หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 259 บัณฑิตน้อยของเรามีแผนการ
ตอนที่ 259 บัณฑิตน้อยของเรามีแผนการ
เช้าวันต่อมา หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานนั่งเกวียนเทียมล่อเข้ามาส่งสินค้าในเขตเริ่นอัน ก่อนออกเดินทางพี่สาวคนโตได้หอบผ้าจำนวน 2 ผืนออกมาพร้อมเรียกนางไว้ “เจ้าช่วยนำผ้าเหล่านี้ไปขายให้ข้าด้วย ย่าหลิวบอกว่าผ้าประเภทนี้น่าจะขายได้อย่างน้อย 500 อีแปะ อย่าขายต่ำกว่านี้แล้วฝากซื้อด้ายกลับมาให้ข้าด้วย ! ”
หลินเว่ยเว่ยรับผ้าไปพลางทอดถอนใจไปด้วย “เหนื่อยมาตั้งหลายวันกว่าผ้าผืนนี้จะทอเสร็จ แต่ขายได้เงินแค่ 500 อีแปะ ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ! ”
พี่สาวคิดว่านางดูหมิ่นที่ตนหาเงินได้ช้าจึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “จะอวดว่าเจ้าหาเงินได้เร็วกว่าใช่หรือไม่ ? แม้เงินจะน้อย แต่ก็หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง เจ้าดูถูกข้าได้ แต่จะเหยียดหยามความตั้งใจของข้าไม่ได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองอีกฝ่าย “อย่าหาเรื่อง ! ข้ากำลังคิดว่าจะช่วยเจ้าหาเงินให้มากกว่าเดิมอย่างไรต่างหาก ไม่เข้าใจกันบ้างเลย ! ”
พี่สาวแสดงสีหน้าไม่เชื่อ จากนั้นก็เอ่ยอย่างข้องใจ “ผ้าฝ้ายทอก็ขายราคานี้ทั้งนั้น ย่าหลิวสอนวิธีทอผ้าประเภทนี้แก่ข้า ราคาขายสูงกว่าเล็กน้อย ราคาฝ้ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนทอผ้าชนิดอื่นอย่างยากลำบาก สุดท้ายแม้แต่ต้นทุนก็ยังไม่ได้คืนมา”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามว่า “เจ้าคิดจะปั่นไหมทอผ้าบ้างหรือไม่ ? ”
พี่สาวเบิกตากว้าง “ว่าอย่างไรนะ ? เจ้าคิดประหลาดอีกแล้ว ! หนอนไหมนั้นเป็นของทางใต้ไม่ใช่หรือ ? เราเลี้ยงหนอนไหมชนิดนี้ไม่ได้ ปั่นไหมเองไม่ได้หรอก ! ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ความคิดประหลาดของข้ามีสิ่งใดบ้างที่เป็นความจริงไม่ได้ ? หรือว่าเจ้าไม่คิด ! ข้าให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งวัน รอข้ากลับมาจากเขตเริ่นอัน แล้วเจ้าค่อยให้คำตอบ ! ”
คนที่บังคับเกวียนเทียมล่อในครานี้คือน้องชายหยาเอ๋อร์ อย่าเพิ่งมองว่าเขาเป็นเด็กเพราะเกวียนที่เขาบังคับไปนั้นทั้งเร็วและมั่นคง ส่วนเกวียนที่ตามอยู่ด้านหลังอีกคันเป็นของหลิวต้าซวน บนเกวียนทุกคันจะมีชาวบ้านรูปร่างสูงใหญ่กำยำ 4 คนประจำอยู่ ทุกคนล้วนถือท่อนไม้ที่หนาไว้ในมือเพื่อคอยคุ้มกันสินค้าไปตลอดทางทำให้พวกชาวบ้านที่ขวางอยู่ด้านหน้าพากันตื่นตระหนก
เส้นทางจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวมาถึงเขตเริ่นอันนี้ หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยสั่งสอนคนที่ก่อเหตุจลาจลกลุ่มนั้นไปแล้วก็แทบไม่มีผู้ใดเสนอหน้าออกมารบกวนอีก กอปรกับตอนนี้อำเภอเป่าชิงกำลังหว่านเมล็ดพืช ชาวบ้านผู้หิวโหยที่มักจะเดินร่อนเร่ไปมาก็ลดน้อยลง ทำให้พวกเขาเดินทางอย่างปลอดภัยโดยไร้กังวล
เจียงโม่หานหลุบตามองว่าที่ภรรยาของตนและเอ่ยถามว่า “เจ้าตั้งใจจะเลี้ยงหนอนไหมใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้ารู้จักหนอนไหมด้วยหรือ ? เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหนอนไหมชนิดนี้หาซื้อได้จากที่ใด ? ” ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยเปล่งประกายทันที นัยน์ตาที่มองไปยังเจียงโม่หานระยิบระยับดุจดวงดาวพร่างพราวกลางฟ้ายามราตรี
เจียงโม่หานก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยว่า “ตระกูลเซวียแห่งเมืองเหอโจวร่ำรวยจากการเลี้ยงหนอนไหม แต่ปีนี้ฝนตกน้อย ป่าไม้ของตระกูลเซวียจึงประสบภัยแล้ง หากเจ้าอยากเลี้ยงหนอนไหมเพื่อมาปั่นไหมทอผ้า ข้ามีสหายผู้หนึ่ง เขามีญาติอยู่ในเมืองเหอโจวพอดี ข้าจะให้เขาไปถามดีหรือไม่ ? ”
“จะเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่า ? ” ไม่รู้ว่าบัณฑิตน้อยมีความสัมพันธ์กับคนผู้นั้นอย่างไร ? คุ้มที่จะติดหนี้บุญคุณเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ?
