หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 264 เด็กสาวผู้มากด้วยเรื่องราว
ตอนที่ 264 เด็กสาวผู้มากด้วยเรื่องราว
เจียงโม่หานสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้องว่าเด็กน้อยผู้นี้มีที่มาแตกต่างจากตน เพราะในความทรงจำของนางมีทั้งยอดกวีนามว่าเถาหยวนหมิง มีทั้ง ‘รถ’ ที่วิ่งเร็วและไม่สั่นสะเทือน มีขนมรสเลิศที่เขาไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน มีสิ่งแวดล้อมที่สุขสบายสำหรับหญิงสาว…ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นสตรีที่ไม่กลัวสิ่งใด มีนิสัยร่าเริง ใจดีและไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ใด
หลินเว่ยเว่ยก้มหน้ามองมือที่โดนบัณฑิตหนุ่มจับไว้ จากนั้นก็เงยหน้ามองใบหน้ารูปงามยิ่งกว่าชายใด แต่แล้วเครื่องหมายสีดำ ‘???’ ก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของนาง
บัณฑิตรูปงามเปลี่ยนเป็นคนที่กระตือรือร้นตั้งแต่เมื่อใด ?
เจียงโม่หานก้มหน้าลง กระทั่งเห็นเงาของตนสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของหลินเว่ยเว่ยอย่างชัดเจน เขาจึงตัดสินใจแล้วว่า ‘ข้าจะปกป้องนาง ไม่ให้นางต้องรู้สึกกังวล โดดเดี่ยวและห่อเหี่ยวในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้เด็ดขาด…’
เจียงโม่หานครุ่นคิดด้วยการเอาใจอีกฝ่ายมาใส่ใจเรา หากให้เขาตื่นขึ้นมาในโลกที่แปลกประหลาด ยากจนข้นแค้น มารดาก็ป่วย น้องก็อ่อนแอเช่นนี้ เขาคงไม่สามารถทำเช่นเดียวกับนางคือแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความลำบาก แต่ก็ยังรักษาจิตใจที่ดีงามเช่นนี้ได้
เขาจึงรู้สึกสงสารนางมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าในตอนที่นางมายังโลกนี้จะตื่นตระหนกและกังวลเพียงใด น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่เคียงข้าง แต่ในอนาคตเขาจะใช้ทั้งชีวิตอยู่กับนางและชดเชยส่วนที่ขาดหายในใจของนางเอง !
‘???’
หลินเว่ยเว่ยมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มสมอง หรือว่านางจะตาพร่ามัว ? นางคิดมากเกินไปหรือ ? เหตุใดจึงเห็นความรักและความสงสารในแววตาของบัณฑิตหนุ่ม ? นางน่าสงสารอย่างนั้นหรือ ? มีส่วนใดที่ทำให้เขาเข้าใจผิดว่านางน่าสงสาร ? ช่วงนี้นางยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลย
หลินเว่ยเว่ยยังคงมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมา เมื่อย้อนกลับมาถึงในเขตเริ่นอันแล้วก็ตรงไปยังร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ทันที กระทั่งพบกับหนิงตงเซิ่งผู้ที่ยุ่งจนหัวหมุนในที่สุด
“เถ้าแก่หนิง ตอนนี้ควรจะเตรียมร้านใหม่อยู่ในตัวเมืองไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาตรวจตราในเขตเริ่นอันเสียได้ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยหยอกเย้า
หนิงตงเซิ่งมองไปทางนางด้วยแววตาสับสนและแฝงไปด้วยความเสียใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “ในวันที่ท่านหมั้นหมาย ข้ากลับมาไม่ทันร่วมงาน ข้าจึงเสียใจไม่น้อย นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ข้าตั้งใจมอบให้แก่ท่าน…”
