หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 272 รั่วเหมือนตะแกรง
ตอนที่ 272 รั่วเหมือนตะแกรง
หลินเว่ยเว่ยใส่เชือกป่านลงกระบุงไม้ไผ่ เมื่อสะพายขึ้นหลังแล้วก็หันไปฉีกยิ้มให้เขา “ก็ไม่ใช่เพราะเนื้อหมูป่าในห้องใต้ดินใกล้หมดแล้วหรือ ช่วงหลายวันนี้หยาเอ๋อร์กับพวกป้าจินเอ๋อร์ขยันกันน่าดู ทำงานเสร็จทุกวัน นี่เงินค่าล่วงเวลาแทบจะเท่ากับเงินเดือนอยู่แล้ว”
ป้าจินเอ๋อร์ก็คือแม่ซัวถัวที่กล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “ใครใช้ให้เจ้าตั้งเงินค่าล่วงเวลาดึงดูดเกินไป ? พอได้ลิ้มลองแล้ว ใครจะอยากได้แค่เงินค่าแรงวันละ 30 อีแปะอยู่ล่ะ หยาเอ๋อร์ เจ้ารีบคำนวณให้ข้าเร็ว เงินทำงานล่วงเวลาเดือนนี้ของข้ามีเท่าไหร่แล้ว ? นางหนูรอง ตอนจ่ายเงินเดือน เจ้าอย่าปวดใจเองแล้วกัน ! ”
หยาเอ๋อร์หยิบสมุดบัญชีของตนขึ้นมา…ตอนนี้นอกจากการทำเนื้อแผ่นแล้ว นางยังมีหน้าที่จดบันทึกเงินเดือนและเงินพิเศษต่าง ๆ ของคนงานหญิง นางใช้ตัวเลขอารบิกได้อย่างชำนาญและยังเรียนรู้วิธีบวกลบแนวตั้งจนสามารถจดบันทึกได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
หยาเอ๋อร์พลิกไปหน้าผีเสื้อยักษ์ เมื่อหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาขีดเขียนบนพื้นแล้วนางก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านป้า นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือนกว่า ท่านก็มีเงินตำลึงกว่าแล้ว ตอนสิ้นเดือนจะต้องมีอย่างน้อย 2 ตำลึงแน่นอน ! ”
แม่ซัวถัวยืดอกทันที “พ่อซัวถัวขึ้นเขาไปขนลูกสนลงมาสองสามเที่ยวก็หลงคิดว่าตนมีเงินเยอะแล้ว กล้าดูถูกเงินเดือนของข้า ถ้าคำนวณดูแล้ว เงินเดือนในปีหนึ่งของข้าก็ไม่น้อยไปกว่าเขาหรอก ! ”
ก็จริง เก็บลูกสนมีช่วงเวลาของมัน แม้ว่าแต่ละครอบครัวจะได้เงินเฉลี่ยกันหลายสิบตำลึง แต่ทำงานที่บ้านตระกูลหลิน ถ้าตั้งใจแล้วเงินเดือนรวมกับเงินค่าล่วงเวลาในปีหนึ่งก็ได้ไม่น้อยเหมือนกัน หรืออาจได้ถึง 20 ตำลึงเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนเวลาที่ผู้ชายทำงานแบกหามในท่าเรือ แม้ทำจนเหนื่อยตายก็ยังไม่ได้เงินเยอะเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนหมู่บ้านอื่นอิจฉานางตั้งเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว !
หลินเว่ยเว่ยใกล้จะเดินพ้นประตูบ้าน หลังได้ยินพวกนางกล่าวเช่นนั้น นางก็หันมาพูดว่า “ท่านป้า พี่หยาเอ๋อร์ พวกท่านพักผ่อนกันบ้าง อย่าโหมทำงานเกินไป ! พักกันบ้าง ! ”
“นายจ้างบ้านอื่นกลัวคนงานแอบอู้ แต่เจ้าอยากให้พักผ่อน วางใจได้ เวลาที่ข้ากลับบ้านก็ไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น เพราะถ้าต้องการสิ่งใดก็แค่อ้าปากสั่ง หยาเอ๋อร์ก็เหมือนกัน หลังจากแม่หยาเอ๋อร์กินยาที่หมอเหลียงสั่งให้แล้ว ดวงตาของนางก็ดีขึ้นมาก พอจะมองเห็นของที่อยู่ใกล้ได้บ้าง นางสงสารลูกสาวจึงรับทำงานบ้านทั้งหมด อีกอย่างน้องชายคนเล็กของหยาเอ๋อร์ก็เริ่มช่วยงานได้แล้ว ! ” แม่ซัวถัวดีใจแทนหยาเอ๋อร์ ในที่สุดช่วงชีวิตอันขมขื่นของเด็กคนนี้ก็ผ่านพ้นไป !