เจียงโม่หานอมยิ้ม “ไม่รบกวนเลย ! ”
สหายผู้นั้นเป็นญาติห่าง ๆ ของตระกูลเซวีย ถ้าขอซื้อหนอนไหมสัก 2-3 ตัวคงไม่โดนปฏิเสธ ส่วนเรื่องน้ำใจนั้น…ชาติที่แล้วคนผู้นั้นเคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อความวุ่นวายเพราะเหตุนี้จึงทำให้ถึงแก่ความตาย ส่วนหนอนไหมไม่กี่ตัวจะสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ การซื้อขายในครานี้สามารถสร้างเงินมหาศาลได้ในอนาคต !
“แสดงว่าบัณฑิตน้อยของเรามีแผนการ ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใสเหมือนแฟนคลับตัวยงมองอีกฝ่าย
เมื่อโดนว่าที่ภรรยาใช้สายตาเต็มไปด้วยความเคารพมองมา เจียงโม่หานจึงรู้สึกภาคภูมิและลำพองใจอยู่ลึก ๆ มุมปากของเขาโค้งขึ้นเผยความในใจอย่างชัดเจน หลินเว่ยเว่ยหลุดขำอยู่ในใจ ‘บัณฑิตน้อยหลอกง่ายเสียจริง ! น่ารักมาก ! ’
เมื่อเกวียนเทียมล่อมาถึงเขตเริ่นอัน หลินเว่ยเว่ยก็เห็นว่าร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นห้องหนังสือไปเสียแล้ว วันนี้กำลังคึกคักเลยทีเดียว ! นางจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “ผู้ใดเป็นเจ้าของห้องหนังสือนี้ ? ”
“ก็ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์เช่นข้า ! ” เจียงโม่หานกระโดดลงจากเกวียน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาหลินเว่ยเว่ย นางกอดผ้าสองผืนด้วยมือข้างหนึ่งจึงยื่นมืออีกข้างไปบนฝ่ามือของบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานตกตะลึง
เขาชักมือกลับพร้อมดึงผ้าจากในอ้อมกอดของนาง ในที่สาธารณะเช่นนี้พวกเขายื้อกันไปมาเหมือนอะไรก็ไม่รู้ หลินเว่ยเว่ยแลบลิ้นเล็กน้อย ‘ที่แท้ก็จะช่วยถือผ้า ! ’
“ห้องหนังสือ…ลวี่…ฉา ! ” หลินเว่ยเว่ยชี้ไปทางตัวอักษรด้านบนอย่างหมดคำพูด “บัณฑิตน้อย เจ้าเป็นคนตั้งชื่อห้องหนังสือแห่งนี้หรือ ? ”
ชื่อดี ๆ มีไม่ตั้งมาตั้งว่าลวี่ฉา บุรุษผู้นี้คงจะต้านทานแรงดึงดูดของชาเขียวไม่ไหวกระมัง ? หรือว่านางต้องศึกษา ‘พิธีการชงชา’ เสียแล้ว ?
เจียงโม่หานใช้พัดในมือเคาะไปบนศีรษะของนางอย่างอดไม่ได้ “ข้าให้เจ้าตั้งใจศึกษาตำราก็ไม่จำ ‘ลวี่ฉา’ อันใดกัน นั่นอ่านว่า ‘ห้องหนังสือหยวนถู’ ต่างหาก ! ”
มาจากดอกถูหมีซึ่งหมายถึงความงามของจุดสิ้นสุด ชาติภพนี้ของเขาเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของชาติที่แล้วไม่ใช่หรือ ?