เขาอยากให้ผู้ที่ส่งสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอในวันนั้นเป็นตัวเอง ! แม้จะห่างกันเพียงก้าวเดียว ทว่าเขาก็ได้แต่มองนางยิ้มอย่างงดงามดุจดอกไม้อยู่เคียงข้างผู้อื่น
“ไอหยา ! เกรงใจยิ่งนัก ! ข้ารู้สึกไม่ดีจริง ๆ…” ปากบอกรู้สึกไม่ดี ทว่ามือก็ยื่นออกไปรับ นางรับกล่องที่ห่ออย่างงดงามใบนั้นมา ว้าว ! นี่คือกำไลหยกขาวคู่หนึ่ง งดงามไร้ที่ติ เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่ามีมูลค่าสูง
“ชอบหรือไม่ ? ” หนิงตงเซิ่งอยากเห็นนางหยิบกำไลหยกขาวขึ้นมาใส่บนข้อมือ ซึ่งกำไลหยกขาวนี้ช่วยขับผิวให้ผุดผ่องจะต้องทำให้นางงดงามมากแน่…
“ชอบ…” ถ้าราคาต่ำกว่านี้ นางจะยิ่งชอบเป็นพิเศษ ! หยกที่เปราะบางเช่นนี้ต่อให้งดงามเพียงใดก็ทำได้แค่วางประดับอยู่บนหิ้งเท่านั้น นางกลัวว่าถ้าสวมใส่มันแล้วตอนแบกฟืนหรือล่าสัตว์จะทำให้มันได้รับความเสียหาย
นางวางมันกลับเข้ากล่องอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นให้ว่าที่สามีและพูดกับหนิงตงเซิ่งว่า “ข้าคิดขนมสูตรใหม่ได้สูตรหนึ่ง มีชื่อว่าคุกกี้เมล็ดต้นเจิน ในความกรุบกรอบแฝงด้วยกลิ่นหอมละมุนของนมวัว เมล็ดถั่วจะช่วยเพิ่มรสสัมผัสของขนมได้ดี รสชาติยอดเยี่ยมมากทีเดียว คุณชายหนิงพอจะมีเวลาลิ้มลองหรือไม่ ? ”
หนิงตงเซิ่งเก็บความพึงพอใจนั้นไว้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “มีสินค้าใหม่อีกแล้วหรือ ? ไม่ได้กินขนมฝีมือของหลินกู่เหนียงมานานมากแล้ว ดังนั้นข้าย่อมมีเวลาให้แน่นอน ! ”
วิธีทำคุกกี้เมล็ดต้นเจินไม่ได้มีความยุ่งยากนัก กอปรกับขนมที่กรุบกรอบเช่นนี้สามารถเก็บรักษาได้นาน หนิงตงเซิ่งจินตนาการว่ายอดขายจะต้องไม่เลว !
สุดท้ายคือการสรุปกันว่าขนมชนิดนี้จะถูกบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์สามระดับ โดยระดับทั่วไปจะบรรจุในกระดาษน้ำมัน แนะนำให้ลูกค้ากินหมดภายในสองวันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความชื้น ระดับกลางจะบรรจุในโถดินเผา ส่วนระดับสูงจะบรรจุในโถกระเบื้องเคลือบที่มีลวดลายประณีตงดงามและใช้ขี้ผึ้งปิดปากโถซึ่งสามารถเก็บไว้ได้นานครึ่งปี ! หลินเว่ยเว่ยยังสอนวิธีใช้ปูนขาวดูดความชื้นให้แก่หนิงตงเซิ่งอีกด้วย
หนิงตงเซิ่งเคี้ยวคุกกี้เมล็ดต้นเจินอันกรุบกรอบ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เหตุผลที่ท่านทำขนมชนิดนี้ขึ้นมา คงไม่ใช่เพราะอยากขายเมล็ดต้นเจินของหมู่บ้านใช่หรือไม่ ? ว่ามาสิ หมู่บ้านของพวกท่านมีเมล็ดต้นเจินมากเพียงใด ? ข้าจะคำนวณว่าต้องใช้มากน้อยแค่ไหน”
เขายังจำได้ว่าตอนที่อยู่ในอำเภอเป่าชิง เพื่อจะขายเมล็ดสนแล้ว นางใช้เมล็ดสนมาทำอาหารให้แก่หยวนเค่อหลายทั้งยังสร้างธุรกิจใหม่ได้อีก นอกจากนั้นยังให้แนวคิดสำหรับการมอบเมล็ดสนปากอ้าเป็นอาหารว่างระหว่างรออาหารจานหลักให้แก่ลูกค้า ตอนนี้ธุรกิจของหยวนเค่อหลายกำลังเจริญรุ่งเรือง หน้าร้านเต็มไปด้วยรถม้าจอดติดกันยาวเหยียด เถ้าแก่โอ้อวดไม่หยุดว่าเงินที่จ่ายเพื่อซื้อสูตรอาหารไม่ได้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ! จึงอยากติดต่อหลินกู่เหนียงผ่านทางเขา อยากให้นางช่วยให้คำแนะนำอันล้ำค่าอีก !
