตรสาวคนโตเห็นว่าแขกที่มาเยือนคือผู้อาวุโสสองท่านจึงรีบเก็บอากัปกิริยาไม่พอใจน้องสาวไว้ จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “นี่คือเนื้อแผ่นที่บ้านเราทำเอง เชิญทั้งสองท่านตามสบายเจ้าค่ะ ! ”
“ดี ดี ดี ! ” สายตาของนางเผิงไม่ได้มองอื่นไกล นางจ้องเขม็งไปยังบุตรสาวคนโตพลางคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขจนแทบล้นอก !
หลินเว่ยเว่ยกำชับนางอีกครั้งว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปเรียกท่านแม่มาเถิด”
บุตรสาวคนโตเอียงคอเล็กน้อยพร้อมถลึงตาใส่น้องสาว จากนั้นก็เอ่ยโดยไร้เสียงว่า “เหตุใดเจ้าไม่ไปเอง ? ”
“ท่านลุงและท่านป้าของตระกูลเผิงไม่ได้มาคุยเรื่องของข้าเสียหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยถือนมแพะย่างที่เพิ่งย่างเสร็จถาดหนึ่งพร้อมกระซิบข้างหูของพี่สาว
บุตรสาวคนโตตกตะลึง แซ่เผิง ? สหายของบัณฑิตเจียงเมื่อวานผู้นั้นดูเหมือนจะมีแซ่เผิง ใบหน้าของนางจึงเริ่มแดงระเรื่อทันที คงไม่หรอก เมื่อวานบัณฑิตผู้นั้นเพิ่งจะกลับไปเอง วันนี้ครอบครัวเขาจะมาสู่ขอถึงที่เชียวหรือ ? เร็วเกินไปกระมัง…นี่คงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาพึงพอใจนางหรอกหรือ ?
นางหน้าแดงระเรื่อ พยายามแสดงให้เห็นด้านที่ใจกว้างออกมาและกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปตามท่านแม่…”
นางเผิงยิ้มพลางพยักหน้า “ดี ดี ! ไปเถิด ไปเถิด ! ”
สายตาของลูกชายไม่เลวเลย แม้ว่ากู่เหนียงผู้นี้จะไม่ได้งดงามเฉกเช่นน้องสาวแต่ถือว่ามีมารยาทมากทีเดียว นางหันไปมองสามีของตน อยากเอ่ยถามเขาว่าคิดอย่างไรกับกู่เหนียงคนนี้ แต่นางกลับเห็นเขาหยิบนมแพะย่างชิ้นหนึ่งเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย
“นมแพะย่างอร่อยมาก ทั้งยังมีรสชาติดั้งเดิมกว่าร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ด้วย เจ้าลองชิมสิ ! ” นายท่านเผิงเหมือนบุตรชายมากคือเป็นนักชิมตัวยง
นางเผิงแอบหยิกเขาเล็กน้อย เจ้าจะมากินอย่างเดียวหรือ ? เรื่องสำคัญของลูกชาย เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “หากท่านลุงชอบ ก่อนกลับก็นำติดมือไปด้วยสิเจ้าคะ เราทำเอง ไม่เป็นไรหรอก…”
“ว่าอย่างไรนะ ? นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าทำเองหรือ ? ฝีมือของผู้ใด เหตุใดจึงอร่อยเพียงนี้ ? ” นายท่านเผิงโดนดึงดูดความสนใจ โอ๊ย…หญิงชราหยิกเขาอีกครั้ง นางเป็นอันใดไป ? ผู้อาวุโสของอีกฝ่ายก็ยังไม่มา ต้องชวนคุยบ้างสิ จะปล่อยให้บรรยากาศเงียบสงัดไม่ได้ !
“นี่คือเนื้อแผ่นที่ข้าทำเอง ! พี่สาวของข้าก็ทำได้เจ้าค่ะ คุกกี้เมล็ดต้นเจินเมื่อวานก็เป็นฝีมือของข้าและพี่สาว ท่านลุงได้ชิมหรือไม่ ? ถูกปากของท่านลุงหรือไม่เจ้าคะ ? ” นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเว่ยเว่ยออกหน้าช่วยพี่สาวอย่างหนัก เมื่อเห็นท่าทางอยากออกเรือนของอีกฝ่ายแล้วก็อดสงสารไม่ได้ วันนี้จึงไว้หน้าพี่ใหญ่เสียหน่อย !
“คุกกี้ ? ขนมอันใด ? อร่อยหรือไม่ ? โอ้ ที่แท้โถกระเบื้องเคลือบที่เจ้าเด็กอัปลักษณ์อุ้มไม่ยอมปล่อยเมื่อวานก็คือขนมนี่เอง เจ้าลูกอกตัญญู มีของดีแต่ไม่รู้จักให้พ่อกิน แอบกินอยู่ผู้เดียว ! ” นายท่านเผิงโกรธเป็นอย่างยิ่ง
นางเผิงตีมือที่กำลังยื่นออกไปหยิบนมแพะย่างของเขาอีกครั้ง “ท่านหมอก็บอกแล้วว่าให้เจ้าลดน้ำตาล หลีกเลี่ยงอาหารมีไขมันสูง เจ้าลูกชายจึงระวังเรื่องนี้อย่างดี เขาไม่กล้าบอกว่ามีสิ่งใดอยู่ในโถกระเบื้องเคลือบต่อหน้าเจ้าหรอก ! ”
นายท่านเผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเจ้าพูดเสียหน่อย เจ้าสองแม่ลูกร่วมมือกันปั่นหัวข้า ! ” อาหารแสนโอชะอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ สำหรับคนเห็นแก่กินอย่างเขาจะให้มาทุกข์ทรมาน ! น้ำตานองหน้าได้อย่างไร !