ทันใดนั้นฝ่าเท้าของหลินเว่ยเว่ยก็หยุดอยู่ที่ธรณีประตู นางหันมามองหยาเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “ป้าจินเอ๋อร์ ได้ยินว่าซัวถัวกับพี่หยาเอ๋อร์ชอบพอกัน เมื่อไรท่านจะไปสู่ขอพี่หยาเอ๋อร์ ! ”
หยาเอ๋อร์หันมามองนางปราดหนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปซ่อนตัวในห้องครัวด้วยความเขินอาย แม่ซัวถัวยิ้มจนตาหยี “เดือนหน้าวันที่หกเป็นวันดี ถึงเวลานั้นเจ้ากับพี่สาวอย่าลืมมาช่วยกันล่ะ ! ”
“แน่นอน แน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยเดินโบกมือออกไปพร้อมรอยยิ้มหวาน เจียงโม่หานที่ยืนอยู่หน้าประตูมองนางด้วยสายตาเบื่อหน่าย…เด็กน้อยเป็นเถาวัลย์หรือ ? เลื้อยไปเรื่อยได้เก่งเสียจริง
คราวนี้หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้าน เพราะการขุดหลุมกับดักในหุบเขา ถ้าจำนวนคนเยอะไปอาจไม่ระวังทำสัตว์แตกตื่นได้ นางยังไม่คิดจะสู้กับพวกหมูป่าสุดชีวิต ดังนั้นแค่คนเดียวก็พอแล้ว !
หลินเว่ยเว่ยเดินทางขึ้นเขาโดยข้ามสายน้ำร่วมกันกับเจียงโม่หาน หลังข้ามผ่านผืนป่ามายังเส้นทางบนหุบเขาแล้ว นางก็ท่องบทกวีขึ้นมาอย่างมีความสุข “กวาดสายตาเห็นทั่วแนวสันเขา ใกล้ไกลเราแตกต่างชัดต่ำตระหง่าน ไม่อาจรู้ถึงโฉมจริงของหลูซาน เพราะยืนนานอยู่ในเขา (หลูซาน) ลูกนี้เอง ! ”
หลูซาน ? นั่นไม่ได้อยู่ที่ก้านโจวหรอกหรือ ? เด็กน้อยคนนี้ ตัวตนของเจ้ารั่วเหมือนตะแกรงแล้ว ต่อหน้าข้าผู้นี้ เจ้าไม่คิดจะปิดบังแล้วหรือ ?
“นี่คือบทกวีของนักประพันธ์ท่านใดอีก ? ” เจียงโม่หานชื่นชมในใจพักหนึ่ง บทกวีเชิงปรัชญาเช่นนี้ไม่มีทางออกมาจากหัวสมองเด็กน้อยเองแน่นอน
“ซูซื่อ ฉายาตงพัว ! หมูตงพัวที่เลื่องลือก็มาจากซูตงพัว มันอร่อยมากจึงใช้ชื่อของเขามาตั้ง แต่ก็มีเรื่องเล่าน่าสนุกอื่น ๆ ด้วยนะ อย่างเช่น…
กล่าวกันว่าวันหนึ่งขณะที่ซูตงพัวกำลังอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ เขาก็เริ่มง่วงจึงงีบหลับบนโต๊ะหนังสือพักหนึ่ง ในความฝันเขายืนอยู่ริมถนนแล้วเห็นรถม้าที่เต็มไปด้วยหญิงงามแล่นผ่านมา หญิงงามในรถม้าก็โบกมือให้ เขาจึงรีบขึ้นรถม้าไปกับพวกนางทันที
ต่อจากนั้นรถม้าก็พุ่งเข้าไปในเล้าหมูของชาวบ้าน แม่หมูในเล้ากำลังออกลูกอยู่พอดี สุดท้ายหญิงงามและซูตงพัวล้วนถูกทิ้งไว้ในเล้าหมู หลังรอให้ซูตงพัวได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนกลายเป็นหมูน้อยที่กำลังร้องขอน้ำนมแม่ไปเสียแล้ว
และคนในบ้านของซูตงพัวก็พบว่าตัวเขาที่นอนอยู่บนโต๊ะหมดลมหายใจแล้ว จึงตกใจรีบออกไปเชิญเพื่อนสนิทของซูตงพัวมาทันที…สหายท่านนั้นเป็นพระนักบวชชั้นสูงรูปหนึ่ง
พระรูปนั้นเพ่งสมาธิ ‘มอง’ ก็เห็นซูตงพัวกำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ จึงเดินทางไปยังบ้านชนบทหลังนั้น แล้วตะโกนใส่หมูน้อยสองสามตัวในเล้าว่า ซูตงพัว ซูตงพัว ! ทันใดนั้นหมูน้อยตัวหนึ่งก็วิ่งออกมา
