หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 261 ใครเล่าจะไม่กล้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 261 ใครเล่าจะไม่กล้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ
ตอนที่ 261 ใครเล่าจะไม่กล้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ
อู๋ปัวนอนอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง คนในตระกูลอู๋ก็มาถึง ซึ่งคนที่มาคืออารองของเขานั่นเอง อารองท่านนี้เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือมากผู้หนึ่ง แม้ว่ามุมปากจะยกยิ้มแต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย “กู่เหนียงท่านนี้ ข้าจะชดใช้แทนหลานชายตัวดีเอง วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี ดังนั้น…”
“อารมณ์ไม่ดีก็เลยเที่ยวกัดคนไปทั่วสินะ ? สุนัขบ้าก็ต้องล่ามโซ่ไว้ให้ดี จะได้ไม่ออกมากัดผู้อื่น ! ” ตระกูลอู๋ในตอนนี้เป็นได้แค่แมวที่โดนดึงเล็บออก ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด หลินเว่ยเว่ยจึงไม่ไว้หน้าแต่อย่างใด !
“ไม่ทราบว่ากู่เหนียงเป็นบุตรตระกูลใด พำนักอยู่ที่ใดหรือ ตระกูลอู๋จะได้เตรียมของขวัญอย่างดีไปชดเชยให้…” อารองเห็นหลินเว่ยเว่ยทำเช่นนี้ได้จึงคิดว่าน่าจะเป็นชาวยุทธและยกมือขึ้นมาทำความเคารพ
“กู่เหนียง อย่าบอกพวกเขาเพราะตระกูลอู๋ชอบลอบกัด ! ” ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนออกมาจากในฝูงชน แต่เมื่ออารองหันไปมองก็พบว่าไม่มีใคร
อู๋ปัวถูกบ่าวสองคนประคองขึ้นมา เขาชี้ไปยังเจียงโม่หานและพูดกับอารองว่า “อารอง เจียงโม่หานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉือหลี่โกว ส่วนเด็กอัปลักษณ์ผู้นี้อยู่กับเขาขอรับ ! ”
“เฮ้ ! นายน้อยอู๋คงจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของเรา ไม่ทราบนายน้อยอู๋เคยถามหรือไม่ว่าในตอนที่อำเภอเป่าชิงเปิดคลังเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยนั้นมีความเป็นมาอย่างไร…อ้อ ข้าจะเตือนเจ้าไว้ว่ามันเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านฉือหลี่โกวของพวกเรา ! ” หลินเว่ยเว่ยตัดสินใจทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ
อารองมีเส้นสายทั้งในด้านมืดและด้านสว่าง ย่อมทราบเรื่องที่หมินอ๋องซื่อจื่อโดนลอบสังหารในอำเภอเป่าชิง ลือกันว่าคนที่ช่วยเหลือหมินอ๋องซื่อจื่อคือเด็กที่มีพละกำลังมหาศาลจากหมู่บ้านฉือหลี่โกว…ช้าก่อน ผู้มีพละกำลังมหาศาล ? เด็ก ? คงไม่ใช่…
เมื่อหลินเว่ยเว่ยเห็นสีหน้าของอารองเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์เยี่ยงสุนัขจิ้งจอกก็เผยออกมา นางล้วงหยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็แกว่งไปมาต่อหน้าทุกคนอย่างรวดเร็วและยัดกลับไปอีกครั้ง
“รู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด ? ป้ายหยกกิเลนที่หมินอ๋องซื่อจื่อมอบให้ข้าไว้ ! หมินอ๋องซื่อจื่อคงจะเกรงใจเกินไป ข้าแค่จับตัวมนุษย์โอสถไว้ได้เท่านั้น โดยแท้จริงแล้วคนที่สังหารมนุษย์โอสถคือใต้เท้าซื่อจื่อเองต่างหาก จากนั้นเขาก็มอบของที่มีค่าเช่นนี้แก่ข้า เฮ้อ ข้าเกรงใจยิ่งนัก ! ”
“เพื่อนบ้านที่น่ารักทุกท่าน ลุงป้าน้าอา พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย ! หากข้าและว่าที่สามีเกิดเป็นอันใดขึ้นมา นั่นหมายความว่าตระกูลอู๋เป็นผู้ลงมือ ! ถึงตอนนั้นคนของจวนหมินอ๋องก็จะมาตรวจสอบ ทุกคนต้องช่วยเป็นพยานด้วย ! คนที่ลอบทำร้ายผู้มีพระคุณของหมินอ๋องซื่อจื่ออาจเป็นพวกเดียวกับมนุษย์โอสถก็ได้ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ! ” หลินเว่ยเว่ยมองไปทางอารองด้วยแววตาพินิจพิจารณาเพื่อคาดเดาความเป็นไปได้นี้
สีหน้าของอารองเปลี่ยนไปมาก คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กอัปลักษณ์จะมีความเกี่ยวข้องกับหมินอ๋องซื่อจื่อ ตอนนี้ตระกูลอู๋ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จะให้เกิดข้อผิดพลาดอันใดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว !
เขาพยายามคลี่ยิ้มอย่างกล้ำกลืนฝืนทนและกล่าวว่า “กู่เหนียงเข้าใจผิดแล้ว ! กลับไปคราวนี้ข้าจะสั่งสอนหลานชายคนนี้อย่างดี ไม่ให้เขาออกมาก่อเรื่องได้อีก ! ”
“เช่นนั้นถูกต้องแล้ว สุนัขคลั่งก็ต้องล่ามไว้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แพร่พิษสุนัขบ้าแก่ผู้อื่น ! ” หลินเว่ยเว่ยยกมือขึ้นมากอดอกแล้วมองสองอาหลานเดินกลับไปพร้อมความพ่ายแพ้ เมื่อหันกลับมาทางเจียงโม่หาน นางก็แสดงสีหน้าขอคำชื่นชม…การแสดงเปลี่ยนหน้ากากฉบับเสฉวนยังไม่เร็วเท่านางเลย
เจียงโม่หานลูบศีรษะของนางแล้วเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้าไปยังร้านขายผ้าเปิดใหม่ในเขตเริ่นอัน “ทุกครั้งที่เจ้ารีบออกโรงก่อน เพราะคิดว่าสามีในอนาคตของเจ้าสู้เขาไม่ได้ใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่ใช่แน่นอน ! เจ้าเข้าใจสำนวนที่ว่าอย่าเอาทองไปลู่กระเบื้องหรือไม่ ? เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากลงไปโต้เถียงกับสุนัขขี้เรื้อนก็เท่ากับลดคุณค่าในตนเอง ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่คิดว่าบัณฑิตที่แสนใจดีเช่นนี้สมควรโดนรังแก เหตุใดตระกูลอู๋จึงไม่พ่ายแพ้เสียที? นางไม่เชื่อว่าบัณฑิตน้อยจะไม่ทำสิ่งใดเลย !
ทั้งสองคนเข้ามาในร้านขายผ้าที่เพิ่งเปิดกิจการได้ไม่นาน เมื่อหลงจู๊เห็นผ้าที่บุตรสาวคนโตตระกูลหลินทอมีความละเอียดและนุ่มมือ โดดเด่นไม่ด้อยไปกว่าผ้าฝ้ายตามท้องตลาดทั่วไปจึงเสนอราคาที่ยุติธรรมมากให้แก่นาง สุดท้ายผ้าสองผืนนี้ก็ถูกขายในราคาผืนละ 2 ตำลึง
เจ้าของร้านส่งยิ้มให้แก่หลินเว่ยเว่ยพร้อมกล่าวว่า “ฝีมือในการทอผ้าของกู่เหนียงดีเช่นนี้ ต่อไปหากนำผ้าที่กู่เหนียงทอมาขายอีก ร้านเล็ก ๆ ของข้าจะให้ราคาอย่างยุติธรรมแน่นอน”
หญิงสาวขายผ้าอีกคนยกยิ้มพลางพยักหน้าคล้อยตามและเอ่ยว่า “ใช่ หลงจู๊หยางไม่เคยกดราคาผู้ใดมาก่อน ไม่เหมือนตระกูลอู๋ในอดีตที่ผ้าหนึ่งผืนกดราคาจนเหลืออยู่ไม่กี่อีแปะเท่านั้น ! ”
หลงจู๊หยางยิ้มตอบ “สิ่งที่ต้องศึกษาให้ดีในการทำธุรกิจคือใจมนุษย์ ผู้คนมากมายล้วนเปรียบเสมือนพ่อแม่ เราต้องทำธุรกิจอย่างสุจริตและมีศักดิ์ศรี ต่อไปหากทั้งสองท่านจะซื้อผ้าอันใดก็เข้ามาดูร้านเราก่อนได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มรับ “แน่นอน แน่นอน ! ”
ร้านนี้เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงครึ่งเดือน ธุรกิจดูท่าจะไปได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าหลงจู๊ร้านนี้บริหารธุรกิจได้เก่งมาก !