หลินเว่ยเว่ยทนเห็นความอยากกินที่สะท้อนออกมาทางแววตาของนายท่านเผิงไม่ได้ นางลุกขึ้นและกล่าวว่า “ท่านลุงท่านป้าเจ้าคะ ข้าพาท่านทั้งสองไปเดินเล่นในลานกว้างดีหรือไม่ ? ”
นางเผิงดึงตัวของสามีเพราะนางก็อยากรู้เรื่องราวของตระกูลหลินเพิ่มอีกเล็กน้อย
มีกลิ่นเนื้อแผ่นลอยอบอวลไปทั่วลานกว้าง ระหว่างนั้นก็ยังปะปนไปด้วยกลิ่นหอมหวานของผลไม้นานาชนิด เนื้อที่เพิ่งออกจากเตา กู่เหนียงตัวน้อยวัย 15 ปีผู้หนึ่งกำลังถือกรรไกรตัดเนื้อแผ่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม
“นี่คงไม่ใช่เนื้อแผ่นของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้หรอกกระมัง ? เพราะรสชาตินี้ใช่เลย ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน ! ” นายท่านเผิงเบิกตากว้าง “เนื้อแผ่นของร้านหนิงจี้…ก็คือเนื้อที่พวกเจ้าทำไปส่งเช่นนั้นหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมีเจตนาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความมั่งคั่งของครอบครัวตน หลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรสาวคนโตโดนดูถูก “ถูกต้อง ไม่เพียงแต่เนื้อแผ่นเท่านั้น ยังมีผลไม้อบแห้ง แยมผลไม้ รวมทั้งเมล็ดสนปากอ้าที่ล้วนเป็นสินค้าจากทางเราทั้งสิ้น ยิ่งร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้มีชื่อเสียงมากเท่าไร สินค้าที่ต้องการก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เดิมทีเกวียนเทียมล่อเพียงคันเดียวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ต้องเพิ่มมาอีกคันเจ้าค่ะ ! ”
นางเผิงมองเข้าไปในลานกว้างที่ไม่ใหญ่มากนักแห่งนี้ ทุกพื้นที่มีการใช้สอยอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวอีกเจ็ดแปดคนอยู่รวมกันในลานกว้างและกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น หญิงสาวในหมู่บ้านเหล่านั้นยังพูดกันว่าอีกฝ่ายมีโรงงานแปรรูปเมล็ดสน คาดว่าเมล็ดสนปากอ้าคงได้รับการผลิตจากโรงงานแห่งนั้นเอง
“เรือนด้านข้างแห่งนี้คือเรือนทอผ้าของ…พี่สาวของข้า ! ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเรียนรู้การทอผ้าจนชำนาญ ครอบครัวจึงซื้อเครื่องทอผ้าให้ถึง 2 เครื่อง นางใช้เวลาทอผ้ามากกว่าหนึ่งชั่วยามทุกวัน ช่วงเวลาอื่นก็ช่วยเก็บกวาดจัดโน้นจัดนี่ภายในบ้าน
หลินเว่ยเว่ยขู่นางไว้ว่าต้องทอผ้าแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นแล้วลุกมาทำงานบ้าน ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนย่าหลิวคือหลังค่อม สายตาฝ้าฟาง ตระกูลหลินไม่ขาดแคลนเงินทองแล้ว จึงไม่ต้องดิ้นรนเกินพอดี กล่าวได้ว่าการทำงานบ้านเป็นกิจกรรมผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เงินที่หามาได้สามารถดูแลทั้งครอบครัวได้อย่างสบายอีกด้วย !
แม้ว่าบุตรสาวคนโตจะไม่เชื่อคำน้องสาว แต่สุดท้ายก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายบอก ตอนอยู่กับย่าหลิวนั้น นางก็นั่งอยู่เป็นครึ่งค่อนวันจนเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยตามเอว…นางไม่อยากเป็นเหมือนย่าหลิวที่มีหลังค่อมคล้ายถั่วงอก !
นางเผิงมาถึงเรือนทอผ้า นางใช้มือลูบไปบนผ้าที่ถักทออย่างสวยงามแล้วแสดงท่าทางตกตะลึงจนอดชมไม่ได้ว่า “ไอหยา ! ผ้าทอผืนนี้ละเอียดและนุ่มมือมาก น่าจะขายได้ราคาดีกว่าร้านทั่วไป”
นางมีความประทับใจแรกต่อบุตรสาวคนโตตระกูลหลินเป็นอย่างยิ่ง สมกับที่เป็นเด็กสาวผู้ชำนาญการทอผ้าดั่งที่บุตรชายได้พูดไว้ บุตรชายอัปลักษณ์ช่างมีสายตาแหลมคม !
นางหวงกลับบ้านมา ด้านหลังตามมาด้วยนางเฝิง หลินเว่ยเว่ยยกผู้อาวุโสทั้งสองและแม่สื่อให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายตนทั้งสองรับมือต่อ จากนั้นก็รั้งพี่สาวที่กำลังจะกลับไปทอผ้าไว้ทันที
พี่สาวเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าไม่ไปสนใจเจ้าดำบ้างหรือ ? ”