หลินเว่ยเว่ยเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไป ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ! ในห้องหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือต่าง ๆ นอกจากหนังสือเล่มใหม่ที่วางขายแล้วก็ยังมีชั้นหนังสือที่มีผู้คนห้อมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก พูดกันว่าบนนั้นเป็นหนังสือที่ไม่ตีพิมพ์อีกแล้ว มีไว้ให้คัดลอกไม่ได้มีไว้ขาย แน่นอนว่าไม่ได้ให้คัดลอกโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าต้องคัดลอก 2 เล่มแล้วให้หยิบไปเล่มหนึ่งเก็บไว้เล่มหนึ่ง ในลานกว้างแห่งนี้ยังมีสถานที่สำหรับอ่านตำราอีกด้วย…ตำราเรียนที่ไม่ตีพิมพ์แล้วมีเล่มเดียวในโลก ไม่อนุญาตให้นำออกไปโดยเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่งมีผู้คนแน่นขนัดไม่แพ้กันคือฝั่งภาพวาดและภาพตัวอักษร ภายในห้องหนังสือแห่งนี้มีผลงานแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือผลงานภาพวาดและตัวอักษรของผู้อาวุโสเซวียอดีตนักปราชญ์ผู้มากความรู้ความสามารถและส่วนที่สองคือผลงานอันโดดเด่นภายใต้นามแฝงว่าปราชญ์ชนบท
ชื่อของผู้อาวุโสเซวียไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะเขาเป็นบุคคลโดดเด่นในด้านตัวอักษรของเจียงหนาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้นำแห่งลัทธิขงจื๊อ มีความลึกซึ้งในด้านการเขียนพู่กันอย่างมาก แต่น่าเสียดาย หลังจากที่เจียงหนานเกิดสงครามก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย มีคนบอกว่าเขาตายในสงครามครานั้น ผลงานที่เขาทิ้งไว้จึงมีราคาค่อนข้างสูงมาก คาดไม่ถึงว่าในห้องหนังสือที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งนี้จะมีผลงานต้นฉบับของผู้อาวุโสเซวียเจ็ดถึงแปดชิ้น ! ตระกูลตงผู้เป็นเจ้าของตัวจริงเหล่านี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรกันแน่ ?
ส่วน ‘ปราชญ์ชนบท’ อีกชื่อนั้น แม้ว่าจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่ลายมือก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ด้านภาพวาดถูกวางไว้ข้างผลงานของผู้อาวุโสเซวีย แต่ดูไม่ด้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งพัดที่มีภาพวาดนี้เปี่ยมด้วยแนวคิดและฝีมือถึงระดับผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น !
ผลงานของผู้อาวุโสเซวียไม่มีผู้ใดสามารถเทียบชั้นได้ หรือว่าปราชญ์ชนบทผู้นี้จะต้องมาเก็บผลงานของตนกลับไปเสียแล้ว หลินเว่ยเว่ยยืนคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็พบว่าพัดเหล่านั้นถูกขายออกไปหลายชิ้น
“ว้าว! พัดอันเล็ก ๆ ขายได้ตั้ง 50 ตำลึง คนเหล่านี้คงรวยมากใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยพึมพำออกมา ห้องหนังสือที่เพิ่งเปิดใหม่แห่งนี้ทำเงินได้มากสักเท่าใด?
เจียงโม่หานชำเลืองมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ พัดของเขาในชาติที่แล้วมีลักษณะพิเศษมากในแวดวงศิลปะ เศรษฐีร่ำรวยข้างนอกยากจะขอซื้อพัดของเขาได้ ราคา 50 ตำลึงนี้เขายังไม่อยากขายด้วยซ้ำ !
บัณฑิตที่แย่งภาพวาดภูเขาเขียวขจีที่นางชื่นชอบได้หันกลับมามองหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด เสน่ห์หรือแนวคิดด้านศิลปะของปราชญ์ชนบทท่านนี้ก็ล้วนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น ตอนนี้เขายังไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า อย่าว่าแต่ 50ตำลึงเลย เกรงว่า 500 ตำลึงก็ไม่อาจซื้อผลงานของเขาได้ ! ”
“ได้ยินหรือไม่ ? เจ้ามีตาแต่หามีแววไม่ อย่าพูดมั่วซั่วอีก ระวังจะจมน้ำลายของปัญญาชนเหล่านี้ตายโดยไม่รู้ตัว ! ” เจียงโม่หานโบกพัดในมือไปมาอย่างสบายอารมณ์