“บัณฑิตน้อย เจ้าจะพาข้าไปที่ใด ? ” หลินเว่ยเว่ยนั่งเกวียนเทียมล่อออกจากเขตเริ่นอันภายใต้การบังคับของเจียงโม่หานที่กำลังตรงไปยังทิศตะวันออก
เจียงโม่หานเผยรอยยิ้มชั่วร้ายดุจตัวร้ายในภาพยนต์ “พาไปขาย ! ”
“ระหว่างเราสองคน ถ้าคนฉลาดเห็นจะรู้ได้ทันทีว่าขายใครคุ้มค่ากว่ากัน ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบไปบนใบหน้าของบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานกุมมือที่ซุกซนของนางเอาไว้ จากนั้นก็ทำการนวดบนฝ่ามือ หลินเว่ยเว่ยเบิกตากลมโตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม บัณฑิต…ผู้นี้ กล้าเอาเปรียบนางอย่างเห็นได้ชัด ก็ได้ นางอยากสนุกพอดี
หลินเว่ยเว่ยประสานนิ้วมือเข้ากับบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาดุจสุนัจจิ้งจอกคู่นั้นโค้งเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวน่ารักยิ่งนัก นางจับมือกับว่าที่สามีของตน ทั้งชอบธรรมทั้งถูกต้องตามกฎระเบียบ ยังมีสิ่งใดต้องเกรงใจอีก ?
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ธรรมดาแห่งหนึ่ง บ้านมุงจากสองหลังที่ตั้งอยู่บนเนินเขาท้ายหมู่บ้านคือจุดหมายปลายทางของทั้งสองคน
หลังปีนขึ้นมาบนเนินเขาเล็ก ๆ แล้ว ทั้งสองก็ทอดมองไปยังหน้าบ้านมุงจากแห่งนั้น มีควันจากการหุงหาอาหารลอยขึ้นมาจากในบ้าน ส่วนบ้านหลังน้อยที่อยู่ไม่ไกลนักก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ช่างเป็นสถานที่เงียบสงบและเหมือนดินแดนสวรรค์
“ปลูกกระท่อมโอบล้อมด้วยผู้คน มากเสียงคนรถม้าแลสับสน”
อย่าถามข้าไฉนกล้าในบัดดล จิตพาตนมุ่งหวังมาอยู่ไกล
เบญจมาศเต็มรั้วบูรพา มองด้านหน้าเห็นยอดทักษิณไศล…”
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้เหมาะสำหรับการท่องบทกวียิ่งนัก หลินเว่ยเว่ยจึงท่องบทกวี ‘ร่ำสุรา’ ของเถาหยวนหมิงออกมา ข้าไม่ได้แย่งบทกวีของท่าน ข้าแค่ท่องมันออกมาเท่านั้น !
“ดั่งประโยคที่ว่า ‘อย่าถามข้าไฉนกล้าในบัดดล จิตพาตนมุ่งหวังมาอยู่ไกล’ ! ” ประตูบ้านมุงจากได้เปิดออก ปรากฏชายชราที่มีผมยาวขาวดุจนกกระเรียนร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงท่านหนึ่งเดินออกมา เสียงพูดที่เปี่ยมไปด้วยพลังบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างดี
“สหายน้อย กู่เหนียงท่านนี้คือ ? ” นัยน์ตาของชายชราเต็มไปด้วยแววแห่งความชื่นชม
เจียงโม่หานชำเลืองมองไปทางหลินเว่ยเว่ยเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและตอบว่า “นางคือว่าที่ภรรยาของข้าขอรับ ! ”
“เยี่ยม เยี่ยม ! รูปร่างหน้าตา…ไม่ ไม่ รูปลักษณ์หน้าตาก็ใช้ได้ ! กู่เหนียงน้อย บทกวีเมื่อครู่ของเจ้าช่างมีท่วงทำนองอันไพเราะยิ่ง จิตใจนิ่งสงบและท่าทางสบายเหมาะกับจิตใจของข้าในเวลานี้มาก กู่เหนียงยังท่องบทกวีเมื่อครู่ไม่จบใช่หรือไม่ ? ” ชายชรามองนางอย่างคาดหวัง เขาหวังว่านางจะทำให้ตนเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น
“เอ่อ…ตะ…ตะวันลับยอดผาระยะไกล เหล่านกไซร้บินกลับซึ่งรวงรัง อยากชี้แจงแถลงไขให้คนฟัง บัดนี้ยังยากเอ่ยถ้อยกระทงความ…” หลินเว่ยเว่ยจำต้องร่ายบทกวีทั้งหมดออกมา
“เยี่ยม ! ” ชายชราตีไปบนหน้าตักของตนเสียงดัง “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! เดิมทีข้าคิดว่า ‘อย่าถามข้าไฉนกล้าในบัดดล จิตพาตนมุ่งหวังมาอยู่ไกล’ เป็นใจความหลักของบทกวี คาดไม่ถึงว่าสองวรรคสุดท้ายจะเข้าใจถึงความสำคัญของชีวิต แสดงถึงสภาพจิตใจที่นิ่งสงบไม่ยินดียินร้าย ! บ่งบอกถึงความงดงามของบทกวีได้ดีเหลือเกิน ! ”