พระรูปนั้นให้เงินแก่เจ้าของหมู จากนั้นก็นำตัวลูกหมูกลับมาที่บ้านตระกูลซู หลังทำพิธีแล้ว ซูตงพัวก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ผ่านไปได้ประมาณสองสามวัน พระรูปนั้นก็เชิญซูตงพัวมากินข้าวด้วยกัน เขาชี้ไปยังเนื้อหมูในจานอาหารแล้วแกล้งหยอกเย้าซูซื่อว่า ‘มา มาเถิด ทุกคนมาลองชิมเนื้อตงพัวนี่กัน’ ! ”
หลินเว่ยเว่ยอธิบายที่มาของเนื้อตงพัวอย่างละเอียด แต่ขณะเล่านางก็เริ่มรู้สึกผิด เพราะนางไม่ได้ทำเนื้อตงพัวมาด้วย หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้จึงได้แต่กินอาหารแห้งเท่านั้น เฮ้อ…
เจียงโม่หานวิพากษ์วิจารณ์ “เจ้าซูตงพัวเป็นเฒ่าบ้ากามหรือ? เห็นสาวงามแล้วขยับตัวไม่ได้ ? ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า สาวงามที่โบกมือเรียกจะต้องไม่ใช่สตรีดีงามแน่นอน จะขึ้นรถม้าไปกับพวกนางได้อย่างไร ? ”
“เฒ่าบ้ากามอันใดกัน ? เขาเป็นถึงนักประพันธ์และจิตรกรในราชวงศ์เป่ยซ่ง ! หนึ่งในแปดปรมาจารย์แห่งราชวงศ์ถังและซ่ง ! ปรมาจารย์ของศิลปะทุกแขนง ! เพลงสุ่ยเตี้ยวเกอโถวของเขายังถูกขับร้องสืบต่อกันมา ! ” หลังกล่าวจบหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มร้องเพลง “จันทร์กระจ่างฟ้าจะมีในยามใด…”
เป่ยซ่ง ? คนรุ่นหลังหรอกหรือ ? ปล่อยให้เขาคว้าเปียได้จริง ๆ เสียแล้วสิ เด็กน้อยจะต้องไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้แน่นอน หรือแม้แต่ไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน เขามั่นใจเพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีราชวงศ์เป่ยซ่งอยู่และไม่มีซูตงพัวหรือเถาหยวนหมิงนั่นด้วย
เรื่องที่เด็กน้อยจะมาจากที่ใด เขาเริ่มไม่อยากรู้แล้ว แค่สงสัยว่าเป็นยุคสมัยใดกันแน่ที่สร้างนางให้เป็นคนรักอิสระและไร้ความกังวลได้เช่นนี้
ขณะคิดจะหลอกถามต่อ เขาก็ล้มเลิกความคิดอีกครั้งเพราะตัวเองก็มีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้เช่นกัน นางเปิดใจเมื่อไร เขาค่อยรู้ตอนนั้นยังไม่สาย ! หากในชาตินี้นางเก็บซ่อนความลับไว้ในใจตลอด…เช่นนั้นก็คงต้องโทษที่เขาทำให้นางรู้สึกปลอดภัยไม่พอ จึงไม่อาจทำให้นางเชื่อใจและเป็นที่พึ่งได้อย่างสุดหัวใจ
หลังข้ามหุบเขาลูกนั้นแล้ว ตอนมาถึงหมู่บ้านต้าฝางจวงก็เกือบเที่ยงวัน ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงจึงเชิญทั้งสองมาทานอาหารร่วมกันที่บ้าน แต่หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธอย่างแนบเนียน
ไม่ใช่เพราะนางเกรงใจ แต่…อาหารของหมู่บ้านต้าฝางจวงเป็นสิ่งที่ทำให้กลืนลำบากจริง ๆ ธัญพืชหยาบที่พวกเขากินไม่เหมือนกับธัญพืชหยาบในท้องตลาดเพราะพวกเขาไม่เพียงบดเมล็ดมาทำเป็นแป้งแต่ยังเพิ่มใบไม้ที่ไม่รู้จักเข้าไปอีกพอสมควร พอกินหนึ่งคำก็สำลักไปครึ่งวัน ทำให้เจ็บคอไปหมด…
อย่างไรก็กินข้าวปั้นที่นางพกมาดีกว่า ! ข้าวขาวสวยใสดุจหิมะ ด้านในยังสอดไส้ด้วยแตงกวา หมูฝอย แฮมและผักต่าง ๆ รสชาติไม่แย่เลย !