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “เมล็ดต้นเจินมีจำนวนไม่มากนัก มีเพียงไม่กี่พันชั่งเท่านั้น ขนมชนิดนี้นอกจากเพิ่มเมล็ดต้นเจินแล้ว ยังสามารถเพิ่มเมล็ดสน ถั่วสมอง ถั่วลิสง…จริงสิ ถั่วสมองในร้านของพวกท่านดูเหมือนจะขายได้ไม่เลวเลย ! ”
“ใช่ ! เช่นนั้น…ท่านจะทำขนมที่ใช้ถั่วสมองเป็นส่วนประกอบได้หรือไม่ ? ” ดวงตาที่งดงามดุจดอกท้อของหนิงตงเซิ่งจ้องเขม็งมาทางหลินเว่ยเว่ย ทำให้นางไม่อาจต้านทานความหล่อเหลาและไม่อาจปฏิเสธเขาได้
ตอนนี้นางถือว่าเป็นเจ้าของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้เช่นกัน รูปแบบขนมมากมายล้วนสร้างผลกำไรได้ดีกว่าเงินปันผลปลายปีของนางเสียอีก ดังนั้นเพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าแล้วนางจึงครุ่นคิดอย่างหนักจนได้สูตรขนมออกมาอีกสองสูตร สูตรที่หนึ่งคือ ‘เค้กพุทราแดงโรยถั่วสมอง’ สูตรที่สองคือ ‘ถั่วอัดแท่งงาดำ’ ประเภทที่หนึ่งทั้งนุ่มและหวาน อีกประเภทก็ทั้งหอมและกรอบอร่อย
หนิงตงเซิ่งหยิบสูตรเค้กและถั่วอัดแท่งขึ้นมาอย่างพึงพอใจ เขาอยากเชิญหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานร่วมมื้ออาหาร ทว่าเถียนฟู่กุยยื่นหน้าเข้ามาเอ่ยกับนางเสียก่อน “ไปกินข้าวที่บ้านข้าดีหรือไม่ ? ท่านแม่ถามถึงเจ้าหลายครั้งหลายคราแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปเยี่ยมอีกล่ะก็ ท่านแม่คงได้โวยวายจะกลับหมู่บ้านอีกแน่ ! ”
หนิงตงเซิ่งทราบว่ามารดาที่สมองเลอะเลือนของหลงจู๊เถียนเข้าใจผิดว่าหลินเว่ยเว่ยคือบุตรสาวที่หายสาบสูญ เพื่อเติมเต็มความรักอันเปี่ยมล้นของหญิงชรา เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ไปกันเถิด”
เถียนฟู่กุยเห็นว่าเจ้านายจะไปเยือนบ้านซอมซ่อของตนก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก เจ้านายกำลังเตรียมเปิดร้านในตัวเมืองจงโจว หลงจู๊ประจำสาขาในตัวอำเภอคาดว่าจะโดนย้ายไปดูแลที่นั่น ส่วนตัวเขาอาจถูกย้ายไปอยู่ที่สาขาอำเภอแทน เงินเดือนก็อาจจะเพิ่มขึ้นด้วย
มองจากเจตนาในตอนนี้ของเจ้านายแล้ว การยอมร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านของเขาคือความเชื่อใจและให้เกียรติมากทีเดียว เขารีบกระซิบบอกบุตรชายคนโตที่กำลังยุ่งอยู่ในร้านว่าให้วิ่งกลับไปเตือนภรรยาเพื่อเตรียมตัวเอาไว้
เจียงโม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เจ้าอัปลักษณ์ผู้นี้ไร้ยางอายเสียจริง เห็นได้ชัดว่าอาเถียนเชิญแค่เด็กน้อยและข้าไปร่วมโต๊ะอาหารที่บ้าน เจ้าแซ่หนิงดันตามไปอย่างไร้ยางอาย หรือว่ายังแอบมีใจให้คนของข้า ? ’
นัยน์ตาดอกท้อของหนิงตงเซิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ‘ข้าจะไปร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านของลูกจ้างแล้วอย่างไร ? ตอนนี้ข้ามีความสัมพันธ์กับหลินกู่เหนียงในฐานะผู้ร่วมงาน ท่านจะขวางไม่ให้เราพบหน้ากันได้หรือ ? ’
ทั้งสองเดินขนาบซ้ายขวาของหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็ใช้สายตาจ้องเขม็งกันข้ามศีรษะนางอย่างไม่มีใครยอมใคร หลินเว่ยเว่ยมองไปด้านซ้ายของตน จากนั้นก็ชำเลืองมองไปด้านขวา สองคนนี้เป็นอะไร ? มองกันแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้กัน…หรือว่า…ทั้งสองมีเรื่องที่ปิดบังนางอยู่ ? จู่ ๆ นางก็จำได้ว่าในชาติที่แล้วมีประโยคหนึ่งได้รับความนิยม นั่นก็คือ ‘หนุ่มหน้าตาดีมักลงเอยกันเอง’